เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - SPIN-OFF บทที่ 17
SPIN-OFF บทที่ 17
ทั่วทั้งร่างรู้สึกเมื่อยล้า
แต่ข้าไม่ได้ตื่นขึ้นเพราะเหตุผลนั้นหรอก
มีมือที่กำลังลูบหัวด้วยความรักใคร่
“อืมม”
ทันทีที่ยกเปลือกตาอันหนักอึ้งพลางลืมตาตื่น ภาพของห้องพักที่คุ้นตาขึ้นในช่วงหลายวันนี้ก็เข้ามาในสายตา
หมอนหนึ่งใบที่ตกอยู่ด้านล่างเตียง ผ้าปูที่นอนถูกดันไปอยู่ปลายเท้า และดวงตาของเฟเรสที่กำลังหลุบตามองข้าอยู่
ผมสีทองที่ทำให้ข้าลุ่มหลงอย่างร้ายกาจหายไปแล้ว กลับคืนมาเป็นผมสีดำอย่างเดิม
เมื่อคืนระหว่างที่อาบน้ำด้วยกัน เราช่วยกันล้างยาย้อมสีผมที่ติดอยู่บนผมออก
มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยอารมณ์ชั่ววูบเหมือนตอนที่เปลี่ยนสีผมครั้งแรก แต่พอดูจากความรู้สึกยินดีที่เกิดขึ้นเมื่อได้เห็นเส้นผมสีดำอันคุ้นเคยทันทีที่ลืมตาตื่น ข้าก็พบว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ดีแล้ว
โดยเฉพาะผมที่ยาวของข้าทำให้ใช้เวลานานเป็นพิเศษ แต่เฟเรสก็ช่วยล้างยาย้อมสีดำออกให้อย่างเอาใจใส่และพิถีพิถัน
จากนั้นก็
จากนั้นก็…
“สัตว์ประหลาด” ข้าหรี่ตามองเฟเรสพลางกล่าว
ไม่มีคำไหนนอกจากคำนี้ที่สามารถใช้บรรยายเฟเรสที่กลืนกินข้าได้แล้วจริงๆ
ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นในคืนวันนั้น คืนวันที่มีการจุดดอกไม้ไฟ
ทั้งที่ตอนอยู่นอกประตูห้อง เขาระมัดระวังและสองจิตสองใจถึงเพียงนั้นแท้ๆ
หลังจากจับมือข้าก้าวเข้ามาในห้องพัก เขาเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน
เรียกได้ว่าเหมือนกับ…สุนัขล่าเนื้อที่สายจูงขาดใช่ไหมนะ
ไม่สิ ข้าเป็นคนปล่อยสายจูงนั้นเองกับมือต่างหาก
“ผ่านมาหลายวันแล้วนะ” ข้าทุบหลังที่รู้สึกราวกับกล้ามเนื้อตึงเป็นก้อนขณะฝังใบหน้าลงบนหมอน
ราวกับถูกมอมเมาด้วยสุราแรง ข้าย้อนนึกถึงความทรงจำที่เหลืออยู่อย่างเลือนราง
ค่ำคืนที่เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับการฟังเสียงดังปุงปังของดอกไม้ไฟที่ได้ยินมาจากด้านนอก ในที่สุดก็สิ้นสุดลงได้หลังจากเห็นดาวประกายพรึก
ตอนที่ดวงอาทิตย์ส่องสว่างในยามเช้า และข้าตื่นขึ้นเพราะสัมผัสจากมือที่เช็ดตัวให้ ก็อีกรอบหนึ่ง
และตอนที่ข้ากินข้าวที่เขานำมาให้หลังจากลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบากตอนที่ดวงอาทิตย์จวนเจียนจะลับขอบฟ้า ก็อีกรอบหนึ่ง
