เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - SPIN-OFF บทที่ 11
SPIN-OFF บทที่ 11
“…ใคร?”
เฟเรสนิ่วหน้าเล็กน้อย ดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ดีที่มีคนที่จำไม่ได้แสดงท่าทางว่ารู้จักตนเอง
“ลิเดียค่ะ!” หญิงสาวบอกชื่อตนเองเป็นครั้งที่สอง
แต่เฟเรสยังคงทำสีหน้าไม่รู้จักเลยสักนิดเหมือนเดิม
“ถึงสีผมจะไม่เหมือนเดิม แต่ข้ามั่นใจว่าใช่ท่านเฮลอกซ์นะ…”
ปฏิกิริยาอันเย็นชาของเฟเรส ทำให้หญิงสาวพึมพำอย่างทำตัวไม่ถูก
“แปลกจัง…ไม่มีทางจำข้าไม่ได้นี่นา”
ไม่มีทางจำไม่ได้?
เคยมีความสัมพันธ์ยังไงกันแน่ยะ?
ข้ารู้สึกได้ว่าคิ้วข้างหนึ่งกำลังกระตุก
“พ่อกับแม่ของข้าเปิด อยู่ตรงฝั่งนั้นไงคะ สามปีก่อนทุกครั้งที่ท่านมาแวะที่ภาคใต้ก็จะเข้าพักกับสหายที่นั่นตลอด…”
สามปีก่อน?
ถ้าเป็นภาคใต้เมื่อสามปีก่อน ก็คือหลังจากเกิดอุบัติเหตุที่ไอบัน และช่วงก่อนที่จะแอบส่งลาลาเน่ไปภาคตะวันออก
ตอนนั้น เฟเรสเดินทางไปพบชานตั้น เซอเชาว์ทางภาคใต้อย่างลับๆ เพื่อวางแผนขูดรีดเงินทุนของอังเกนัสสินะ
“อ๋า”
อาจเพราะเฟเรสเองก็นึกออกแล้ว จึงกะพริบตาทีหนึ่ง
เพียงแค่นั้นเท่านั้น แต่ใบหน้าของหญิงสาวที่ชื่อว่าลิเดียกลับสว่างจ้าราวกับเปิดไฟ
“ค่ะ! จำได้แล้วใช่ไหมคะ? ข้า ลิเดียค่ะ!”
“แต่จะว่าไป” เฟเรสเอียงศีรษะไปมาราวกับกำลังควานหาความทรงจำที่ผ่านมานาน “คนที่ชื่อว่าลิเดียคนนั้น…”
“จริงๆ เลย นั่นมันเมื่อสามปีก่อนนี่คะ! ตอนนี้ข้าเองก็เป็นผู้ใหญ่แล้วนะคะ!”
“อย่างงี้นี่เอง”
“เป็นเพราะท่านสีผมไม่เหมือนเดิม ข้าเกือบจะจำไม่ได้แล้วละค่ะ!”
บทสนทนาที่มีกันแค่สองคนยังคงดำเนินต่อไป
มันไม่ใช่ผลพวงที่เกิดจากความบังเอิญ
แต่เป็นการกระทำที่เจตนามากเลยทีเดียว
เพราะลิเดียคอยเหลือบมองข้าที่อยู่ข้างเฟเรสเป็นระยะมาตั้งแต่แรกแล้วยังไงล่ะ
ข้าก็เช่นกัน
เพราะคนทางนี้ก็สนใจการมีอยู่ของนางเช่นกัน
ข้าไม่หลบสายตาของลิเดียที่ปะทะกันมาในชั่วขณะนั้น และจ้องกลับไปตรงๆ และเริ่มพิจารณานางอย่างละเอียด
ผมสีน้ำตาล นัยน์ตาสีเขียว ถึงจะมีผมตรงไม่หยักศก และมีเครื่องหน้าที่อ่อนโยนต่างจากข้า
แต่ส่วนที่คล้ายกันจนมิอาจไม่สนใจได้นั้น ทำให้ข้ารู้สึกไม่สบอารมณ์
“คือ ท่านเฮลอกซ์…” ลิเดียมองมาที่ข้าแล้วนิ่วหน้าแวบหนึ่ง ก่อนจะเปิดปากพูด
“คนคนนี้คือ…”
ตอนนั้นเอง เฟเรสถึงได้ร้อง ‘อ๊ะ’ ออกมาอย่างไม่เป็นตัวเอง ก่อนหันมามองข้า
และข้าก็เห็นเขาชะงักไปทันที
ใช่แล้ว ดูเหมือนจะเข้าใจบรรยากาศตอนนี้แล้วสินะ?
