เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - SPIN-OFF บทที่ 18
SPIN-OFF บทที่ 18
พอเดินออกมาหลังจากรีบอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เรือก็กำลังเทียบท่าอยู่พอดี
“รูมันของจริงเลยแฮะ”
ข้าพึมพำโดยที่พิงอยู่กับราวกั้นบนดาดฟ้า
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ารูมันซึ่งเป็นศูนย์กลางของภาคตะวันออก ที่มักจะได้ฟังผ่านคำพูดของคนรอบข้างและอ่านผ่านตัวหนังสือบนรายงานอยู่เสมอจะกำลังปรากฏอยู่ตรงหน้าของข้า
“สวยจัง”
เป็นภาพที่เหมือนกับสิ่งที่อาบีน็อกซ์เคยเล่าให้ฟังไม่มีผิด
อาคารสีขาวที่มีหลังคาสีเขียวและแดง ผู้คนที่สวมเสื้อผ้าลวดลายหรูหรา และซอยแคบๆ ที่โยงใยกันราวกับใยแมงมุม มารวมอยู่ในที่เดียวกันราวกับภาพวาดภาพหนึ่ง
และก็มีบางสิ่งที่ทำให้ภาพภาพนั้นยิ่งสมบูรณ์แบบมากขึ้น
นั่นคือเสียงร้องเพลงอย่างสนุกสนานที่คนงานของท่าเรือกำลังร้องระหว่างรอนำสัมภาระของเรือสำราญลง
แปะแปะ
เป็นเสียงกระทบคลื่น หรือว่าเสียงพายเรือ
หรือเป็นเสียงฝีเท้าของคนรักข้าที่กลับมาจากแดนไกล
เป็นเหมือนอย่างที่อานีน็อกซ์เคยบอกไว้ ที่ว่าการเล่นเครื่องดนตรีและร้องเพลงตามชายฝั่งขณะรอการกลับมาของคนในครอบครัวที่ออกทะเลเป็นประเพณีของภาคตะวันออก
เพลงพื้นเมืองของภาคตะวันออกที่ครื้นเครงแต่ก็แฝงไว้ซึ่งความเศร้าโศกให้ความรู้สึกคุ้นหูและอบอุ่น แม้ข้าจะเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกก็ตาม
ขณะที่ข้ากำลังร้องเพลงตามไปโดยไม่รู้ตัวเช่นนั้น เฟเรสก็เดินเข้ามาข้างๆ แล้วเอ่ยด้วยความประหลาดใจสั้นๆ
“เทียบกับเมื่อหลายปีก่อนไม่ได้เลย”
“หมายความว่าเจริญขึ้นมากใช่ไหม?”
“อืม ถ้าไม่ใช่เพราะที่นี่เป็นจุดหมายปลายทางของเรือสำราญ ข้าอาจจะนึกว่าสมอเรือทอดลงผิดเมืองก็ได้”
รูมันในตอนก่อนที่การค้าตะวันออกจะเริ่มขึ้นเคยเป็นแบบไหนกันนะ
บางทีอาจจะเป็นเมืองเล็กๆ ที่มีชายหาดที่แสนเงียบสงบและงดงามยิ่งกว่าตอนนี้
จู่ๆ ก็สงสัยขึ้นมา
ราวกับอ่านความคิดนั้นของข้าได้ เฟเรสเข้ามาสวมกอดจากทางด้านหลัง จากนั้นจุมพิตลงบนศีรษะข้าแล้วเล่าให้ฟัง
“ไม่ได้มีแนวกันคลื่นใหญ่ๆ หลายจุดเหมือนอย่างตอนนี้หรอก มีแค่ประมาณสองจุดสำหรับทำการค้าบนแผ่นดินตะวันออกเท่านั้น บริเวณทางนั้นที่เต็มไปด้วยโกดังเก็บสินค้าก็เคยเป็นที่ราบกว้างที่มีแต่ก้อนหิน แถวท่าเรือก็มีร้านอาหารมากขึ้นพอสมควร”
“อาคารหลังใหญ่ข้างบนนั้นล่ะ มันดูค่อนข้างใหม่มากเลยนะ”
“อืม เดิมทั้งหมดตรงนั้นเคยเป็นที่พักอาศัย เปลี่ยนไปเยอะมากเลย”
“ว้าว น่าทึ่งจริงๆ”
“ดูเหมือนจะมีร้านอาหารกับโรงแรมสร้างขึ้นใหม่ตามท่าเรือไม่น้อย เราไปหาอะไรกินตรงนั้นแล้วค่อยออกเดินทางดีไหมเทีย?”
