เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - SPIN-OFF บทที่ 10
SPIN-OFF บทที่ 10
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแสงเทียนในห้องหรือเปล่า นัยน์ตาสีแดงจึงดูล้ำลึกและแพรวพราวกว่าเดิม
“รู้สึกเหมือนจะถูกล่อลวงเลย…” ความในใจลอดผ่านริมฝีปากไปโดยที่ข้าไม่รู้ตัว
“ล่อลวงข้าเลย” บางทีเฟเรสก็คงเป็นอย่างนั้นเช่นกัน “ได้โปรดล่อล่วงข้า เทีย”
ราวกับทั้งปรารถนา และราวกับกำลังล่อลวง
ใบหน้าของเฟเรสที่กำลังกระซิบกระซาบเช่นนั้น ขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
ในช่วงระหว่างที่หายใจเข้าออกยาวๆ รอบหนึ่ง พวกเราก็อยู่ใกล้กันจนปลายจมูกรู้สึกคันยุบยิบ
ทว่าเฟเรสกลับไม่ได้ขยับเข้ามาอีก
ทำเพียงจ้องมองข้าอย่างลึกซึ้งราวกับต้องการตักตวงบางอย่างจากส่วนลึกในตัวข้า
ดังนั้น ข้าจึงถามออกไป
“ต้องการไหม?”
อ่า สงสัยจะเมาเสียแล้ว ข้าคิด ในชั่วขณะที่คำพูดหลุดจากปาก ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่มีทางถามอะไรแบบนี้ตอนสติแจ่มใสแน่
สมองที่เหม่อลอยประหนึ่งถูกเฟเรสล่อลวงไปแล้วจริงๆ พลันแจ่มชัดขึ้น รู้สึกได้ว่าสติกำลังคืนกลับมาช้าๆ ขณะเดียวกัน ข้าก็รับรู้ได้ ว่าเฟเรสที่กอดข้าอยู่ตอนนี้ไม่ได้เมาแม้แต่น้อย
แต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมาต่อจากนั้นของเฟเรส เห็นได้ชัดว่าเป็นเสียงของคนที่กำลังมัวเมาในอะไรบางอย่าง
“ต้องการ ต้องการเจ้า”
“เฟเรส…”
“ทั้งหมดเลย”
ข้าพลันขนลุกซู่ขึ้นมาในทันใด
มันไม่ใช่ความรู้สึกแย่
เพียงแต่ ข้ารู้สึกว่าหากเป็นอย่างนี้ต่อไปข้าคงถูกล่อลวงจริงๆ แน่ หากปล่อยไว้เช่นนี้ สุดท้ายข้าจะต้องมอบกระทั่งจิตวิญญาณให้เขาแน่
ดังนั้นจึงทำได้เพียงพยายามเบือนหน้าหนี
“นี่ นี่ เดี๋ยวก่อน”
“ตอนนี้ข้าเมาแล้ว ดังนั้นก็คิดเสียว่าสิ่งที่ข้าพูดอยู่ตอนนี้เป็นคำพูดไร้สาระที่ข้าพูดออกมาเพราะเมาแล้วกันนะ เทีย”
โกหก
ทั้งที่ไม่ได้เมาสักนิด
แต่สายตาที่ไม่ห่างจากข้าไปแม้แต่วินาทีเดียวนั้นดูแน่วแน่อย่างยิ่ง ข้าจึงไม่มีทางเลือกนอกจากพยักหน้า
“ข้าน่ะ เทีย ข้าอยากให้เทียกลายเป็นของข้า”
ทั้งที่ตอนนี้ก็กอดข้าอยู่เต็มอ้อมแขนจนขยับเขยื้อนไม่ได้แม้แต่น้อย แต่เขาก็ยังกล่าวเช่นนั้นออกมา
“รอยยิ้มของเจ้า หรือแม้กระทั่งสัมผัสมือที่อ่อนโยนนั้น ข้าอยากให้มันมีไว้สำหรับข้าเพียงผู้เดียว อยากให้ภาพที่งดงามของเจ้าเป็นของข้าทั้งหมด และมีเพียงข้าผู้เดียวที่ได้เห็นมัน”
ความปรารถนาที่จะได้ครอบครองแต่เพียงผู้เดียวอย่างลึกล้ำถ่ายทอดผ่านคำพูดแต่ละคำ แต่ละคำ
“เพราะงั้นข้าจึงโกรธ”
“โกรธ?”
