เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - เล่ม 6 บทที่ 256.2
เล่ม 6 บทที่ 256.2
“ท่านฟีเรนเทีย ท่านฟีเรนเทีย ตื่นได้แล้วค่ะ”
เสียงแผ่วปลุกเธอให้ตื่นจากความฝัน
“อื้มมมม”
เพราะเมื่อวานต้องดูเอกสารมากมายจนนอกดึกไปหน่อย นัยน์ตาเลยหนักอึ้งลืมไม่ขึ้นสักที
“ได้เวลาตื่นนอนแล้วค่ะ”
น้ำเสียงนุ่มนวลจนไม่ระคายหูเลยสักนิดแม้จะถูกปลุกตั้งแต่เช้าตรู่แบบนี้
“อรุณสวัสดิ์ แคทเธอรีน”
พอเธอโบกมือข้างหนึ่งทักทายทั้งๆ ที่ใบหน้ายังฝังอยู่บนหมอนใบนุ่ม แถมนัยน์ตาก็ปิดสนิท ก็ได้ยินเสียงแคทเธอรีนหัวเราะเบาๆ
“ให้ข้านอนอีกหน่อยไม่ได้เหรอ”
“เมื่อคืนนอนดึกหรือคะ ทั้งๆ ที่ย้ำกับฝ่าบาทแล้วแท้ๆ ว่าให้พาเข้านอนเร็วหน่อย”
“ไม่ใช่ความผิดของเฟเรสหรอก ความผิดข้าเองแหละ ข้าดึงดันอยากทำงานต่อเอง”
ถึงแม้สุดท้ายจะถูกเฟเรสอุ้มไปนอนทั้งๆ ที่ยังกำเอกสารอยู่คามือก็เถอะ
“เมื่อตอนตรวจสุขภาพคราวก่อน ท่านเอสทีร่าก็บอกแล้วไม่ใช่หรือคะว่าให้ระวังอย่าโหมงานจนเหนื่อยเกินไป”
แคทเธอรีนดุเสียงเข้ม
หลังจากเฟเรสขึ้นครองบัลลังก์ แคทเธอรีนก็ถือว่าตัวเองเป็นผู้ดูแลประจำตัวเธอไปด้วย นางคอยดูแลเธอทุกเรื่อง ไม่ยอมให้คนอื่นเข้ามายุ่ง
ตอนนี้ลอรีลกำลังมีลูกคนที่สอง จึงไม่ได้เป็นผู้ดูแลประจำตัวเธออีกต่อไป กลายเป็นแค่สหายสนิทที่ไปมาหาสู่กันบ้างเป็นครั้งคราว
“รู้แล้วๆ เฮ้อ หิวจัง”
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จโดยได้รับความช่วยเหลือจากแคทเธอรีน เธอก็มุ่งหน้าตรงไปยังห้องอาหาร
“อรุณสวัสดิ์ค่ะทุกคน”
สมาชิกในครอบครัวที่กำลังรับประทานอาหารกันอยู่ต่างก็หันมามองเมื่อได้ยินเสียงทักทายของเธอ
“ขออาหารเยอะๆ เลยนะ”
เธอสั่งผู้ดูแลที่เดินเข้ามาหา แล้วนั่งลงบนเก้าอี้
“วันนี้คงจะยุ่งน่าดูเลยสิเนี่ย”
ท่านพ่อมองเธอด้วยความเป็นห่วง ทั้งๆ ที่ใบหน้ายังคงเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกล เพราะเพิ่งเดินทางจากเชซายูมาถึงที่นี่เมื่อวาน
“มีประชุมน่ะค่ะ มีแต่วาระประชุมน่าปวดหัวด้วย”
เครย์ลีบันพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเธอ
“บางทีการประชุมครั้งนี้คงจะกินเวลานานน่าดูเลยละครับ รับประทานเยอะๆ นะครับ ท่านเจ้าตระกูล”
“เจ้าตระกูลเพลเลสก็ด้วยนะ”
“นี่ก็จานที่สองแล้วละครับ”
เธอดื่มชาอุ่นลงท้อง แล้วหันไปถามท่านพ่อ”
“ท่าเรือเป็นยังไงบ้างคะ”
“ต้องเพิ่มอู่เรือให้มากขึ้น แต่เรื่องก่อสร้างก็น่าเป็นกังวลอยู่”
“อืมมมม ไหนๆ ก็มาแล้ว งั้นลองแวะไปพบไวโอเล็ตดูสักครั้งเป็นไงคะ”
“นี่ก็ติดต่อไป ตั้งใจจะไปพบบ่ายนี่แล้วละ ในเมื่อสินค้าที่เข้าเทียบท่าหลักๆ กว่าครึ่งก็มาจากร้านค้าเพลเลสกับกลุ่มการค้าลอมบาร์เดียอยู่แล้ว ถ้าปรึกษาหารือกันหน่อยน่าจะหาวิธีแก้ไขที่ดีได้”