เฟเรสที่กลืนน้ำลายเอื้อกหนึ่งหลังจากเห็นสีหน้าเย็นยะเยือกของข้ารีบกล่าวทันที
“อ่า คนนี้คือ…”
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ คุณลิเดีย” ข้าตัดบทสนทนาของเฟเรส พลางขยับเข้าไปหาลิเดียก้าวหนึ่ง
จากนั้นยื่นมือขวาออกไปพลางยกยิ้ม
“ข้า…ชื่อลาริต้าค่ะ”
ชั่วขณะนั้น ความปรารถนาที่อยากจะเปิดเผยชื่อจริงของข้าพลันพลุ่งขึ้นมา แต่ก็อดทนเอาไว้ได้อย่างยากลำบาก
ข้าแนะนำตนเองด้วยชื่อปลอมที่ตั้งขึ้นมาเพื่อการเดินทางในคราวนี้แทน
“ข้าชื่อลิเดีย มิตาราร์ค่ะ”
“อย่างงี้นี่เอง ว่าแต่เป็นอะไร…กับเฮลอกซ์เหรอคะ?”
“คะ?” ลิเดียจ้องมาที่ข้าด้วยสีหน้าประหลาดใจ ก่อนเผยอริมฝีปากขึ้นน้อยๆ
บางทีนางคงนึกไม่ถึงว่าข้าจะถามอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้ แล้วยังตกใจกับความจริงที่ว่าข้าสนิทสนมกับเขาจนถึงขั้นเรียกชื่อ ‘เฮลอกซ์’ ออกมาได้ตรงๆ
“ข้าเป็นคนรู้จักที่รู้จักกับท่านเฮลอกซ์มานานแล้วค่ะ”
“อ๋า คนรู้จักที่รู้จักกันมานาน”
หมายความว่าไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรเป็นพิเศษ แต่คำว่า ‘นาน’ ก็ยังแสลงหูอยู่ดี
ต่อให้นานมากแค่ไหน แต่จะนานกว่าข้าได้เชียวเหรอ
ข้าเงยหน้าขึ้นขณะที่แอบลำพองอยู่ในใจ
ตอนนั้นเอง ลิเดียก็เอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวพอสมควร
“แล้วท่านลาริต้าล่ะคะ?”
ดูยายนี่สิ
แต่ข้าไม่มีความจำเป็นต้องตอบสักนิด
เพราะเฟเรสที่ยืนฟังบทสนทนาอยู่ด้านหลังได้เดินเข้ามาโอบไหล่ข้าอย่างนุ่มนวลแล้วกล่าวว่า
“คนผู้นี้คือภรรยาข้าเอง”
“ภะ ภรรยา…” นัยน์ตาสีเขียวของลิเดียสั่นไหวอย่างรุนแรง
“ยินดีที่ได้เจอกันอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้เจอกันนานนะ”
หลังจากกล่าวคำทักทายที่สั้นจนฟังดูเฉยชาเล็กน้อย เฟเรสก็หันมองข้าทันทีพลางเอ่ยปาก
“งั้นเราขึ้นห้องกันเลยไหม ลาริต้า”
มือของเขาเลื่อนลงมาที่เอวของข้า แล้วประคองข้าไป
ลิเดียไม่ได้อยู่ในสายตาของเฟเรสอยู่ก่อนแล้ว
ตอนที่ข้าหันกลับไปมองเป็นครั้งสุดท้าย นางยังคงยืนอยู่ตรงนั้นราวกับถูกตอกตะปูเอาไว้
พอเห็นสีหน้าที่คล้ายว่าจะร้องไห้ออกมาเดี๋ยวนั้น แม้แต่ข้าก็ยังถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“เฮ้อ” นี่มันอะไรกันแน่
ระหว่างที่ข้าส่ายหน้าไปมา พนักงานของโรงแรมก็เดินเข้ามาหาและเอ่ยปาก
“คุณนายโกลอากับคุณโกลอาใช่ไหมครับ ข้ามานำทางไปห้องพัก เชิญทางด้านนี้…”
“คือว่า” ข้าค่อยๆ ดึงมือของเฟเรสที่โอบเอวตนเองอยู่ออก พลางกล่าวว่า
