เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - SPIN-OFF บทที่ 22
SPIN-OFF บทที่ 22
ตรงจุดที่ข้าส่งสายตาไป มีคนกลุ่มหนึ่งอยู่
เป็นกลุ่มคนที่สวมชุดสีดำที่แม้จะดูคล้ายกันแต่ก็มีรูปแบบที่ต่างกันไปเล็กน้อย
พวกเขาเหล่านั้นที่ทั้งอายุ ทั้งเพศและรูปลักษณ์ภายนอกแตกต่างกันไปนั้น กำลังสนุกกับงานเลี้ยงอยู่ในหมู่พวกเขาเองในอีกฝั่งหนึ่งของห้องจัดเลี้ยง
พวกเขาไม่ได้นั่งอยู่อย่างเคร่งขรึม แต่ทั้งที่อยู่ในท่าทางที่ดูสบายๆ เป็นอย่างยิ่ง กลับให้บรรยากาศที่แปลกประหลาดชอบกล
หากเป็นคนที่ประสาทสัมผัสไวหน่อยละก็ นี่เป็นสิ่งที่ไม่อาจเมินเฉยได้อย่างสิ้นเชิง
คล้ายว่ามีกำแพงที่มองไม่เห็นอยู่ระหว่างแขกผู้มาร่วมงานคนอื่นกับคนเหล่านั้น
ไม่รู้เป็นเพราะผู้คนในภาคตะวันออกรู้ว่าคนเหล่านั้นคือใครหรือไม่ พวกเขาจึงไม่ขยับเข้าไปใกล้โดยเด็ดขาดและเว้นระยะห่างเอาไว้
ด้วยเหตุนั้น บริเวณรอบข้างคนเหล่านั้นในห้องจัดเลี้ยงที่แออัดจึงเงียบสงบเป็นอย่างมาก
“อ่า คนเหล่านั้นคือ…” เจ้าตระกูลรูมันนึกคำที่จะพูดรอบหนึ่ง “ดยุกน็อกซ์กับผู้บริหารระดับสูงที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาที่มาจากทวีปทางตะวันออกครับ”
“ทวีปทางตะวันออกงั้นเหรอคะ”
ในคราวนี้ข้าตกใจมากจนไม่เป็นตัวเอง
แน่นอนว่าข้ารู้ว่าทวีปทางตะวันออกมีผู้คนอาศัยอยู่ และรู้ว่าที่นั่นยังมีประเทศที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานอยู่ด้วย
แต่เนื่องจากระยะทางที่ห่างไกลกันมาก ทำให้ไม่เคยมีการติดต่อแลกเปลี่ยนกับอาณาจักรแลมบลู
“การเดินทางข้ามทะเลน่าจะไกลมากไม่ใช่เหรอคะ”
เจ้าตระกูลรูมันผงกศีรษะให้กับคำถามของข้า
“เป็นเช่นนั้นครับ แต่ว่าวิธีการเดินเรือและเทคโนโลยีของทวีปทางตะวันออกเหนือกว่าพวกเราครับ ไม่ใช่แค่เรื่องที่เกี่ยวกับท้องทะเลเท่านั้น พวกเขายังค้นคว้าเทคโนโลยีที่เรียกว่า ‘วิศวกรรมมานา’ อย่างต่อเนื่องด้วยครับ เพราะงั้นก็เลยได้ยินมาว่ามีสิ่งของที่น่าสนใจเยอะมากเลย”
“โอ้ อย่างนั้นเหรอคะ” เมื่อได้ยินคำอธิบายของอินดิท รูมัน สัญชาตญาณในฐานะเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียที่อยู่ในตัวข้าก็พลันดิ้นพล่าน
ตามที่รับรู้ มันคือการค้นพบทวีปใหม่
“รูมันได้ทำการค้าขายกับทวีปทางตะวันออกบ้างเป็นครั้งคราวมาตั้งแต่อดีตครับ เพราะงั้นข้าจึงส่งบัตรเชิญไปให้…นึกไม่นึกเลยว่าพวกเขาจะมาจริงๆ ครับ”
“หืมม” ทวีปทางตะวันออกอย่างนั้นเหรอ
เป็นสถานที่ที่สามารถตีตลาดใหม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น คำว่า วิศวกรรมมานา ที่ว่าก็ยังทำให้ข้าหูผึ่ง
“หากท่านเจ้าตระกูลสนใจเรื่องทวีปทางตะวันออกละก็ ลองไปคุยกับดยุกน็อกซ์ คนที่ผมสีเงินทางนั้นดูสิครับ”
“ผู้ชายคนนั้นเหรอคะ”
ภายในห้องจัดเลี้ยงที่มีผู้คนพลุกพล่าน มีชายเพียงผู้เดียวที่มีผมสีเงินเป็นประกาย
“คนผู้นั้นคือดยุกอย่างนั้นเหรอ”