แต่เดิมแถวๆ สถานีและท่าเรือก็ย่อมมีร้านอาหารมากมาย
ข้าผงกศีรษะทันที
“เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วไปร้านค้าเพลเลสสาขารูมันที่อยู่ตรงท่าเรือกัน เราต้องนั่งรถม้าจากที่นั่นต่อไปอีกสองสามชั่วโมง”
แม้จะเดินทางถึงรูมันแล้ว แต่กำหนดการเดินทางของพวกเรายังไม่สิ้นสุด
จุดหมายปลายทางที่แท้จริงอยู่อีกที่หนึ่ง
เฟเรสที่ฟังคำอธิบายของข้าเงียบๆ ยิ้มพลางเอ่ยตอบกลับว่า
“ถ้าเป็นที่ที่เทียจะไป ที่ไหนก็ย่อมได้”
หลังจากเติมท้องจนเต็มอิ่มจากร้านอาหารที่เข้าไปโดยบังเอิญ พวกเราก็มุ่งหน้าสู่ร้านค้าเพลเลส
บังเอิญว่าอาคารสูงที่ข้าชี้ตอนอยู่บนเรือสำราญเมื่อครู่ก่อน ก็คือร้านสาขาของร้านค้าเพลเลสพอดี
“ยินดีต้อนรับครับ! ต้องการอะไรเหรอครับ?”
น้ำเสียงมีชีวิตชีวาเอ่ยถามข้าทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปในร้าน
“สวัสดีค่ะ ข้ามาพบผู้จัดการร้าน แบร์ดี้ ลอร์คค่ะ”
แบร์ดี้ คือชายหนุ่มที่มีผมสีน้ำตาลแดงสะดุดตาขัดกับสีผิวที่ขาวเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นพนักงานที่เคยทำงานร่วมกับไวโอเล็ตตั้งแต่ร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮันก่อตั้งขึ้นเป็นครั้งแรก
แบร์ดี้ ลอร์คผู้นั้นถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการร้านสาขาที่รูมันซึ่งเป็นหนึ่งในเขตแดนที่สำคัญที่สุดแห่งนี้เมื่อประมาณหนึ่งปีหกเดือนก่อน
เป็นคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายที่เกิดขึ้นพร้อมกับที่ข้ากลายเป็นเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย และไวโอเล็ตกลายเป็นหัวหน้ากลุ่มการค้าเพลเลส
“ถ้าเป็นผู้จัดการละก็อยู่ด้านบนครับ แต่….”
ผู้จัดการร้านค้าเพลเลส ไม่ใช่บุคคลที่บอกว่าอยากพบแล้วก็สามารถพบได้
“ไม่ทราบว่าได้นัดหมายมา…”
ขณะที่พนักงานกำลังปริปากพูดอย่างระมัดระวังราวกับกังวลว่าควรจะต้องอธิบายเรื่องนี้ยังไงดีนั่นเอง
“ท่านเจ้าตระกูล!”
เสียงตึงตังเบาๆ ดังขึ้นพร้อมกับที่ชายวัยสามสิบกลางๆ ลงบันไดมาจากชั้นบนราวกับวิ่ง
“มะ มาแล้วเหรอครับ!”
ดูเหมือนไวโอเล็ตคงจะแจ้งแบร์ดี้ ลอร์คไว้ล่วงหน้า
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะแบร์ดี้ สบายดีไหม?”