เธอช่วยเติมน้ำชาอุ่นร้อนลงในแก้วของท่านพ่อที่เอ่ยด้วยใบหน้าเหนื่อยล้าให้แทนความหมายของการปลอบโยน
“คืนนี้ข้าว่าจะค้างคืนที่พระราชวังนะคะ ถ้ามีเรื่องอะไรก็ส่งคนไปหาข้าที่วังจักรพรรดินีได้เลยค่ะ ท่านพ่อ”
“ได้ๆ”
ท่านพ่อพยักหน้าลง ในขณะที่มือก็ขยี้ตาไปมาดูเหมือนจะยังไม่ค่อยตื่นดี
“ถ้าวันนี้ท่านเจ้าตระกูลค้างที่พระราชวัง คฤหาสน์คงว่างน่าดูเลยนะ”
“นั่นสิ ตั้งแต่วันนี้พวกเราเองก็ต้องไปฝึกซ้อมกันทั้งเดือนเลยด้วย”
ช่วงนี้สองแฝดกำลังมุ่งมั่นกับการสร้างกล้ามเนื้อจนร่างกายสูงใหญ่กันยิ่งกว่าเดิม พวกเขาจิ้มแพนเค้กกองเท่าภูเขาขนาดย่อมใส่ปากเคี้ยวไม่หยุด
“ท่านป้าเองก็ออกเดินทางวันนี้หรือคะ”
ชานาเนสเช็ดปาก ก่อนจะพยักหน้าตอบคำถามเธอ
“เห็นว่าทางเหนือค้นพบเหมืองแร่แห่งใหม่น่ะ ข้าเลยต้องขึ้นไปดูด้วยตัวเองเสียหน่อย”
สมแล้วที่เป็นชานาเนสผู้ชอบในการตรวจสอบทุกสิ่งด้วยสองตาของเจ้าตัวจริงๆ
“ฤดูร้อนแบบนี้ คงลำบากน่าดูเลยนะคะ”
“แต่ยังไงก็ต้องไปตรวจสอบให้แน่ใจอยู่ดีแหละนะ”
ชานาเนสยืนกรานหนักแน่น
เธอสนทนาไต่ถามความเป็นอยู่ล่าสุดของทุกคนในครอบครัวสั้นๆ แล้วรีบลงมือกินมื้อเช้าให้เสร็จโดยเร็ว
“เจ้าตระกูลเพลเลส พร้อมหรือยัง”
“ครับ ท่านเจ้าตระกูล”
เครย์ลีบันดื่มกาแฟจนหมดแก้ว แล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง
“เหนื่อยหน่อยนะ”
เธอหันไปกล่าวลาท่านพ่อ หลังจากนั้นก็เดินออกมาจากห้องอาหาร และทันทีที่มาถึงหน้าประตูก็พบเข้ากับเครนีย์ที่ยืนถือเอกสารกองโตรออยู่
“มาแล้วหรือครับ ท่านพี่”
“เจ้ายังคงไม่ได้กินมื้อเช้าเหมือนเคยเลยสินะ เครนีย์”
“กินมื้อเช้าทีไร ท้องไส้ไม่ค่อยดีเลยน่ะสิครับ แต่ก็ไปจัดหนักเอาตอนมื้อเที่ยงแทนนะครับ”
เครนีย์เป็นคนกินน้อยอยู่แล้ว เด็กหนุ่มหัวเราะแหะๆ
“แต่ถึงยังไงวันแบบนี้ก็น่าจะหาอะไรรองท้องสักหน่อย”
แต่แล้วในจังหวะที่เธอกำลังจะก้าวขึ้นรถม้าพลางครุ่นคิดไปด้วยว่าช่วงระหว่างพักประชุมคงต้องหาผลไม้ให้เครนีย์เสียหน่อย
“จะเข้าวังหรือ”
“อ๊ะ ท่านปู่”
ท่านปู่เอามือไขว้หลัง เดินเข้ามาหาเธออย่างช้าๆ สงสัยจะออกมาเดินเล่นยามเช้า
ข้างกายมีลูกสุนัขชื่อว่าราล์ฟที่ท่านปู่เริ่มเลี้ยงมาได้ไม่นานอยู่ด้วย
ร่างกายใหญ่โต แต่เป็นลูกสุนัขที่ทั้งฉลาดทั้งซื่อบริสุทธิ์ เจ้านี่เลยได้รับความรักมากมายจากคนทั้งคฤหาสน์ทีเดียว
“วันนี้ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็ห้ามถอยเด็ดขาดนะ เทีย”
รอยยิ้มของท่านปู่ยังคงอ่อนโยน แต่แววตาคู่นั้นกลับทอประกายวาวโรจน์เหมือนเคย
“ข้าไม่เคยยอมถอยอยู่แล้วละค่ะ”
ท่านปู่หัวเราะเสียงดังฮ่าฮ่าให้กับคำตอบของเธอ ก่อนจะพยักหน้าลงด้วยความพอใจ
“ดีๆ เจ้าคงจัดการเองได้อยู่แล้ว”
ท่านปู่กล่าวพลางตบไหล่เธอเบาๆ แล้วเดินจากไปพร้อมกับราล์ฟ