“เพราะข้าน่ะไม่รู้เลย ทั้งเรื่องที่เจ้าชอบกินอาหารรสเผ็ด ทั้งเรื่องที่เจ้าน่ารักถึงเพียงนี้เมื่อดื่มเหล้า เพราะคนอื่นๆ กลับได้เห็นมันก่อนข้า”
“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเอง… ถึงวันนี้ข้าเองก็รู้สึกไม่ชินกับท่าทางของเจ้าเหมือนกันก็เถอะ…”
“ไม่เล็กน้อยเลยเทีย ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับเจ้า ไม่มีสักอย่างที่เล็กน้อย”
เฟเรสถูไถหน้าผากของตนเองกับเส้นผมของข้าพลางกล่าว
“ถึงแม้ข้าจะไม่ได้เป็นที่หนึ่งของเจ้าก็ตาม”
ชะงัก…
อาจเพราะสัมผัสได้ว่าตัวของข้าเกร็งขึ้นเล็กน้อย เฟเรสจึงโอบข้าเข้าไปกอดแน่นขึ้น ราวกับเชื่อว่าหากทำเช่นนี้ เขาและข้าจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกันได้
“ข้าทำเช่นนั้นไม่ได้หรอก เพราะเจ้าคือทุกอย่างของข้า”
ใบหน้าที่ขยับห่างออกไปครู่หนึ่ง ค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ข้าอีกครั้ง
เวลานี้ระหว่างพวกเรา การจูบเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งเกินไปแล้ว
เพราะเฟเรสชอบที่จะแสดงอารมณ์รักใคร่ที่มีต่อข้าผ่านการกระทำมากกว่าคำพูดอยู่เสมอ
แต่คราวนี้มันต่างออกไป
ลางสังหรณ์ข้าบอกเช่นนั้น
เป็นเพราะพวกเราแสร้งทำตัวเป็นคู่รักที่เพิ่งแต่งงานอย่างนั้นเหรอ
หรือเป็นเพราะเมาเหล้ากันนะ
บางทีอาจเป็นเพราะกลิ่นกุหลาบที่โปรยอยู่บนเตียงก็ได้
‘ปล่อยไปแบบนี้จะดีเหรอ?’ ข้าถามตนเอง
คำตอบผุดขึ้นมาทันที ‘ไม่เป็นไรหรอก เพราะนี่คือเฟเรส’
ขณะที่ข้าตัดสินใจจะขยับเข้าไปใกล้เขาที่แต่ไหนแต่ไรก็มักจะเป็นฝ่ายขยับเข้าหาข้าอยู่คนเดียวนั่นเอง
ฟุบ
เสียงรบกวนเบาๆ ที่บางทีอาจมีแค่เราสองคนในโลกนี้ที่ได้ยินดังขึ้น พร้อมกับที่เส้นผมของเฟเรสร่วงลงมาจนเกิดเป็นเงาจางๆ
เป็นเส้นผมสีทองที่ข้ายังไม่คุ้นชิน เพราะเฟเรสเหมาะกับผมสีดำมากกว่าเป็นไหนๆ น่ะสิ
ไม่น่าส่งยาเปลี่ยนสีผมให้เพราะความอยากรู้อยากเห็นเลย
ข้าแค่ชะงักไปแวบเดียวขณะที่คิดเช่นนั้น
สาบานต่อฟ้า เพียงแค่นั้นเท่านั้นเอง
แต่ทว่า
“…อย่าฝืนเลย” หลังจากกล่าวเช่นนั้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ เขาก็พรวดพราดถอยห่างออกไป
ต่อจากนั้น ข้าก็มานอนอยู่บนเตียงโดยที่ถูกห่มผ้าให้อย่างเรียบร้อย
“ข้าจะนอนที่โซฟานะ”
“…เอ๋?”
“ฝันดีนะ เทีย”
ข้าเหม่อมองภาพด้านหลังของเฟเรสที่เพิ่งจุมพิตลงบนหน้าผากของข้าอย่างหนักหน่วง แล้วหยิบหมอนหนึ่งใบมุ่งหน้าไปยังโซฟาที่อยู่อีกฝั่งของห้อง
“ไม่ใช่…” ไม่ใช่อย่างนี้สิ?
ทำไมข้าถึงมานอนอยู่บนเตียงล่ะ?
ไม่สิ ยิ่งไปกว่านั้น ทำไมถึงได้นอนคนเดียวล่ะ?
วันนี้ไม่ใช่ต้องนอนด้วยกันหรอกเหรอ?!