“ข้าขอไปเดินเล่นด้านนอกสักหน่อย ไปพักก่อนได้เลย”
“เที…ลาริต้า”
แม้จะได้ยินเสียงเขาเอ่ยเรียกดังขึ้นจากด้านหลัง แต่ข้าก็เดินออกจากโรงแรมไปทั้งอย่างนั้น
“โฮ่โฮ่ ดูเหมือนทั้งคู่จะทะเลาะกันสินะครับ”
พนักงานของโรงแรมพูดอย่างอ่อนโยนด้วยสายตาที่บอกว่า ‘ความสุขของวัยหนุ่มสาว’
เฟเรสมองดูแผ่นหลังของฟิเรนเทียที่ผลักประตูโรงแรมเดินออกไปเล็กน้อย ก่อนพูดขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
“ข้าสมควรกล่าวขอโทษนางสินะครับ”
สำหรับเขาที่คุ้นเคยกับใบหน้าที่ยิ้มอย่างสบายใจอยู่เสมอของฟิเรนเทีย ท่าทางที่ตึงเครียดจนเยือกเย็นแบบนั้นของนางเป็นสิ่งที่เขาไม่ค่อยชินเอาเสียเลย
และความจริงที่ว่าตนเป็นคนทำให้นางมีสีหน้าเช่นนั้น ก็ทำให้เขารู้สึกละอายใจจนแทบทนไม่ไหว
“แน่นอนสิครับ ถ้าคุณนายกลับมาแล้วต้องรีบอ้อนวอนเลยนะครับ นั่นคือวิธีการที่ดีที่สุด”
พนักงานยิ้มอย่างปล่อยวางขณะสอนปรัชญาชีวิต จากนั้นไม่นานก็เปิดประตูห้องที่อยู่ชั้นสองให้แล้วกล่าวว่า
“ห้องนี้ครับ หน้าต่างกว้าง แดดส่องเข้ามาอย่างดี ต้องพอใจแน่ครับ”
เฟเรสเดินเข้าไปก้าวใหญ่ แล้วหยุดยืนกลางห้อง
หลังจากกวาดตามองทั่วห้องอย่างเชื่องช้า เขาก็ส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า
“ช่วยหาห้องที่ดีอีกห้องให้หน่อยครับ”
“ครับ? ถ้าไม่ชอบห้องนี้ละก็ ห้องข้างๆ…”
แต่เมื่อลองไปดูห้องถัดไป ก็ยังเป็นห้องที่อยู่ในระดับเดียวกัน
คราวที่แล้วเป็นเพราะเวลากระชั้นชิดทำให้ต้องเข้าพักในห้องที่ซอมซ่อ แต่เขาไม่สามารถปล่อยให้ฟิเรนเทียนอนในที่แบบนั้นได้อีก
เฟเรสฉีกยิ้มให้พนักงานโรงแรมอย่างชำนาญ
“พอดีพวกเรามาฮันนีมูนน่ะครับ”
“อ๋า อย่างงี้นี่เองเหรอครับ”
“รบกวนด้วยนะครับ” เฟเรสกล่าวเช่นนั้น ก่อนหยิบตั๋วเงินของธนาคารลอมบาร์เดียออกมาจากอกใบหนึ่งยื่นให้
“โอ้โห”
พนักงานโรงแรมที่เห็นจำนวนเงินที่เขียนอยู่บนตั๋วเงินเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ ก่อนจะพยักหน้าให้
“เข้าใจแล้วครับ ช่วยรอตรงนี้สักครู่ เดี๋ยวข้าจะไปเตรียมห้องสวีทรูมที่โรงแรมของเราภาคภูมิใจให้นะครับ”
หลังจากพนักงานออกไปอย่างรีบเร่ง เฟเรสที่เหลือตัวคนเดียวก็ทิ้งตัวลงบนเตียงจนได้ยินเสียงดังฟุบ
เขาวางข้อศอกลงเหนือหัวเข่าแล้วโน้มร่างกายใหญ่โตลง ก่อนจะฝังใบหน้าลงกับสองมือ
ความเงียบสงบอันหวานล้ำทำให้เขาเอ่ยพูดคนเดียวที่แฝงไปด้วยเสียงทอดถอนใจออกมา
“หึง…แล้ว”
ทำได้เพียงปล่อยให้ติ่งหูถูกย้อมเป็นสีแดง เฟเรสไม่อาจลุกขึ้นจากตรงนั้นได้ไปสักพัก
“บ้าหรือเปล่า บ้าไปแล้วเหรอ?”
