เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - เล่ม 6 บทที่ 254.1
เล่ม 6 บทที่ 254.1
ตอนที่ 254
“…เฮ้อ”
เธอทิ้งกายนั่งลงบนโซฟาตัวนุ่ม ถอนหายใจเสียงดังออกมาด้วยความเครียดที่สั่งสมมาโดยตลอด
พิธีลงนามแต่งตั้งองค์รัชทายาทเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว เธอกับเฟเรสก็เลยเดินทางกลับมาที่วังโฟอิรัค
เฟเรสที่นั่งอยู่ตรงข้ามเองก็ถอดมงกุฎที่สวมอยู่บนหัวทิ้งไปตั้งนานแล้ว เขากำลังปลดกระดุมเสื้อที่ติดแน่นจนถึงต้นคอออก
อย่างน้อยในสถานที่แห่งนี้ที่มีแค่พวกเราสองคน เธอกับเฟเรสก็ยังสามารถหายใจหายคอได้อย่างผ่อนคลายบ้าง ทว่าใจกลับไม่ได้ผ่อนคลายตามไปด้วยเลย
“บ้าชะมัด พลาด พลาดสุดๆ”
เธอยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดหน้า พึมพำเสียงแผ่ว
การประกาศความสัมพันธ์ของพวกเราในพิธีลงนามแต่งตั้งองค์รัชทายาทเป็นเรื่องที่พวกเราตัดสินใจกันไว้แล้ว แต่หลังจากก่อเรื่องลงไปจริงๆ ร่างกายกลับหนักอึ้งอย่างไร้เรี่ยวแรงราวกับนุ่นที่ถูกจุ่มน้ำจนชุ่ม
“เฮ้อ”
ระหว่างที่ถอนหายใจออกมาอีกรอบ ก็เห็นใบหน้าของเฟเรสผ่านง่ามนิ้วมือ
ต่างจากเธอที่เหนื่อยจนหมดเรี่ยวหมดแรง ใบหน้าของเขายามยกแก้วขึ้นแนบริมฝีปากดูนิ่งสงบมาก
“เฟเรส”
เสียงของเธอสั่นเทาเล็กน้อย
“ทำไมเจ้ายังเป็นปกติได้แบบนั้นล่ะ”
น้ำเสียงให้อารมณ์เหน็บแนมกันว่า ‘ทำไมเจ้ายังมัวแต่นิ่งเฉยอยู่ได้เนี่ย’
เธอรู้ดีว่ามันไม่ใช่การกระทำที่เหมาะสมนักที่จู่ๆ ก็พูดจาเหมือนหาเรื่องเขาแบบนั้น แต่ไอ้ท่าทางเป็นปกติเกินไปเนี่ยมันดูน่าหมั่นไส้มากจริงๆ
เฟเรสที่กำลังจะดื่มน้ำหยุดชะงัก แล้วหันมามองเธอ
“ปกติเหรอ”
เฟเรสเอียงคอไปด้านข้างเล็กน้อย ก่อนจะถามเธอกลับ แล้วเอ่ยพูดเสียงเอื่อยๆ
“ข้ากำลังเสียใจมากเลยนะ”
“สะ…เสียใจ”
ราวกับหัวใจร่วงตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม
เมื่อครู่นี้ยังงัดเอาทุกอย่างขึ้นมาข่มขู่ขุนนางนับร้อย แล้วประกาศว่าจะแต่งงานกับเธออยู่เลย แต่นี่จู่ๆ มาบอกว่าเสียใจเนี่ยนะ
“จะ…เจ้า เฟเรส เจ้า…”
อารมณ์มันตีตื้นขึ้นมาจนพูดออกมาได้ไม่เป็นประโยค
“พูดแบบนั้นได้ยังไง”
ที่บอกว่าเสียใจ มันหมายความว่าเพิ่งจะรู้สึกเสียใจขึ้นมาทีหลังไม่ใช่เหรอไง
เธอเคยได้ยินอยู่หรอกว่า มันมีอาการแบบจู่ๆ ก็รู้สึกกลัวการแต่งงานขึ้นมาจนไม่อยากแต่ง ในจังหวะที่กำลังจะก้าวเข้างานพิธีน่ะ แต่นี่เขารู้สึกเสียใจขึ้นมาเร็วแบบนี้เลยเหรอ