“ครับ! สบายดีครับ! เป็นเพราะท่านเจ้าตระกูลกับตระกูลลอมบาร์เดีย…เฮือก! งะ งั้น ท่านผู้นี้ก็คือ…”
แบร์ดี้ที่เพิ่งจะค้นพบเฟเรสที่ยืนอยู่ด้านข้างข้า ค้อมศีรษะลงพร้อมกับมืออันสั่นเทา
“ปะ เป็นเกียรติของกระหม่อมที่ได้ทักทายแบบนี้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”
“เฮือก!”
พอหันกลับไปเพราะได้ยินเสียงประหลาดที่คล้ายกับเสียงสายลมพัด ก็พบว่าพนักงานที่ต้อนรับพวกเราเมื่อครู่นี้กำลังยืนอยู่ด้วยใบหน้าซีดเผือด
“ลอม…บาร์เดีย…ฝะ ฝ่าบาท?!”
แม้ข้าไม่ได้ตั้งใจจะเปิดเผยตัวตนของพวกเราที่นี่ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร
พวกเรามาถึงตะวันออกแล้ว และต่อให้ภายหลังชานตั้น เซอเชาว์ทราบเรื่องที่ข้ากับเฟเรสออกเดินทางมาก่อนก็ไม่มีสิ่งใดที่สามารถทำได้แล้ว
เพราะรูมันเป็นดินแดนที่เป็นมิตรกับลอมบาร์เดียในหลายๆ ด้านนี่นะ
หลังจากยิ้มน้อยๆ ให้พนักงานที่เหมือนถูกฟ้าผ่าไปแล้ว ข้าก็เอ่ยปากถามแบร์ดี้
“ข้าก็อยากจะดื่มชาสักถ้วยก่อนค่อยออกเดินทางเช่นกัน แต่พอดีมีคนที่รอพวกเราอยู่น่ะ ไม่ทราบว่าเราสามารถขึ้นรถม้าได้ทันทีเลยไหมคะ แบร์ดี้?”
“แน่นอนครับ! เตรียมไว้หมดแล้วครับ! ส่งสัมภาระมาทางนี้เลย!”
ผู้จัดการร้านค้าเพลเลสรับกระเป๋าจากมือของเฟเรสไปถือราวกับเด็กถือกระเป๋า
รถม้าถูกเตรียมไว้ตรงหน้าประตูข้างของร้านสาขาพอดี
เป็นรถม้าที่เตรียมทุกสิ่งทุกอย่างไว้พร้อมรับมือกับเส้นทางที่ค่อนข้างขรุขระข้างหน้า
“รถม้าคันนี้จะพาทั้งสองท่านไปส่งถึงที่นั่น สารถีเองข้าก็เลือกคนที่เชี่ยวชาญเป็นพิเศษมาให้ครับ”
“ขอบใจนะแบร์ดี้ งั้นไว้พบกันที่งานแต่งในอีกหลายวันข้างหน้านะ”
“ครับ! เดินทางถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพนะครับ!”
แบร์ดี้ ลอร์คค้อมตัวอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งมองไม่เห็นรถม้าที่พวกเรานั่งอีกต่อไป
ข้ามองเห็นคนสัญจรผ่านที่จดจำผู้จัดการของร้านค้าเพลเลสได้กำลังซุบซิบกัน
เป็นแบบนั้นอีกเดี๋ยวข่าวคงได้ลือออกไปหมดพอดี
ข้ายิ้มขณะส่ายหน้าไปมา ก่อนจะหาวออกมาเบาๆ
“เหนื่อยเหรอ?”
เฟเรสที่มองออกไปนอกหน้าต่างพลางชื่นชมถนนหนทางของรูมันจนถึงตอนนี้ เอ่ยถามออกมาหลังจากสังเกตได้ราวกับภูติผี
“อืมม นิดนึงนะ?”
“ไม่ได้ป่วยตรงไหนใช่ไหมเทีย? ดูเหมือนเรี่ยวแรงเจ้าจะน้อยไปแล้วนะ”
“ไม่ใช่เรี่ยวแรงน้อย แต่เป็นเพราะใช้เรี่ยวแรงไปเยอะ..!”