ชายที่เรียกว่าดยุกน็อกซ์นั้น กำลังนั่งเอาขาข้างหนึ่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาคนเดียว
หากไม่มีการเคลื่อนไหวเป็นครั้งคราวอย่างการหมุนแก้วเหล้าในมือข้างหนึ่งช้าๆ ข้าก็เกือบจะนึกสงสัยว่านั่นคือภาพวาดหรือเปล่า
“ต่างจากทวีปทางตะวันตกของพวกเรา ทวีปทางตะวันออกนั้นมีสิ่งที่เรียกว่าตำแหน่งอยู่ครับ แบ่งลำดับเป็นดยุก มาร์ควิส เอิร์ล ไวเคานต์และบารอนครับ”
“และคนผู้นั้นก็คือดยุกของตำแหน่งเหล่านั้นน่ะเหรอคะ”
“ครับ ใช่แล้ว นอกจากนี้ทวีปทางตะวันออกยังมีข้อพิเศษอยู่อีกสองอย่าง…”
เจ้าตระกูลรูมันลูบริมฝีปากครั้งหนึ่ง จากนั้นกล่าวต่อราวกับรู้สึกยุ่งยากใจเล็กน้อย
“ทวีปทางตะวันออกนั้นมีหลายอาณาจักรและหลายจักรวรรดิอยู่ในทวีป ต่างจากอาณาจักรแลมบลูที่อำนาจของจักรพรรดิเด็ดขาดจนรวมทวีปทางตะวันตกเป็นหนึ่งเดียวกันได้ครับ เป็นยุคสมัยที่อลหม่านเลยละครับ อีกทั้ง…”
เสียงของอินดิท รูมันเบาลงเล็กน้อย
“องค์กรต่างๆ ที่เติบโตและก่อตั้งขึ้นด้วยตนเองในแต่ละภูมิภาคก็มีอำนาจที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าอำนาจของจักรพรรดิหรืออำนาจของกษัตริย์อีกครับ”
“องค์กร? กำลังหมายถึงอะไรที่คล้ายกับองค์กรลับพวกนั้นเหรอคะ”
“ก็อะไรพวกนั้นแหละครับ”
“เช่นนั้นการบอกให้ไปลองคุยกับคนที่เรียกว่าดยุกน็อกซ์ผู้นั้นก็…”
“ชื่อเต็มของดยุกน็อกซ์คือ คิลเลียน น็อกซ์ เป็นผู้นำองค์กรที่ชื่อว่า ‘น็อกซ์’ ซึ่งนำมาจากนามสกุลของเขาครับ และคำพูดที่เล่ากันไปทั่วก็คือ…”
เจ้าตระกูลรูมันยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนราวกับตะขิดตะขวงใจอย่างยิ่งที่จะพูดต่อหน้าข้า
“ได้ยินว่าเขาครอบครองอำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่าจักรพรรดิของจักรวรรดิลูมเฟลท์เสียอีกครับ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อไม่นานมานี้ยังมีข่าวลือว่าเขาประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนอาร์ติแฟกต์มานาให้เป็นอาวุธอีกด้วยครับ”
“อย่างนั้นแสดงว่าเขาเป็นคนที่ครอบครองอำนาจที่ไม่มีใครเทียบได้จริงๆ นะคะเนี่ย”
พอได้ฟังคำอธิบายจากเจ้าตระกูลรูมัน ตอนนี้ข้าก็เข้าใจแล้ว
หากมองเพียงแวบเดียวดูเหมือนว่าเหล่าผู้บริหารระดับสูงขององค์กรที่ชื่อว่าน็อกซ์ ซึ่งสวมชุดร่วมงานสีดำกำลังกระจัดกระจายไปทั่วอย่างไร้ระเบียบวินัย
ทว่าตรงศูนย์กลางของพวกเขาเหล่านั้นมีดยุกนั่งอยู่
ราวกับว่ากำลังคุ้มกันเขา
“ผู้คุ้มกันในชีวิตประจำวันก็แข็งแกร่งอย่างยิ่งครับ มีเรื่องเล่าจากพยานผู้พบเห็นว่าพวกเขาฉีกคนด้วยมือเปล่าไม่ใช่แค่เรื่องสองเรื่องนะครับ”
“ช่างเป็น…คนที่เหมือนสัตว์ประหลาดจริงๆ เลยนะคะ”
ขณะที่ข้ากำลังพูดเช่นนั้น ดยุกน็อกซ์ที่เอาแต่มองแก้วเหล้าอย่างเกียจคร้านก็เงยหน้าขึ้นและจ้องมาที่ข้า
หรือว่า ได้ยินเสียงข้าจากตรงนั้นเหรอ?