และก็อีกรอบหนึ่ง…
ข้าสัมผัสได้ว่าใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นทันทีเมื่อนึกถึงหลายวันที่ผ่านมา หลายวันที่ไม่มีโอกาสให้สวมเสื้อผ้าเลย
“เฟเรส”
“อืม เทีย” เขาตอบกลับมาด้วยความรักใคร่
พร้อมกับที่เสยผมของข้าที่พลิ้วไหวอยู่ตรงหน้าออกไป
แต่ว่าข้าไม่หลงกลอีกแล้ว
ภาพลักษณ์เดิมอันหมดจด คนที่ติดกระดุมเสื้อเชิ้ตขึ้นไปจนสุดลำคอ ดูสุภาพราวกับคนที่เพิ่งกลับมาจากการทำงานเมื่อครู่นี้
แต่ตอนนี้ข้าชินกับภาพที่เฟเรสปลดกระดุมพวกนั้นพลางเดินเข้ามาหาจนไม่รู้จะชินยังไง…
“เจ้าน่ะ ปกติเรื่องที่ใช้ร่างกายก็เก่งแบบนี้หมดเหรอ”
“อืมม”
เฟเรสยิ้มร่า
แม้จะเป็นรอยยิ้มที่ดูเหมือนเขินอาย แต่ไม่ใช่หรอกนะ
ใบหน้าที่ยกยิ้มมุมปากขึ้นไปอย่างเจ้าเล่ห์นั่นน่ะ กลับกลายเป็นว่า
“เทีย” นิ้วมือหยาบกร้านและเรียวยาวของเขาเลื่อนผ่านไปข้างหู ก่อนสางผมของข้าอย่างละโมภ
“ก็ข้ารอมานานนี่” น้ำเสียงที่เอ่ยกระซิบเช่นนั้นฟังดูยั่วยวนอยู่บ้าง
“เพราะอย่างนั้นก็เลย เพราะอย่างนั้น…” สุ้มเสียงแหบพร่าขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกับที่ใบหน้าขยับโน้มเอียงเข้ามาใกล้
ข้าชื่นชมภาพนั้นด้วยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อยอีกครั้ง
อ่า แค่หน้าอย่างเดียวก็สว…
“โอโห!”
ว้าว จริงๆ เลย! เกือบจะถูกล่อลวงอีกแล้ว!
ข้ารีบยกนิ้วขึ้น ขัดขวางริมฝีปากของเขาไว้
“ไม่ได้”
แต่เฟเรสไม่ใช่ผู้ชายที่จะยอมถอยออกไปง่ายๆ แค่นั้น
เขาใช้มือกอบกุมนิ้วมือของข้าที่ขัดขวางการบุกรุกของตนเอง ก่อนจุมพิตลงบนนั้น
สัมผัสอุ่นร้อนและเปียกชื้นที่แนบลงมา ทำให้ปลายนิ้วรู้สึกซาบซ่าราวกับมีไฟฟ้าสถิตย์
“อีกครั้งนะ” เขาพูดอย่างออดอ้อน “เทีย ขออีกครั้งนะ…”
เป็นการอ้อนวอนที่หวานล้ำจนคล้ายกับว่าถ้าข้าไม่ยอมก็จะกลายเป็นคนที่เลวร้ายที่สุดในโลก
“นะ? รอบนี้ข้าจะจัดการทุกอย่างเอง…”
ยะ อย่างนั้นเหรอ?
ในเมื่อพูดมาอย่างน่าเห็นใจขนาดนั้น
ให้อีกสักครั้งก็คงไม่เป็น…
“อ๊ะ ไม่ได้!” แต่ข้าก็ปฏิเสธได้สำเร็จด้วยการหลับตาปี๋
เฟเรสที่แสนเจ้าเล่ห์!
เกือบหลงกลอีกแล้ว
“ข้าไม่ไหวแล้วจริงๆ! เหนื่อยจะตายแล้ว! อีกอย่างเจ้าน่ะ!”
ข้าขึงตาอย่างจริงจังที่สุดพลางตะโกนออกไป
“เจ้าแรงเยอะก็เลยทำได้นานนี่!”
ข้าทนไม่ไหวหรอกนะ!