ข้าไม่ควรพูดออกไปสินะ
พอเห็นข้าพูดอยู่ดีๆ ก็หันหน้าหนีไป เฟเรสก็หัวเราะออกมา
เขาหยอกเล่นทั้งที่รู้อยู่แล้วจริงๆ ด้วย
ไหนลองให้ลำบากดูสักครั้งเสียบ้าง
ข้าเปลี่ยนใจใช้ขาของเฟเรสแทนหมอนแล้วนอนลงไป แทนความคิดที่จะพิงผนังรถม้าแล้วหลับตาลงในตอนแรก
“ต้องเดินทางอีกประมาณสามชั่วโมง ถึงแล้วช่วยปลุกข้าด้วยนะ”
ต่อให้เป็นเฟเรสที่แข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้า แต่ถ้าให้นอนหนุนตักถึงสามชั่วโมง ยังไงขาก็ต้องชาบ้างแหละนะ
ข้าปิดตาลงโดยแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
แน่นอนว่าข้าไม่คิดจะให้เฟเรสลำบากไปหลายชั่วโมงจริงๆ หรอก
กะว่าจะแกล้งทำเป็นหลับครู่หนึ่ง แล้วค่อยลุกขึ้นแท้ๆ
แต่มือเขาเริ่มลูบผมให้ข้า
อ่า แบบนี้ไม่ได้นะ
เดี๋ยวก็ได้หลับจริงๆ หรอก
แม้จะคิดเช่นนั้นและอยากจะลุกขึ้น แต่สายตาก็เริ่มเลือนรางเสียแล้ว
เฟเรสที่ข้าแหงนหน้ามองก่อนที่จะเข้าสู่ห้วงนิทราไปอย่างสมบูรณ์ กำลังยิ้มอย่างสบายใจมากกว่าครั้งไหนๆ และมองมาที่ข้า
“ฝันดีนะ เทีย”
“…ไม่เป็นไรอะไรจริงเหรอ?”
“อือ”
“ไม่รู้สึกชาสักนิดจริงๆ เหรอ?”
คนเราจะเป็นแบบนั้นได้ยังไง?
พอได้ยินข้าถามไม่หยุด เฟเรสก็เอียงศีรษะราวกับไม่เข้าใจว่าปัญหาคือตรงไหนกันแน่
“มันก็แค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง”
“คนปกติแค่ชั่วโมงเดียวก็ลำบากแล้วนะเฟเรส”
“อย่างนั้นเหรอ” เฟเรสยักไหล่ด้วยใบหน้าผ่อนคลายราวกับจะบอกว่าก็ไม่รู้สิ
“ข้ารู้สึกว่าอีกสิบชั่วโมงก็ยังไหวนะ”
“…รู้สึกเหมือนแพ้ยังไงไม่รู้”
ข้าหลงลืมไปชั่วขณะว่าร่างกายของเฟเรสที่เรียกออร่าออกมาได้อย่างต่อเนื่องนั้นต่างกับร่างกายของคนทั่วไปมากนัก
“หรือเป็นเพราะเหนื่อย นอนต่อไหม?”
“ไม่ละ”
ข้าส่ายหน้า
ไม่ใช่เพราะเย่อหยิ่ง
“พวกเราถึงแล้วละ”
“จุดหมาย…คือที่นี่เหรอ?”
สถานที่ที่ข้าถึงกับปิดบังฐานะแท้จริงและออกเดินทางล่วงหน้ามาก่อนหลายวัน หลังจากโมโหเพราะการลอบโจมตีของชานตั้น เซอเชาว์
คงไม่เข้าใจสินะว่าทำไมสถานที่ที่สำคัญแบบนั้นถึงมาอยู่กลางที่นาที่ไม่มีอะไรเลยเช่นนี้น่ะ
รถม้ากำลังค่อยๆ หยุดลงพอดี
ข้าเปิดประตูรถม้าออกจนสุดพลางพูดกับเฟเรส
“ไปกันเถอะ คงกำลังรอพวกเราอยู่แล้ว”
ฝีเท้าของข้าที่เดินนำหน้าไปเร็วกว่าปกติเล็กน้อย
เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เพราะหัวใจกำลังตื่นเต้น
“เทีย เดี๋ยวก็ล้มหรอก”
“เจ้ากังวลมากไปแล้วเฟเรส”
แน่นอนว่าข้าก็เพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรกเช่นกัน
แต่แผนที่ของสถานที่แห่งนี้ซึ่งข้าเห็นมาไม่รู้กี่ครั้งนับตั้งแต่วันที่มันถูกสร้างขึ้นจวบจนถึงตอนนี้ กลับปรากฏชัดเจนอยู่ในสมองของข้า
ถนนเส้นตรงที่ตัดผ่านที่ราบกว้างจนมองไม่เห็นปลายทาง
ผลิตผลทางการเกษตรที่สุกงอมเป็นสีทองอร่ามอยู่ทั้งสองข้างทางนั้นปลิวไสวไปตามแรงลม
และบนถนนเส้นนั้น มีคนที่ข้าอยากเจอมานานยืนอยู่
“ลาลาเน่!”