สายตาพลันสบประสานกันคล้ายจะบอกว่าความคิดของข้าถูกต้อง
จากนั้นขนก็พลันลุกไปทั่วทั้งร่าง
เป็นเจตนาร้าย
ภายใต้แสงไฟสว่างจ้าของห้องจัดเลี้ยง ดวงตาทั้งสองข้างของดยุกน็อกซ์ที่สอดประสานกันส่องประกายสีทองอย่างประหลาด
“อืมม”
ไม่รู้ทำไมถึงไม่อาจเคลื่อนไหวได้ดั่งใจ
ประหนึ่งกำลังเผชิญหน้ากับบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ซึ่งไม่ใช่มนุษย์
“เทีย” ตอนนั้นเอง เฟเรสก็เข้ามาขวางด้านหน้าข้า
เห็นได้ชัดว่ากำลังสนทนากับพวกขุนนางของภาคตะวันออกอยู่อีกด้านแท้ๆ
เฟเรสจ้องคิลเลียน น็อกซ์เขม็งโดยไม่ปกปิดความโกรธเคืองอันแสนเยือกเย็นเลย
“เจ้าหมอนั่นทำไมน่ะ”
“เจ้าสีดำนั่น อยากตายหรือไง”
สองแฝดที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนเข้ามายืนปกป้องข้าทั้งสองด้าน
ทันใดนั้น อีกฝ่ายก็มีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นกัน
ผู้บริหารชั้นสูงของน็อกซ์ที่ดูเหมือนกำลังดื่มแอลกอฮอล์และปลีกตัวอย่างสันโดษเริ่มลุกจากที่กันทีละคนด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
ใบหน้าของแต่ละคนที่ไร้อารมณ์จนนึกสงสัยว่าใช่กลุ่มคนที่คุยเล่นกันเมื่อครู่จริงหรือไม่ เวลานี้มีท่าทางราวกับว่าขอเพียงมีสัญญาณมือจากดยุกน็อกซ์เพียงครั้งเดียว พวกเขาก็จะพุ่งมาทางนี้ทันที
ทันทีที่สถานการณ์ดำเนินไปในทิศทางนั้น ผู้คนที่แออัดกันเต็มห้องจัดเลี้ยงก็เริ่มเหลียวมองกันมาทีละคนสองคนราวกับรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
“ปล่อยไว้แบบนี้งานแต่งงานของลาลาเน่คงได้เละแน่”
เป็นงานที่จัดขึ้นได้อย่างยากลำบากถึงเพียงนั้นแท้ๆ จะให้เป็นแบบนั้นไม่ได้หรอก
“เฟเรส ข้าไม่เป็นอะไร” ข้าห้ามเฟเรสที่กำลังจ้องดยุกน็อกซ์เขม็ง ใบหน้าเยือกเย็นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
และทางกลุ่มของน็อกซ์ก็มีคนผู้หนึ่งเคลื่อนไหวเช่นกัน
เป็นหญิงสาวที่เรือนผมสีดำหยักศกมัดยกขึ้นสูงดูสะดุดตา
นางที่สวมชุดร่วมงานสีดำเช่นเดียวกันเดินเข้าไปหาดยุกคิลเลียน น็อกซ์อย่างเชื่องช้า
จากนั้นก็แตะไหล่ของดยุกอย่างไม่ลังเล แล้วพูดอะไรบางอย่างด้วยใบหน้าหงิกงอ
ทำแบบนั้นได้เหรอ
ทำแบบนั้นแล้วจะไม่ถูกจัดการเหรอ?
