เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - SPIN-OFF บทที่ 25
SPIN-OFF บทที่ 25
ห้องประชุมใหญ่ในพระราชวัง
สถานที่ที่เหล่าขุนนางในเมืองหลวงทุกคนมารวมตัวกันเพื่อปรึกษาหารือนโยบายบริหารประเทศกับจักรพรรดิ
การที่ในสถานที่เป็นทางการเช่นนั้นจะมีบรรยายอันเคร่งเครียดปกคลุมก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ทว่าห้องประชุมใหญ่ในวันนี้กลับเหมือนกับแผ่นน้ำแข็งบางๆ
บรรยากาศที่ราวกับจะตกลงไปในน้ำเย็นเยียบได้ทุกเมื่อ ทำให้เหล่าขุนนางที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดไม่อาจแม้แต่จะเปล่งเสียงไอออกมาอย่างที่เคย
สาเหตุเป็นเพราะความขัดแย้งที่รุนแรงระหว่างจักรพรรดิและเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย
“แบบนี้เป็นการกระทำที่ไม่แยแสสิทธิ์อันชอบธรรมของเหล่าขุนนางอย่างเห็นได้ชัดเลยนะเพคะ”
เจ้าตระกูลฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดียกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
“ให้ส่งบุตรหลานของตระกูลขุนนางทั้งหมดไปเรียนอคาเดมี่เนี่ยนะเพคะ”
นี่เป็นระเบียบวาระที่จักรพรรดิเฟเรสเสนอขึ้นมาด้วยตนเองเมื่อไม่นานมานี้
หากนั่นเป็นคำสั่งของจักรพรรดิ การปฏิบัติตามก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว
แต่ทว่า จุดเริ่มต้นของการประชุมใหญ่ครั้งนี้ก็คือหลังจากที่เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียทักท้วงว่าการทำเช่นนี้จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อชีวิตของเหล่าขุนนาง
“ข้าก็แค่เชิญชวนให้ใช้อคาเดมี่เป็นที่พบปะทางสังคมของเหล่าชนชั้นสูงเท่านั้น”
จักรพรรดิเฟเรสกล่าวอย่างเฉียบขาด
เพราะนี่เป็นสิ่งที่จักรพรรดิซึ่งเรียนจบจากอคาเดมี่พูดถึงมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว เหล่าขุนนางจึงคิดกันว่า ‘ในที่สุดสิ่งควรมา ก็มาแล้วสินะ’
อย่างไรก็ตาม พอเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียออกมาคัดค้านด้วยตนเอง เหล่าขุนนางที่อยู่ภายใต้อำนาจของนางก็จับกลุ่มกันทันที
แต่พอได้เห็นท่าทางของเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียที่แข็งกร้าวกว่าที่คาดไว้ทันทีที่การประชุมใหญ่เริ่มขึ้นจริงๆ เหล่าขุนนางทุกคนต่างก็ไม่กล้าทำสิ่งใดนอกจากปิดปากให้สนิท
“ตอนนี้เหลืออีกหนึ่งสัปดาห์ก็จะถึงพิธีแต่งงานของฝ่าบาทกับเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียแล้ว เป็นแบบนี้จะดีเหรอ?”
ขุนนางคนหนึ่งกระซิบถามคนที่นั่งอยู่ด้านข้างด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเป็นอย่างยิ่ง
“ก็นั่นน่ะสิ”
“แต่เรื่องคราวนี้ฝ่าบาทก็ทรงทำเกินไป มันก็ช่วยไม่ได้หรือเปล่า”
ขุนนางคนอื่นเข้ามาร่วมวงสนทนาของทั้งสองคน
“แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ…”
บทสนทนาของพวกเขาไม่ทันได้ดำเนินต่อไปมากกว่านี้ เพราะการถกเถียงอันร้อนแรงราวกับลูกบอลที่ถูกส่งกลับไปกลับมาของทั้งสองฝ่ายได้ดำเนินต่อไปอีกครั้ง
“ฟังนะครับ เจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย มันก็แค่ปีเดียวเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นในตอนที่ร่างกายเจ็บป่วยหรือในสถานการณ์พิเศษก็ยังได้รับการยกเว้นไม่ใช่หรือไงครับ”
“ระยะเวลาไม่ใช่ประเด็นเพคะฝ่าบาท หม่อมฉันกำลังพูดถึงเรื่องที่การศึกษาของบุตรตระกูลขุนนางถูกปรับเปลี่ยนไปตามคำสั่งของราชวงศ์เพคะ”
“แสดงว่าขุนนางทุกท่านสัมผัสไม่ได้ถึงปัญหาในทุกวันนี้เลยอย่างนั้นเหรอ”
“มีปัญหาอะไรกันแน่เพคะฝ่าบาท ช่วยแจ้งให้หม่อมฉันผู้โง่เขลาคนนี้ทราบหน่อยเพคะ”
เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียกล่าวอย่างเฉือดเฉือน