เดี๋ยวสุดท้ายก็หมดแรงราวกับสลบไปอีกจนได้
“อ่า”
พอได้ยินคำปฏิเสธอย่างเด็ดขาดของข้า ประกายหม่นหมองก็กระจายไปทั่วนัยน์ตาที่เปล่งประกายระยิบระยับราวกับเม็ดทับทิมของเฟเรส
…หรือควรจะยอมให้ดีนะ?
ขณะที่กำลังใจอ่อนลงทุกขณะนั่นเอง
จุ๊บ
เสียงอันแผ่วเบาและชวนให้ขวยเขินดังขึ้นพร้อมกับจุมพิตที่คล้ายกลีบดอกไม้แตะลงมาบนหน้าผาก
“เข้าใจแล้วเทีย งั้นลุกขึ้นไปหาอะไรกินหน่อยนะ”
เฟเรสที่กลับมามีสีหน้าสุภาพเหมือนยามปกติพลันกล่าวขึ้น
“หลังจากมื้อเย็นเมื่อวานก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยนี่”
“เป็นเพราะใครกันล่ะ”
เพราะใครล่ะที่บอกว่าครีมที่เสริฟมาคู่กับมื้ออาหารเลอะปากข้า แล้วก็พุ่งเข้ามาทั้งอย่างนั้นน่ะ
“ครับ ดังนั้นข้าจะรับรองท่านไปเองครับ”
เฟเรสที่กล่าวด้วยรอยยิ้ม อุ้มข้าที่กำลังเอาผ้าปูที่นอนสีขาวห่อตนเองขึ้น
จากนั้นก็ก้าวฉับฉับออกไปราวกับไม่รู้สึกถึงความหนัก แล้ววางลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะที่ตั้งอยู่ตรงหน้าต่าง
ขนมปัง เนื้อสัตว์ ผลไม้ ไปจนถึงน้ำชา มื้ออาหารอันยอดเยี่ยมที่ถูกจัดเตรียมไว้พร้อมกำลังรอข้าอยู่
“เอามาตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย?”
“ไม่รู้สิ ประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนมั้ง”
ก็ว่าอยู่ว่าเหมือนได้กลิ่นหอมๆ จากที่ไหน
“งั้นแสดงว่าทิ้งไว้อย่างนี้มาหนึ่งชั่วโมงแล้วเหรอ?”
ตอนที่ข้าลืมตาขึ้น เฟเรสก็กำลังจ้องข้าที่นอนอยู่
“เจ้าน่าจะปลุกข้าสิ ไม่น่ารอเลย”
ข้าพึมพำด้วยความละอายใจเล็กน้อย
“ข้ามีความสุขมากที่ได้มองเทียนอนจนไม่รู้เลยว่าผ่านไปนานแล้วน่ะ”
“อะ อะไรกัน”
“ขอโทษนะ น่าจะหิวแล้วแท้ๆ คราวหน้าข้าจะปลุกให้เร็วกว่านี้นะ เทีย”
“เจ้าน่าจะหิวกว่าข้านะ…”
ขณะที่กำลังเอ่ยคำพูดอย่างไม่คิดอะไร ข้าก็ต้องชะงัก
“ไม่สิ ที่ข้าจะสื่อก็คือ เฟเรสน่าจะเหนื่อยกว่า…”
ไม่พูดดีกว่า
ข้าปิดปากแน่น แล้วหลบสายตาไปในที่สุด
เสียงหัวเราะทุ้มต่ำของเฟเรสเฉียดผ่านข้างหูที่สัมผัสได้ว่ากลายเป็นสีแดงก่ำอย่างชัดเจน
“กินเยอะๆ นะ เทีย”
เฟเรสกล่าว หลังจากจุมพิตเสียงดังจุ๊บลงบนพวงแก้มของข้า
คำพูดนี้ทำให้รู้สึกเหมือนเขามีแผนที่จะขุนข้าให้อ้วนก่อนแล้วค่อยจับกิน
ข้าปรายตามองเขาครั้งหนึ่ง ก่อนจะหยิบส้อมขึ้นมา