ขณะที่ข้ากำลังเป็นห่วงหญิงสาวที่ไม่รู้จักชื่อคนนั้นโดยไม่รู้ตัว
พลันเกิดเรื่องที่คล้ายกับคำโกหกขึ้น
ดยุกน็อกซ์ที่แสดงเจตนามุ่งร้ายออกมาอย่างรุนแรงหันหน้าขวับกลับไปทันที
จากนั้นก็เริ่มดื่มแอลกอฮอล์อีกครั้งราวกับว่าตนเองไม่เคยทำเช่นนั้นมาก่อน
ความกดดันที่กระจายออกมาอย่างตึงเครียดราวกับจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้ทุกเมื่อจางหายไป
ผู้บริหารชั้นสูงของน็อกซ์ที่เคยแสดงท่าทีเฝ้าระวังก็เริ่มพูดคุยกันเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวอีกครั้ง
“ฮูว”
ข้าถอนหายใจออกมาเบาๆ โดยไม่รู้ตัว
ซึ่งข้าก็ยังเห็นหญิงสาวที่อยู่อีกฝากหนึ่งกำลังส่ายศีรษะไปมาด้วยเช่นกัน
“โอ๊ะ สบตากันแล้ว” หญิงสาวคนนั้นจ้องมาที่ข้า
นัยน์ตาสีแดงนั้นเหมือนกับเฟเรสอย่างยิ่ง
ข้าทอดสายตามองกลับไปด้วยความประหลาดใจ เพราะไม่เคยเห็นใครที่มีนัยน์ตาสีแดงแบบนั้นนอกจากเฟเรส หญิงสาวผงกศีรษะกลับมาเป็นการทักทาย
คงหมายความว่าขอโทษสินะ
แต่ถึงอย่างไรคนที่พลั้งปากก่อนก็คือข้านี่นะ
ข้าเองก็สบตาทักทายกลับไปตรงๆ เช่นกัน
ทั้งที่อีกฝากหนึ่งของห้องจัดเลี้ยงมีระยะทางที่ไกลมาก แต่ไม่รู้ทำไมข้ากลับรู้สึกได้ว่าความรู้สึกของคนที่มีหัวอกเดียวกันมันถูกส่งไปถึง
“เทีย เกิดอะไรขึ้นเหรอ”
“อ๊ะ ลาลาเน่”
ไม่รู้เพราะสัมผัสได้ว่าบรรยากาศไม่ค่อยดีหรือเปล่า สีหน้าของลาลาเน่กับอาบีน็อกซ์ที่เข้ามาหาข้าจึงไม่สู้ดีนัก
ทั้งที่เป็นวันที่ต่อให้มีแต่ความยินดีก็ยังไม่เพียงพอแท้ๆ
ข้ายิ้มให้กว้างขึ้นกว่าเดิมเพราะรู้สึกผิดขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ไม่ใช่ว่าต้องไปคุยกับคนอื่นๆ อีกเหรอ”
“อืม ทั้งข้าแล้วก็ท่านอาบีน็อกซ์เหนื่อยนิดหน่อยน่ะ ไม่มีเรื่องอะไรจริงๆ ใช่ไหม?”
“แน่นอน อ๊ะ จริงสิ!” ข้าจับมือทั้งสองข้างของลาลาเน่แน่นพลางกล่าวขึ้น
“ยินดีด้วยสำหรับการแต่งงานนะ ลาลาเน่”
“อ่า..ขอบใจนะเทีย”
แก้มทั้งสองข้างของลาลาเน่พลันเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ
“น่าจะเป็นคำพูดที่วันนี้ทั้งวันได้ยินมาหลายสิบครั้งแล้วนี่ เขินเหรอ?”