ข้าขยับลุกขึ้นมาครึ่งหนึ่ง แล้วใช้สายตาแทนการตะโกนถามอย่างรุนแรง แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาเป็นเพียงเสียงทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาของเขาเท่านั้น
ในขณะเดียวกัน ข้าก็หายเกร็งจากความรู้สึกผิดหวังที่เกิดขึ้น จึงเอนร่างนอนลงเช่นกัน
หัวใจที่ยังไม่สงบและเต้นตึกตักอยู่คนเดียวชวนให้รู้สึกรันทดยิ่งนัก
‘บอกให้ทำต่อดีไหมนะ?’ ข้าเหลือบมองไปทางโซฟาด้วยความลุ่มหลง แต่ความเงียบนั้นราวกับบอกว่าเขาหลับไปแล้ว
“…เฮ้อ” ช่างเถอะ นอนดีกว่า
ร่างกายเหน็ดเหนื่อยจากการนั่งรถม้ามาทั้งวัน แล้วยังดื่มเหล้า อีกทั้งอาการประหม่าอย่างเต็มที่เมื่อครู่ก่อนน้อมรับการพักผ่อนอย่างสุขใจ
ขณะที่สัมผัสได้ว่ากำลังจมสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว ข้าก็คิดขึ้นอีก
พรุ่งนี้เช้าเมื่อตื่นต้องคุยกันสักครั้งแล้วละ
และต้องบอกเรื่องนี้ออกไปให้ได้
ว่าไม่ว่ายังไง ข้าก็เหมือนจะชอบผมสีดำธรรมชาติของเจ้ามากกว่า
* * *
พอได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมอของเทียที่หลับไปแล้ว เฟเรสก็ลืมตาขึ้นเงียบๆ แล้วลุกขึ้นนั่ง
“ฮูว” เสียงทอดถอนใจอันเหน็ดเหนื่อยดังลอดผ่านมือใหญ่ที่ลูบอยู่บนใบหน้า
ในห้องเหลือเพียงความมืดมิดเพราะเทียนเผาไหม้หมดไปแล้ว ทว่านั่นไม่ใช่อุปสรรคสำหรับเฟเรสแต่อย่างใด
โดยเฉพาะเมื่ออยู่กับเทีย ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขาจะยิ่งเฉียบคมเป็นเท่าตัวของยามปกติ
ราวสิ่งมีชีวิตหิวโหยที่พยายามสูดดมกลิ่นหอม ลมหายใจ และเสียงหัวเราะอันหวานล้ำไม่ให้เหลือแม้แต่อย่างเดียว
เฟเรสที่จ้องไปกลางห้องด้วยดวงตาอันมืดสนิทอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
ฝีเท้าที่ก้าวไปยังเตียงที่นางนอนอยู่อย่างไม่ลังเลนั้นไร้สุ้มเสียง ราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังออกล่าเหยื่อท่ามกลางความมืดมิด
ในจุดที่อยู่ห่างไปเพียงไม่กี่ก้าวจากโซฟาที่เขานอน เทียกำลังหลับอยู่
ราวกับอยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในโลก ไร้ซึ่งการป้องกันตัว
เฟเรสค่อยๆ ขึ้นไปบนเตียงนอน
ทว่านางไม่แม้แต่จะรู้สึกตัว ยังคงอยู่ในห้วงนิทรา
เขาค่อยๆ เอื้อมมือออกไป
เงาดำของมือที่เกิดจากแสงจันทร์ซึ่งสาดส่องเข้ามาพอดีสะท้อนลงบนร่างของนาง
ไม่รู้จักละอายเอาเสียเลย
มือนั้นขยับเข้าหานางที่กำลังนอนหลับอย่างไม่ลังเล
แต่ท้ายที่สุด สิ่งที่กล้าสัมผัสกลับเป็นกลีบกุหลาบสีแดงที่ติดอยู่บนเส้นผมอันน่าหลงใหลเท่านั้น