ข้าทิ้งตัวลงบนม้านั่งตัวเล็ก แล้วบ่นพึมพำออกมา
หลังจากออกมาจากโรงแรมและเดินอย่างไร้จุดหมาย รู้ตัวอีกทีก็พบว่าเท้าก้าวเข้ามาในเขตของอาคาเดียร์อีกครั้ง
ไม่สิ ตอนนี้เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ
“ไปหึงเด็กแบบนั้นได้ยังไงกันเล่า! อ้าก”
พอหวนนึกถึงเรื่องเมื่อครู่ ความละอายใจก็ถาโถมเข้ามาอีกครั้ง
ใจจริงทั้งอยากกระทืบเท้าปึงปัง ทั้งอยากขยี้ผมให้ยุ่งเหยิง แต่เป็นเพราะสวมฮู้ดปิดหน้าปิดตาอยู่ จึงทำได้เพียงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เท่านั้น
“ตั้งสติหน่อย…”
ใบหน้าอันเศร้าโศกของลิเดียที่เห็นเป็นครั้งสุดท้ายยังคงติดตา
“ถ้าบังเอิญเจอกันอีกครั้ง ข้าควรจะกล่าวขอโทษนางไหมนะ”
เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดนัก ปกติข้าไม่ใช่คนที่จะสูญเสียความเยือกเย็นเพราะเรื่องแบบนี้เสียหน่อย
ไม่ว่าจะตอนที่ต่อกรกับจักรพรรดินีราวินี หรือแม้แต่ตอนที่ประจันหน้ากับชานตั้น เซอเชาว์ที่ทำให้คนอื่นเสียอารมณ์ด้วยใบหน้าบึ้งตึงนั่น
ข้าเป็นคนที่รักษาเหตุผลอันเยือกเย็นได้อยู่เสมอ
ทว่า “ถึงกับอยากเปิดเผยชื่อลอมบาร์เดียออกไปเชียวนะ”
ข้าคงบ้าไปแล้วจริงๆ
“เฮ้อ” ข้ายกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดหน้าเพราะความอับอายที่ทำให้หน้าแดงอีกครั้ง
แต่ที่ข้าหน้าแดง ไม่ใช่แค่เพราะความจริงที่ว่าข้าหึงเฟเรสจากใจจริงเพียงอย่างเดียวหรอกนะ
“คนผู้นี้คือภรรยาข้า”
น้ำเสียงของเฟเรสที่กล่าวเช่นนั้นคล้ายยังวนเวียนอยู่ข้างหู
ข้าถูใบหูข้างซ้ายที่รู้สึกคันขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุอย่างแรง ก่อนเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง
“ตั้งสติหน่อย สติ”
ถึงจะอยู่ในระหว่างการท่องเที่ยวก็จริง แต่เราไม่ได้ออกมาเที่ยวจริงๆ สักหน่อย
แต่ภาพตอนเฟเรสตอนแนะนำว่าข้าคือ ‘ภรรยา’ ก็ยังเอาแต่ผุดขึ้นมาอยู่ได้
นี่มันไม่ใช่การฉายภาพซ้ำๆ นะ
ข้ากวาดตามองไปรอบข้างเพื่อพยายามเบี่ยงเบนความสนใจไปที่อื่น
“ดูน่าอยู่จังแฮะ” เรื่องของเฟเรสค่อยๆ ออกไปจากสมองทีละน้อย ภาพของเมืองอาคาเดียร์เริ่มเข้าสู่สายตา