“ก็ไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นเทียที่พูดอย่างนี้ ข้าก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นความจริงขึ้นมา”
“ยินดีกับท่านอาบีน็อกซ์ด้วยเหมือนกันนะคะ จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเลยใช่ไหม?”
“แน่นอนครับ! ไม่ต้องห่วงเรื่องท่านลาลาเน่เลยครับ ท่านเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย”
อันที่จริงในตอนแรกที่สั่งให้พาลาลาเน่หนีไปคืนนั้น ข้าก็รู้สึกเป็นกังวลมากเหมือนกัน
ถึงจะเป็นเรื่องที่ข้าผลักดันให้เกิดขึ้นเพราะรู้ว่าชีวิตของลาลาเน่มีจุดจบอย่างไรในชาติที่แล้วก็เถอะ
เพราะในตอนนั้นไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่าเขาจะเป็นคนที่สามารถทำให้ลาลาเน่มีความสุขได้เพียงเพราะไม่ใช่เจ้าเหลาะแหละคนนั้น
แต่อย่างไรก็ตาม โชคดีที่อาบีน็อกซ์ทะนุถนอมลาลาเน่มากกว่าใครทั้งสิ้น
แค่มองสายตาที่แฝงไปด้วยความรักใคร่ที่ทั้งสองคนส่งให้กันโดยไม่มีคำพูดใดก็สามารถรับรู้โดยที่ไม่จำเป็นต้องถามแล้ว
อืม ช่างน่าประทับใจ
ข้ายิ้มอย่างพึงพอใจพลางเก็บภาพของลาลาเน่และอาบีน็อกซ์ไว้ในสายตา
“เกือบจะหึงแล้วนะ”
ในขณะที่ข้ากำลังพยักหน้าให้กับภาพของอาบีน็อกซ์ที่มองลาลาเน่ด้วยความรักใคร่ เสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้นข้างหู
“อะไรเหรอ?”
“ก็เทียมองผู้ชายคนอื่นนอกจากข้านี่นา”
“…อาบีน็อกซ์เป็นผู้ชายเหรอ?”
ไม่สิ ก็เป็นผู้ชายถูกแล้วละ
แต่ตอนนี้ถือเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ?
“ข้าอยากให้เจ้ามองแค่ข้า อาการเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ แล้วละ”
เฟเรสกล่าวออกมาราวกับทอดถอนใจเบาๆ
แม้จะพูดเหมือนหยอกเล่น แต่ข้ารู้ว่าสิ่งนั้นคือความในใจของเขา
ข้าหรี่ตาพลางเดาะลิ้น
“เจ้านี่ป่วยหนักจริงๆ”
“แต่ถึงอย่างนั้นก็ห้ามเกลียดข้านะ เทีย”
“…ก็บอกว่าเกลียดไม่ลงไงเล่า”
ข้าพูดจากใจจริงนะ
ต่อให้เฟเรสจะกระทำเรื่องใดก็ตาม ข้าก็ไม่มีทางเกลียดเขาลง
“ทั้งที่รู้อยู่แล้ว” ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกหมั่นไส้เล็กน้อย ข้าจึงตีสีข้างเฟเรสไปเบาๆ หนึ่งที
“เทียเองก็ดูมีความสุขนะ” ลาลาเน่กล่าวกับพวกเราที่เป็นเช่นนั้น
ใบหน้าของลาลาเน่ที่ยิ้มขณะกล่าวเช่นนั้นดูคล้ายใบหน้าของข้าเมื่อครู่ก่อนนี้เลย คิดไปเองหรือเปล่านะ
“โล่งใจใช่ไหมล่ะ?”
ทั้งที่มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นถึงขนาดนั้น แต่พวกเราก็ยังมารวมตัวกันที่นี่ แล้วยังมีความสุขแบบนี้
มันช่างเป็นเรื่องที่ราวกับปาฏิหาริย์เหลือเกิน
สายตาของลาลาเน่ที่กำลังยิ้มขณะมองหน้าข้าพลันเบนไปทางด้านหลังของข้า
เวลาเดียวกับที่รอยยิ้มอันไม่อาจเก็บซ่อนเอาไว้ได้กระจายไปทั่วริมฝีปากของลาลาเน่ดั่งดอกไม้ผลิบาน
“ริค!”