ได้ยินเสียงเรียกของข้า ลาลาเน่ที่สวมชุดเดรสพลิ้วอันเป็นเอกลักษณ์ของรูมันก็หมุนตัวกลับมา
ลาลาเน่ที่สวมหมวกใบใหญ่เพื่อบังแสงแดด ยิ้มกว้างกว่าครั้งไหนๆ โดยมีทุ่งสีทองอร่ามแห่งนี้เป็นฉากหลัง
“เทีย!”
ใช่ลาลาเน่แสนบอบบางที่ไปกลับแต่คฤหาสน์กับเรือนกระจกจริงไหมเนี่ย
ลาลาเน่วิ่งเข้ามารวดเดียวแล้วสวมกอดข้าทันที
“ไม่ได้เจอกันนานมากเลย! สบายดีไหม?”
“แน่นอนสิ! ลาลาเน่ก็ดูแข็งแรงมากเลยนะ!”
พวกเราถามความเป็นอยู่กันและกันแบบนั้นอยู่สักพัก
“ตายแล้ว ดูสติข้าสิ ฝ่าบาททรงสบายดีนะเพคะ”
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ลาลาเน่”
เฟเรสก็ทักทายกับลาลาเน่ด้วยความยินดี
ทว่าไม่ใช่ท่าทางที่คลายความสงสัยลง
ถึงยังไงการเดินทางมาตะวันออกก็เป็นกำหนดการณ์ที่วางไว้เพื่อมาเข้าร่วมงานแต่งงานของลาลาเน่กับอาบีน็อกซ์อยู่แล้ว
ใบหน้าเขายังปรากฏความไม่เข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้ข้าออกเดินทางจากลอมบาร์เดียมาก่อนหลายวัน
ข้าเดินเข้าไปหาเฟเรสที่เป็นแบบนั้น แล้วเอ่ยถาม
“ยังไม่รู้อีกเหรอ?”
ข้าจับมือเขา แล้วดึงไปทางทุ่งกว้างที่อยู่ด้านข้างของถนน
ซ่า
ประจวบเหมาะกับที่มีสายลมยาวพัดผ่านที่ราบมาพอดี
เฟเรสมองไปทางนั้นอย่างไม่ใส่ใจ
ในชั่วขณะนั้นเอง
นัยน์ตาสีแดงพลันสั่นเทาอย่างแรงรอบหนึ่ง
“ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหม? สาเหตุที่ข้าขอให้เจ้าออกเดินทางมาเป็นเพื่อน”
“เทีย นี่คือ…”
เฟเรสเอื้อมมือไปทางผลผลิตทางการเกษตรราวกับไม่อยากเชื่อ
แต่สัมผัสคันยุบยิบที่เฉียดผ่านฝ่ามือคือของจริงที่ไม่มีทางหายไป
“ใช่แล้ว ข้าวสาลีละ เฟเรส”
ซ่า
ท่ามกลางสายลมที่ซัดสาดเข้ามาราวกับระลอกคลื่น ข้าวสาลีที่สุกงอมได้ที่กำลังเต้นรำโดยพร้อมเพรียงกัน
“ตอนนี้ภาคตะวันออกก็ปลูกข้าวสาลีได้แล้วนะ”