ต่างจากอาหารที่มองดูน่ารับประทาน แต่ข้ากลับไม่มีความอยากอาหารสักนิด
หลังจากกินผลไม้ไปจำนวนหนึ่ง ข้าก็ดื่มชาอุ่นๆ อีกไม่กี่อึกแล้ววางลง
“ไม่กินอีกสักหน่อยเหรอ”
“ขอพักแบบนี้อีกสักหน่อยเถอะ”
ข้าพิงศีรษะกับพนักพิงเก้าอี้พลางกล่าวตอบ
ความง่วงงุนเอาชนะความหิวแล้ว
มองเห็นเฟเรสที่สบตากับข้าผ่านสายตาที่กะพริบลงอย่างเชื่องช้า
“เฟเรส”
“อืม เทีย”
“ถ้าถึงรูมันแล้ว หาวว ไว้เราไปที่…”
แม้จะเป็นประโยคที่ไม่ยาวนัก แต่ความง่วงงุนที่โถมเข้ามา ทำให้ไม่ง่ายเลยที่จะพูดให้จบ
เฟเรสลูบแก้มข้าครั้งหนึ่งราวกับบอกว่าให้นอนอย่างสบายใจ แล้วกล่าวว่า
“ได้ เข้าใจแล้ว”
จู่ๆ ก็สงสัยขึ้นมา
ดังนั้นข้าเลยเหมือนจะส่งเสียงออกไป
ทำไมไม่ถามล่ะ?
อะไรเหรอ?
ว่าจะไปที่ไหนไง
ก็สัญญากันแล้วนี่ ไม่ว่าไปไหนก็จะไปด้วยกัน
อ๋า เพราะอย่างนั้นเหรอ
อือ เพราะอย่างนั้นแหละ
เหมือนจะได้สนทนากันแบบนั้นด้วย
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรแล้ว
“เทีย”
ข้าลืมตาขึ้นอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงที่บัดนี้คุ้นเคยยิ่งกว่าเสียงของใครเอ่ยเรียกข้า
มองเห็นห้องพักที่สว่างกว่าเดิมเล็กน้อย
แต่ก็แค่นั้น ไม่มีอะไรที่ต่างไปจากตอนที่ข้าหลับตาลง
รวมถึงเฟเรสที่ยังคงมองข้าอย่างรักใคร่อยู่ข้างๆ ด้วยเช่นกัน
“ข้าหลับไปนานแค่ไหนเหรอ?”
“…ประมาณสองชั่วโมง?”
“…เจ้าอยู่แบบนี้มาตลอดสองชั่วโมงอีกแล้วเหรอ?”
“อือ”
“เฟเรส เจ้าเป็นเอามากนะ”
เฟเรสยักไหล่แล้วหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าตกตะลึงของข้า
“ข้ารู้”
“…ห้ามไม่ได้แล้ว”
“ยังเหนื่อยมากอยู่ไหม?”
“ไม่แล้ว ดีกว่าเมื่อครู่ก่อนมาก”
“งั้นลองมองไปนอกหน้าต่างสักครั้งไหม เทีย?”
เฟเรสพรวดพราดลุกขึ้น แล้วเดินไปทางหน้าต่าง จากนั้นก็เลื่อนเปิดผ้าม่านที่บังหน้าต่างไว้โดยตลอดออกกว้าง
“ว้าว”
แสงแดดพลันสาดส่องเข้ามา
ข้าหอบผ้าปูที่นอนขึ้น เดินเข้าไปใกล้ราวกับถูกล่อลวง
ใต้ดวงตะวันที่ลอยสูงเด่น สีฟ้าครามที่ล้ำลึกทอดยาวออกไป
และข้าก็มองเห็นพื้นดินที่อยู่ไกลออกไปตรงนั้น
ดินแดนที่อาคารเตี้ยๆ สีขาวตั้งอยู่จนเต็มชะง่อนเขาสูง
“รูมัน”
เสียงของเฟเรสที่กำลังจุมพิตบนศีรษะของข้าดังขึ้น พร้อมกับที่เรือสำราญเดินทางมาถึงจุดหมายปลายทาง