เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - เล่ม 6 บทที่ 251.2
เล่ม 6 บทที่ 251.2
เพื่อฉลองให้กับการเดินทางกลับมาของลาลาเน่ งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นอย่างครื้นเครงโดยมีทุกคนในตระกูลลอมบาร์เดียมารวมตัวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ทั้งท่านพ่อ ชานาเนส รวมถึงคนจากตระกูลใต้บังคับบัญชาทั้งหลาย
ชื่องานอาจจะเป็นงานเลี้ยงฉลองต้อนรับการกลับมาของลาลาเน่ก็จริง แต่หากมองการตกแต่งอันแสนหรูหราภายในงานให้ดีละก็ จะสามารถรู้ได้ในทันทีว่ามันไม่ได้มีความหมายแค่นั้น
ต่อให้เป็นลอมบาร์เดียก็เถอะ แต่อย่างไรงานเลี้ยงทั่วไปของพวกเราก็ไม่ได้จัดกันอย่างยิ่งใหญ่อลังการแบบนี้หรอก
“งานเลี้ยงฉลองการหมั้นหมาย”
งานเลี้ยงครั้งนี้เป็นงานที่ท่านปู่จัดเตรียมขึ้นมาเพื่อลาลาเน่โดยเฉพาะ เพราะใจของท่านปู่ยังคงรู้สึกติดค้างที่เมื่อตอนนั้นไม่สามารถจัดงานหมั้นให้หลานสาวได้ ถึงจะสายเกินไปหน่อยแต่ท่านก็อยากจะจัดงานย้อนหลังให้แก่ลาลาเน่
“…ฮึก!”
เหตุผลที่ลาลาเน่หลั่งน้ำตาทันทีที่ก้าวเข้าไปในโถงจัดงานเลี้ยงเองก็เป็นเพราะเหตุนั้นด้วยเช่นกัน
แต่มันไม่ใช่หยาดน้ำตาที่ไหลรินเพราะความเสียใจ
“ยินดีด้วยนะ ลาลาเน่”
“ท่านลาลาเน่ ยินดีด้วยนะครับ!”
เพราะภายในโถงจัดงานเลี้ยงขนาดใหญ่นั้นเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่มาเพื่อแสดงความยินดีกับการหมั้นหมายระหว่างลาลาเน่กับอาบีน็อกซ์
งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ลาลาเน่กับอาบีน็อกซ์เต้นรำเปิดงานด้วยกัน
“เป็นคู่ที่เหมาะสมกันราวกับภาพวาดเลย”
เธอพึมพำออกไปอย่างไม่รู้ตัว แต่ทุกคนรอบตัวต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย เพราะลาลาเน่กับอาบีน็อกซ์เป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากจริงๆ
อาบีน็อกซ์ผู้เจิดจ้าดั่งพระอาทิตย์ ลาลาเน่ผู้เบิกบานได้อย่างงดงามเมื่อได้รับแสงอาทิตย์นั่น
เป็นคู่ที่แค่ได้มองก็ต้องหลุดยิ้มออกมาโดยอัตโนมัติแล้ว
“ฟีเรนเทีย”
ท่านยายเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างเธอที่กำลังมองฉากเต้นรำตรงหน้า
หลังงานเลี้ยงฉลองตำแหน่งเจ้าตระกูลของเธอ คนจากเผ่าสองคนนั่นกับท่านยายก็พักอยู่ที่คฤหาสน์มาโดยตลอด ช่วงนี้พวกเขาออกเดินทางไปยังเมืองหลวงอยู่บ่อยๆ เพื่อท่องเที่ยวไปเรื่อย
กระทั่งอนทาร์ หมอประจำตัวท่านยายที่ตอนแรกมักจะเอาแต่บ่นอยู่บ่อยๆ ก็ยังได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่ทุกวัน และดูแล้วเหมือนจะไม่ได้รังเกียจการได้หาประสบการณ์เพิ่มเติมเท่าไหร่นัก แม้ว่าอากาศจะหนาวขึ้น แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงบ่นแล้ว