ทางนั้นเป็นป่าเขียวชอุ่ม
เธอหยุดนิ่งอยู่กับที่ เหม่อมองภาพแผ่นหลังผ่อนคลายของท่านปู่อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวขึ้นรถม้า
รถม้าที่เธอ เครนีย์ และเครย์ลีบันนั่งออกเดินทางมุ่งหน้าสู่พระราชวังโดยไม่มีเรื่องให้ต้องหยุดกลางทาง
“ฮู่ว”
พอเดินเข้าสู่โถงทางเดินประจำพระราชวัง เครนีย์ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความตื่นเต้นจนเสียงดังก้องไปทั่วทางเดิน
“เครนีย์”
“ครับ ท่านพี่”
“เชื่อในตัวข้า”
เธอตบหลังเครนีย์เสียงดังปึก ปึก
ตีแรงจนน่าจะเจ็บแท้ๆ แต่เครนีย์ก็ยังคงหัวเราะแหะๆ พยักหน้าเหมือนอย่างที่เคยทำเป็นประจำ
พอพวกเรามาถึงห้องประชุมใหญ่ อัศวินที่เฝ้าอยู่หน้าประตูก็รีบทักทายอย่างสุภาพ
“เปิดประตู”
เหล่ามหาดเล็กโค้งศีรษะลง ประตูห้องประชุมเปิดออก
ประตูบานใหญ่ขยับเปิดกว้าง เสียงสนทนาจอแจที่เคยถูกกักเก็บไว้ด้านในห้องดังออกมาจนถึงด้านนอก
บางทีสนามรบของจริงที่หนักหน่วงที่สุดหลังจากเธอขึ้นเป็นเจ้าตระกูล อาจจะเป็นการประชุมในวันนี้ก็ได้
แต่เธอไม่ได้กังวลเลยสักนิด
เพราะเธอเตรียมการทุกสิ่ง ก็เพื่อชัยชนะในวันนี้นี่นา
เธอเดินเข้าไปข้างในห้องประชุมใหญ่ บรรดาขุนนางนับร้อยที่สังเกตเห็นการมาของเธอจึงลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างพร้อมเพรียง
“มาแล้วหรือครับ เจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย”
เธอพยักหน้าอย่างสบายอารมณ์ไปทางพวกเขาเป็นการทักทาย แล้วเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ประจำตำแหน่ง
เครย์ลีบันกับเครนีย์เองก็นั่งประจำที่อยู่ข้างหลังเธอ
รู้สึกถึงสายตาที่มองมา ก็เลยหันหน้าไปมอง แล้วพบเข้ากับเฟเรสซึ่งนั่งอยู่บนที่นั่งตำแหน่งจักรพรรดิกำลังมองเธออยู่
“อรุณสวัสดิ์ครับ เจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย”
เด็กหนุ่มเป็นฝ่ายทักทายก่อน
“เสวยมื้อเช้าเรียบร้อยดีมั้ยเพคะ ฝ่าบาท”
“ครับ เจ้าตระกูลล่ะ”
“หม่อมฉันก็เช่นกันค่ะ”
หลังจากสนทนากันสั้นๆ เธอก็แสยะยิ้มให้เขา
“วันนี้เป็นวันสำคัญเชียวนะเพคะ มิใช่หรือ”
พูดง่ายๆ ก็คือ มาลองสู้กันให้เต็มที่หน่อยมั้ยล่ะ
“ในเมื่อเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียมาถึงแล้ว เช่นนั้นก็เริ่มประชุมใหญ่กันเลย!”
บรรดาขุนนางที่ลุกขึ้นจากที่นั่งเพื่อให้เกียรติเธอจึงนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง
การประชุมใหญ่ก็ได้เริ่มต้นขึ้น
วันนี้เป็นเพียงวันธรรมดาวันหนึ่งที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และอาณาจักรแลมบลูแห่งนี้ก็กำลังเข้าสู่ยุคสมัยแห่งความสงบสุขร่มเย็นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์
– จบบริบูรณ์ –