เป็นเช่นนี้อยู่เสมอ
นางเป็นคนที่เปล่งประกายเจิดจ้าจนแสบตา ดังนั้นคนที่มืดมนอย่างตนจึงทำได้เพียงวนเวียนอยู่ข้างๆ เท่านั้น
แม้จะนึกหวาดหวั่นว่าความมืดมนจะเปรอะเปื้อนสิ่งของอันแสนล้ำค่า ทว่าขณะเดียวกันก็รู้สึกหึงหวงอย่างน่ารังเกียจที่สิ่งเหล่านั้นกำลังร่วมกันแบ่งปันแสงสว่างของนาง
“อืมม…” ภาพที่นางลังเลใจเมื่อครู่ก่อนพลันซ้อนทับบนใบหน้าที่กำลังหลับลึกอย่างสบายใจ
สายตาที่ราวกับมองเห็นคนอื่นที่พาดผ่านขึ้นมาในนัยน์ตาสีเขียวอันงดงามนั้นแม้เพียงชั่วขณะเดียวด้วยเช่นกัน
ความรู้สึกราวกับด้านในทรวงอกถูกบีบรัดทำให้เฟเรสขมวดคิ้วเงียบๆ
‘หากย้อนเวลากับไปได้ละก็’
หากมีโอกาสนั้น เขาจะไม่ลังเลที่จะย้อนเวลากลับไปตอนที่เปิดประตูห้องที่ถูกตกแต่งด้วยดอกกุหลาบอีกครั้ง
เฟเรสเสยผมที่รุ่มร่ามของตนเองอย่างแรง
ความเสียใจพลันโถมเข้ามา
ทั้งที่ไม่ได้เมาจริงๆ เสียหน่อย แต่สุดท้ายกลับลืมตัวเปิดเผยจิตใจอันมืดมนของตนเองไปจนได้
และสุดท้ายก็พ่ายแพ้ต่อความวู่ว่ามจนทำให้เทียหวาดกลัวจนได้
เกรงว่าพรุ่งนี้เช้า เมื่อนางนึกถึงเรื่องนั้นได้หลังจากสร่างเมาแล้วจะเกลียดตน
ถ้าหากนางมองข้าแล้วไม่ส่งยิ้มให้อีก ถ้าหากว่านางไม่มอบไออุ่นให้ข้าแล้วละก็
เฟเรสที่ฝังหน้าลงบนหัวเข่าอย่างโศกเศร้า ขยับมือที่ตกอยู่บนเตียงนอนอย่างหมดเรี่ยวแรงไปหามือของนาง
ปลายนิ้วสั่นสะท้านเพราะพยายามที่จะไม่ออกแรงจับมือเล็กและนุ่มนิ่มที่สัมผัสได้ผ่านผ้าคลุมเตียง
ดวงตาทั้งสองข้างที่นางกล่าวชมว่าเหมือนเม็ดทับทิมนั้น แห้งเหือดกลายเป็นสีเลือดไปแล้ว
“ขอโทษ”
คำพูดที่เอ่ยออกมาอย่างยากลำบากดังแผ่วอยู่ในห้องอันมืดมิด
* * *
“ข้าเคนท์ เป็นทหารประจำเขตแดนเซอเชาว์ ขอตรวจบัตรประจำตัวด้วย”
ข้ายื่นบัตรประจำตัวสองใบที่มีอยู่ให้ทหารที่ไว้หนวดเฟิ้ม
“คู่สามีภรรยาเชเซอร์ โกลอา, ลาริต้า โกลอาอย่างนั้นเหรอ ทำไมถึงมาเขตแดนเซอเชาว์ล่ะ”
“มาขึ้นเรือโดยสารไปภาคตะวันออกที่จะออกเดินทางจากเชซายูน่ะค่ะ”
“…ลูกค้าของเชซายูอีกแล้ว”
ทหารของเซอเชาว์นิ่วหน้าพลางบ่นพึมพำราวกับไม่พอใจ
อาคาเดียร์ เป็นเมืองขนาดเล็กของเซอเชาว์ที่อยู่ติดกับเขตแดนลอมบาร์เดีย ตั้งอยู่ตรงทางผ่านที่จะเดินทางไปเชซายูจากลอมบาร์เดีย
แต่บรรยากาศที่สัมผัสได้กลับต่างกันโดยสิ้นเชิง
ที่นี่ต่างจากเขตแดนลอมบาร์เดียที่ผู้คนและรถม้าสามารถสัญจรได้อย่างเป็นอิสระ อาคาเดียร์ที่มีทหารประจำการอยู่ทั่วทุกหนแห่งให้ความรู้สึกตึงเครียดอย่างรุนแรง
ราวกับกำลังตามหาใครอยู่