“เป็นคู่หนุ่มสาวที่น่ารักเสียจริง”
ท่านยายเอ่ยขึ้นในขณะที่มองลาลาเน่กับอาบีน็อกซ์ที่กำลังเต้นรำหมุนตัวไปรอบๆ
“เดิมทีดอกไม้ก็มักจะเติบโตได้อย่างงดงามในดินแดนอื่นมากกว่าสถานที่ที่ตัวเองถือกำเนิดหยั่งรากมาอยู่แล้วสินะ”
“ใช่ค่ะ ลาลาเน่จะต้องใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในเขตแดนตะวันออกแน่”
เธอไม่ได้มีพลังในการมองเห็นอนาคตเหมือนอย่างท่านยายกับท่านแม่ แต่เธอสามารถรับรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่า ชีวิตของลาลาเน่ในอนาคตจะต้องเปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างแน่นอน
“จะว่าไปตอนชาห์นเดินทางออกจากหมู่บ้าน เด็กคนนั้นก็หอบหิ้วกระถางดอกไม้ติดมือไปด้วยทั้งรากเลยละ เห็นว่าจะเอาไปปลูกเมื่อได้ที่ลงหลักปักฐานแล้ว”
“ดอกไม้ของท่านแม่เหรอคะ”
“ดอกอะไรกันนะ…อา ใช่แล้ว บอมเนีย ดอกบอมเนีย”
“ว่ายังไงนะคะ”
เธอตกใจมากจนเกือบทำแก้วในมือหล่น
ดอกบอมเนียอย่างนั้นเหรอ
“บอมเนียเป็นดอกที่บานสะพรั่งเต็มทุ่งในสถานที่ที่พวกเราอาศัยอยู่…”
“ดอกไม้ป่าสีแดงที่เติบโตอยู่แค่ในเขตแดนทางใต้ใช่มั้ยคะ”
เธอเคยอ่านจากจดหมายของเฟเรส ดอกบอมเนียเดิมทีเป็นดอกไม้ที่เติบโตเฉพาะเขตแดนใต้เท่านั้น และยังเป็นสมุนไพรหลักที่มีส่วนสำคัญที่สุดในการหลอมยารักษาโรคของท่านพ่อ
“อะไรกัน…”
ถ้าท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ตรงหน้าเธอในตอนนี้ละก็ เธออยากจะถามท่านเหลือเกิน
ท่านแม่ ท่านมองเห็นอนาคตไปไกลแค่ไหนกันแน่เหรอคะ
เพราะตกใจมากจนหัวสมองคิดอะไรไม่ออกจึงได้แต่ยืนจิบไวน์อยู่เฉยๆ แต่แล้วจู่ๆ ท่านยายก็เอ่ยพูดกับเธอ
“ข้ามีเรื่องอยากไหว้วานเจ้าหน่อย ฟีเรนเทีย”
“…ค่ะ ว่ามาได้เลยค่ะ”
หลังจากผลักความคิดต่างๆ นานาออกไป เธอพยายามคุมเสียงตอบกลับไปให้ฟังดูนิ่งที่สุด
“หากภายภาคหน้าข้าส่งคนจากเผ่ามายังลอมบาร์เดีย เจ้าจะช่วยข้าดูแลพวกเขาให้หน่อยได้หรือไม่”
“คนจากเผ่าเหรอคะ”
ได้ยินว่าผู้คนจากดินแดนบ้านเกิดของท่านแม่มีสังคมปิดที่ไม่เปิดรับผู้คน ทั้งท่านยายและอีกสองคนที่เธอได้พบในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี่เองก็เช่นเดียวกัน
เพราะถ้าไม่จำเป็นก็จะไม่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเผ่าเลยแม้แต่คำเดียว บางครั้งก็สนทนากันด้วยภาษาเผ่าที่เธอฟังไม่เข้าใจ
ท่านยายเอ่ยขึ้นราวกับอ่านสีหน้าของเธอออก
“พวกเราเองก็ไม่อาจหลบซ่อนตัวอยู่แต่ในป่าไปได้ตลอดมิใช่หรือ เมื่อถึงเวลาก็ต้องกะเทาะเปลือกดิ้นออกจากไข่อยู่แล้ว”