“ถ้าเขตชานเมืองยังได้ขนาดนี้ ถือว่ายอดเยี่ยมทีเดียว”
โดยปกติ เขตชานเมืองมักจะมีมาตรฐานการครองชีพที่ต่ำ แม้จำนวนประชากรที่หลั่งไหลเข้ามาจะมากก็ตาม
แต่ชีวิตความเป็นอยู่ของพลเมืองอาคาเดียร์นั้น มองปราดเดียวก็ยังดูออกว่ามั่งคั่งร่ำรวย
แม้ว่าโรงแรมที่ทำธุรกิจโดยมีขบวนสินค้าของกลุ่มการค้าลอมบาร์เดียและร้านค้าเพลเลสเป็นเป้าหมายจะดูซบเซาลงบ้างหลังจากขบวนสินค้าของพวกเราถูกปิดกั้นไปก็ตาม
บรรยากาศแตกต่างไปจากเขตแดนอื่นที่แค่พลเมืองส่วนใหญ่ได้กินอาหารตรงเวลาในแต่ละวันก็ถือเป็นเรื่องยอดเยี่ยมแล้ว
“เพราะงั้นข้าถึงได้เกลียดชานตั้น เซอเชาว์ไม่ลงยังไงล่ะ”
เซอเชาว์ลดภาษีที่เรียกเก็บจากพลเมืองและพ่อค้าลงอย่างมาก และเพิ่มราคาธัญพืชซึ่งเป็นผลผลิตทางการเกษตรของพวกเขา
ยิ่งไปกว่านั้นยังเข้มงวดต่อเจ้าเมืองที่ปกครองในแต่ละท้องที่อย่างยิ่งอีกด้วย
ต่อให้เห็นแก่ตัวไปบ้าง แต่ชานตั้น เซอเชาว์ ผู้เป็นเจ้าตระกูลเซอเชาว์นั้นก็เป็นผู้ปกครองเขตแดนที่ดีจริงๆ
“ยิ่งไปกว่านั้น สภาพเสบียงของทหารก็ดูดี…เอ๋?”
ไม่ใช่ช่วงสงครามสักหน่อย ทำไมบรรยากาศของทหารเหล่านั้นถึงได้ตึงเครียดแบบนั้นกันนะ
ขณะที่ข้าคิดเช่นนั้นพลางเฝ้าดูสถานการณ์ของด่านตรวจตรงกำแพงเมืองอย่างเอาใจใส่ขึ้นนั่นเอง
“เอาละ ให้ไว!”
ประตูของอาคารขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนเป็นจุดรวมตัวซึ่งอยู่ใกล้กับด่านตรวจพลันเปิดออก ก่อนที่เหล่าทหารจะกรูกันออกมาเป็นขบวน
พวกเขาที่จับคู่กันกระจายตัวไปทั่วอาคาเดียร์ในพริบตา
มีหลายคู่ที่กระโดดขึ้นม้าและวิ่งไปทางทิศใต้ของอาคาเดียร์ และมีอีกหลายคู่ที่วิ่งออกไปด้านนอกด่านตรวจ
โดยเฉพาะเหล่าทหารที่ออกไปนอกกำแพงเมืองนั้น ได้เดินเข้าไปหาผู้คนที่กำลังยืนต่อแถวเพื่อจะเข้ามาในอาคาเดียร์
ในมือของพวกเขาถือกระดาษที่วาดรูปอะไรบางอย่างไว้คนละใบ
“อะไรน่ะ?”
ขณะที่ข้ากำลังคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติ เมื่อเห็นภาพที่ทหารเหล่านั้นกำลังเทียบใบหน้าของคนที่ยืนต่อแถวกับรูปภาพในมืออยู่นั่นเอง
ทหารสองคนของเซอเชาว์ก็เดินดุ่มๆ เข้ามาหาข้าแล้วเอ่ยถามว่า
“นี่ ตรงนั้นน่ะ ช่วยถอดฮู้ดออกสักครู่ได้ไหม”