หัวสมองมึนงงคิดอะไรไม่ออก มันยุ่งเหยิงไปหมดเหมือนก้อนไหมพรมที่ถูกแมวเขี่ยเล่นจนเละตุ้มเป๊ะ
แกรก
เสียงเฟเรสวางแก้วลงบนโต๊ะฟังดูดังเล็กน้อย
เด็กหนุ่มก็เดินตรงมาหาเธอ กระทั่งเสียงฝีเท้ายังฟังดูดังชัดกว่าที่เคย
เฟเรสหยุดยืนตรงหน้าเธอที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยว เขาโน้มกายลงมาจับที่เท้าแขนเก้าอี้ทั้งสองข้างเอาไว้
และค่อยๆ เอนกายลงมาหาเธออย่างช้าๆ
“เทีย”
รู้สึกได้ว่าเสียงทุ้มต่ำมันแฝงไว้ด้วยเสียงถอนหายใจยังไงชอบกล
หรือเธอเข้าใจผิดไปเอง
“อะ…อะไร”
ใครกันล่ะที่เพิ่งจะบอกว่าเสียใจน่ะ!
เธอพยายามเมินหัวใจที่เต้นโครมครามเพราะเฟเรสขยับเข้ามาใกล้ แสร้งตีสีหน้าโมโหออกไป
เฟเรสมองหน้าเธอนิ่ง ก่อนจะเอ่ยพูดสั้นๆ
“2 ปี”
2 ปี
คำที่จู่ๆ ก็ดังออกมานั่นทำเอาเธอได้แต่กะพริบตาปริบๆ ด้วยความไม่เข้าใจ
พอเห็นเธอทำท่าแบบนั้น นัยน์ตาสีแดงของเฟเรสก็มองลึกเข้ามาในตาของเธอ เขาเอ่ยพูดเสียงทุ้มแผ่วกว่าเดิม
“ต้องรออีกตั้ง 2 ปี”
“นี่พูดถึงระยะเวลาหมั้นหมายเหรอ”
เฟเรสไม่ได้ตอบอะไร แต่นัยน์ตาว่างเปล่าของเขาที่มองสบตาเธอนั่นกำลังบอกความในใจของเขา
“ก็มันช่วยไม่ได้นี่นา”
เธอพูดปลอบโยนเด็กหนุ่ม
“ต้องรอให้เครนีย์จบการศึกษาจากอะคาเดมีกลับมาก่อน ข้าถึงจะวางใจฝากฝังงานของตระกูลให้เขาทำได้ แบบนั้นถึงจะทำได้ดีทั้งงานของลอมบาร์เดียทั้งงานของราชวงศ์ไง”
“ข้ารู้”
เฟเรสตอบทันที
“และระหว่างชนชั้นสูง ระยะเวลาหมั้นหมายเท่านี้ก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว”
แต่เฟเรสไม่สนใจคำอธิบายของเธอเลยสักนิด เพราะสายตาของเขายังคงมัวแต่ยุ่งอยู่กับการมองสำรวจใบหน้าเธอ
“2 ปี…”
เฟเรสถอนหายใจอีกครั้ง นัยน์ตาสีแดงทอประกายเข้มราวกับมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ข้างในนั้น
ต้องหยุดแค่นี้
ระบบแจ้งเตือนภัยที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่ต้องพบเจอหลายครั้งมันกำลังส่งเสียงร้องเตือนอยู่ในหัว
“เฟเรส”
“อื้อ”
“แววตาเจ้านี่มันเกินไปหน่อยมั้ย”
นึกว่าพูดแบบนี้แล้วเฟเรสจะตอบกลับมาว่า ‘อย่างนั้นหรือ’ แล้วยอมถอยห่างออกไปด้วยความเขินอายเสียอีก
แต่เด็กหนุ่มกลับ
“…เห็นชัดเลยเหรอ”
แก้ต่างแบบนั้นพลางยิ้มทะเล้น