สายตาของท่านยายยามกล่าวเช่นนั้นยังคงมองไปที่แสงไฟที่ตกแต่งให้ความสว่างงานเลี้ยง แต่แท้จริงแล้วท่านกำลังเหม่อมองไปยังสถานที่หนึ่งอันไกลโพ้น
“ได้ค่ะ เพราะสำหรับข้าแล้ว คนจากเผ่าเองก็ไม่ต่างอันใดจากญาติมิตรอยู่แล้วนี่คะ”
ท่านยายยิ้มจางให้กับคำพูดของเธอ
“ฟีเรนเทีย เดี๋ยวก่อน”
ท่านยายรั้งแขนเธอเอาไว้ ก่อนจะขยับกายเข้ามาใกล้อีกก้าว และกระซิบเสียงแผ่วเพื่อไม่ให้คนรอบๆ ได้ยิน
“อีกไม่นานรอบกายเจ้าจะมีคนตาย”
นัยน์ตาพร่ามัวของท่านยายมองสบตาเธอตรงๆ แต่เธอไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวหรือขนลุกแต่อย่างใด
กลับรู้สึกได้ว่าใจที่เคยตกใจอยู่ครู่หนึ่งนั้นเริ่มสงบลงจากความเป็นห่วงที่ถูกส่งมาถึงเธอ
ถึงแม้จะเป็นคำเตือนเกี่ยวกับ ‘ความตาย’ ก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด อาจจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ค่อยถูก แต่สำหรับเธอแล้วลางสังหรณ์มันบอกว่าจะไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายอะไรขนาดนั้น
“อืม สมแล้วที่เป็นบุตรีของชาห์น”
ทั้งๆ ที่มองไม่ค่อยเห็น แต่ใบหน้าของท่านยายที่มองหน้าเธอได้อย่างแม่นยำกลับกำลังยิ้มอ่อนระโหย ท่านตบหลังมือเธอเบาๆ ก่อนจะเอ่ยพูดต่อ
“โล่งอกไปทีที่เจ้าไม่ได้ถือกำเนิดในเผ่า เจ้าเกือบจะต้องเกิดมาพร้อมพลังที่ยิ่งใหญ่เกินไปเหมือนชาห์นเสียแล้ว โล่งอกจริงๆ ที่อย่างน้อยเจ้าก็หลุดพ้นจากพันธนาการนี้ได้”
ท่านยายกล่าวเช่นนั้นในขณะที่จับมือเธอไว้แน่นไม่ยอมปล่อยอยู่ครู่ใหญ่
* * *
วันลงนามเห็นด้วยกับการแต่งตั้งรัชทายาทอย่างเป็นทางการ
เธอเดินทางออกมาจากคฤหาสน์ลอมบาร์เดียตั้งแต่เช้าตรู่ กองกำลังอัศวินลอมบาร์เดียรวมถึงสองแฝดคอยช่วยอารักขาเธอมาตลอดทาง เผื่อว่าอาจจะมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น
ไม่เกิดเรื่องใดให้ต้องหยุดรถม้าขึ้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว รถม้าของเธอพุ่งทะยานมุ่งหน้าสู่พระราชวังได้อย่างรวดเร็วราวกับพายุหมุน เธอเลยมาถึงห้องประชุมใหญ่ที่จะใช้สำหรับการลงนามในวันนี้ก่อนเวลานัดหมายอยู่มากโข
แต่ห้องประชุมขนาดใหญ่กลับเต็มแน่นไปด้วยผู้คนอยู่ก่อนแล้ว และบริเวณโต๊ะตัวใหญ่กลางห้องก็มีเก้าอี้รวมทั้งหมดห้าตัวถูกเตรียมเอาไว้
ทันทีที่เธอเดินเหยียบพรมผืนนุ่มเข้าไปข้างในห้อง กลุ่มคนซึ่งนั่งสนทนากันอยู่รอบโต๊ะก็หันมาทักทายเธอ
“มาแล้วหรือครับ เจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย”
รูมันจากตะวันออก บราวน์จากตะวันตก ไอบันจากเหนือ และเซอเชาว์จากใต้ บรรดาเจ้าตระกูลตัวแทนจากแต่ละเขตแดนผู้ลงนามเห็นด้วยกับการแต่งตั้งองค์รัชทายาทในวันนี้ ต่างก็นั่งรวมกันอยู่พร้อมหน้า