“ในเมื่อเชซายูเป็นจุดหมายปลายทาง งั้นคงไม่พักอยู่นานสินะ ช่างเถอะ เข้าไปได้”
ทหารที่ส่งบัตรประจำตัวคืนให้ด้วยท่าทางไร้ไมตรีทุบด้านข้างของรถม้าดังปังพลางกล่าว
ทันใดนั้นสายตาเยือกเย็นของเฟเรสก็จ้องไปทางนั้น แต่ไม่นานรถม้าก็ออกเดินทาง เหลือเพียงความเงียบงัน
“อะแฮ่ม” ข้ากระแอมอย่างไม่สบายใจขณะมองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อสงบสติอารมณ์
หลังจากพยายามก่อกบฏแล้วล้มเหลวไม่เป็นท่า การเดินทางของพวกเราก็ตกอยู่ในสภาพนี้มาสองวัน
แม้จะแลกเปลี่ยนบทสนทนากันง่ายๆ อยู่หลายครั้ง แต่ก็เพียงแค่นั้น ไม่นานความเงียบสงัดอันน่าอึดอัดก็ปกคลุมเข้ามาอีก
หลังจากแน่ใจแล้วว่ารถม้าเข้ามาในถนนซึ่งเต็มไปด้วยที่พัก ข้าก็เหลือบมองเฟเรส
เขากำลังเท้าคางและมองออกไปนอกหน้าต่างที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับข้า
กำลังคิดเรื่องอะไรอยู่กันแน่นะ
ในเวลาแบบนี้ นิสัยที่ไม่ค่อยเปิดเผยความรู้สึกในใจออกมาของเขาช่างทำให้อึดอัดจริงๆ
‘ก็นะ ต้องเจ็บปวดแน่อยู่แล้ว’
ที่จริงความรู้สึกของเฟเรสนั้น ต่อให้ไม่ถามออกไปข้าก็พอจะรู้
ทั้งที่เขาแสดงความรู้สึกของตนเองออกมาอย่างตรงไปตรงมาถึงเพียงนั้นแท้ๆ แต่ไม่ว่าจะเข้าใจผิดหรือไม่ มันก็ถูกมองว่าข้าไม่เต็มใจไปแล้ว
เมื่อพิจารณาถึงนิสัยตามปกติของเฟเรส ข้าคิดว่าที่เขาเป็นแบบนั้นไม่ใช่เพราะโกรธข้าหรอก
ทว่าอาจกำลังคิดหมกมุ่นอยู่คนเดียวว่าตนเองทำเรื่องที่ข้าเกลียดลงไปแล้วก็ได้
แค่ดูจากการที่ไปนั่งห่างจากข้าถึงขนาดนั้นก็พอจะคาดเดาทิศทางความคิดเขาได้
‘ข้าอึดอัดจะแย่แล้ว’
ขณะก้าวลงจากรถม้าที่จอดตรงหน้าที่พักที่จองเอาไว้ ข้าก็ตัดสินใจได้
“เฟเรส ข้าขอคุยด้วยหน่อยสิ…”
ตอนที่กล่าวเช่นนั้นพลางจับเขาให้หันมานั่นเอง
“ท่านเฮลอกซ์?” เสียงเรียกอันแผ่วเบาดังขึ้นจากด้านหลัง
“ใช่…ท่านเฮลอกซ์หรือเปล่าคะ?”
‘เฮลอกซ์’ เป็นชื่อปลอมที่เฟเรสใช้เป็นบางครั้ง
แม้ตอนนี้จะไม่มีโอกาสได้ใช้ แต่นี่คือชื่อที่ใช้อยู่บ่อยครั้งสมัยที่เขาเรียนอยู่อคาเดมี่
ข้าค่อยๆ หันกลับไปมองยังที่มาของเสียง
ตรงนั้นมีหญิงสาวที่ดูไร้เดียงสา ผมยาวสีน้ำตาลมัดไว้อย่างเรียบร้อยยืนอยู่
ความหมายของสองมือที่จับกันแน่นอยู่ตรงหน้าอกหรือสีเลือดฝาดที่แต้มอยู่บนแก้มทั้งสองข้างนั้นชัดเจนยิ่ง
ราวกับมองไม่เห็นข้าที่ยืนอยู่ข้างๆ เฟเรส หญิงสาวก้าวเข้าไปหาเขาก้าวหนึ่งแล้วกล่าวด้วยดวงตากลมโตสีเขียวที่คลอไปด้วยน้ำตา
“ข้าลิเดียค่ะ! ท่านเฮลอกซ์ จำ…ข้าได้ใช่ไหมคะ?”
ว้าว อธิบายเรื่องนี้มาให้ชัดเจนเลยนะ ให้ตายเถอะ