“กิจกรรมทางสังคมและโอกาสทางการศึกษาระดับอุดมศึกษานั้นถูกจำกัดอยู่แค่ในหมู่ขุนนางระดับสูงไม่ใช่หรือ ดั่งที่เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียว่า ขุนนางทั้งหลายเปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของอาณาจักรแห่งนี้ แต่คนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ขุนนางในเมืองหลวงก็สมควรจะได้รับประโยชน์เช่นกัน”
คำพูดนี้มีเหตุผล
พูดตามตรง แม้แต่ขุนนางระดับสูงที่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าให้กับคำพูดนั้น
แต่ทว่าเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียไม่ยอมปราชัยเพราะเรื่องนี้
กลับยิ่งก้าวออกมาและเอ่ยถามอย่างแข็งกร้าวยิ่งกว่าเดิม
“ถ้าเช่นนั้นแล้วค่าเล่าเรียนที่แพงหูฉี่ของอคาเดมี่ประจำอาณาจักรล่ะ คิดจะทำยังไงเพคะ? เหล่าขุนนางคงไม่สามารถแบกรับเงินจำนวนเท่านั้นไหวทุกคนหรอกนะเพคะ”
และหลังจากนั้น การโต้เถียงที่ไม่มีใครยอมใครก็ดำเนินต่อไปอีกยาวนาน
“ฝ่าบาท วาระนี้ไว้ค่อยคุยกันใหม่อย่างใจเย็นกว่านี้ในการประชุมคราวหน้าดีไหมเพคะ”
ท้ายที่สุด รักษาการณ์เจ้าตระกูล ราโมนา บราวน์ก็ก้าวออกมาไกล่เกลี่ย
“เอาแบบนั้นแล้วกัน”
ด้วยเหตุนั้น การประชุมใหญ่จึงจบลงได้ในที่สุดเพราะการพยักหน้าของจักรพรรดิเฟเรส
คณะขุนนางหลบออกไปจากห้องประชุมใหญ่โดยมีเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียเป็นผู้นำ สหายสนิทของจักรพรรดิที่ถูกเรียกว่าเป็น ‘สามทหารเสือแห่งอคาเดมี่’ ก้าวขึ้นไปบนแท่นยื่น
ริกนีเต้ รูมันจากตะวันออก สติลลีย์ เซกเตอร์ จากตระกูลเซกเตอร์ทางภาคใต้ และเทดโร่ว คาร์ลลี จากตระกูลคาร์ลลีทางภาคเหนือ
แต่เฟเรสกลับจมอยู่ในห้วงความคิดบางอย่างจนไม่ทันสนใจพวกเขาที่เดินเข้ามาหา
ด้วยเหตุนั้น สามทหารเสือจึงแลกเปลี่ยนสายตากันเงียบๆ
ต่อให้เป็นเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียผู้เป็นคู่หมั้นและกำลังจะกลายเป็นจักรพรรดินีในอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้าก็ตาม แต่หากถูกคัดค้านสิ่งสำคัญอย่างระเบียบวาระเรื่องอคาเดมี่ก็คงไม่แปลกที่จะโมโห
ในที่สุด ริกนีเต้ รูมันก็เอ่ยปากพูดอย่างระมัดระวัง
“ฝ่าบาท”
“…”
“ไม่ใช่ว่าทรงคิดว่ามันเป็นวาระที่ยากเกินไปแต่แรกแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ การที่เหล่าขุนนางจะคัดค้านก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรนะพ่ะย่ะค่ะ”
ด้วยเหตุนั้น เทดโร่ว คาร์ลลีจึงกล่าวเสริมต่อว่า
“หรือจะลองปรับความเข้าใจกับเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียเป็นการส่วนตัว ไม่ก็หลังจากนี้ลองเสนออีกครั้ง…”
เฟเรสยังคงนิ่งเงียบ
สามทหารเสือแลกเปลี่ยนสายตาระหว่างกันอีกครั้ง
‘ดูท่าคงจะโมโหมากจริงๆ นะ’
‘ทำยังไงดีล่ะ’
‘ทั้งที่โมโหเพราะเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย แต่จะเรียกเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียมาก็ไม่ได้’
ในขณะที่เหงื่อสายหนึ่งเริ่มไหลบนแผ่นหลังของทั้งสามคนเพราะความเงียบที่ยาวนานขึ้นเรื่อยๆ นั่นเอง
“ข้า…” เฟเรสกะพริบตาอย่างเชื่องช้าพลางเปิดปากพูด “ข้าทำอะไรผิดไปหรือเปล่านะ”
“…?”
สามทหารเสือแห่งอคาเดมี่เอียงศีรษะพร้อมกัน
กำลังพูดเรื่องอะไรอยู่กันแน่?
“แววตาของเทียที่มองข้าเมื่อครู่นี้คมกริบเลย”
อ๋า
ตอนนั้นเอง สามทหารเสือถึงได้พยักหน้าลง
ก็ว่าแล้วเชียว
จักรพรรดิเฟเรสผู้มีอำนาจเหนือขุนนางทุกคนนั้น จะเป็นคนอ่อนแอและละเอียดอ่อนเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย
“หากไม่ใช่เพราะโกรธก็ค่อยยังชั่วนะพ่ะย่ะค่ะ” สติลลีย์ เซกเตอร์กล่าวอย่างโล่งใจ
แต่กลับกลายเป็นว่าเฟเรสเอียงหน้าเอ่ยถามสติลลีย์ผู้นั้นแทน
“คำพูดที่เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียกล่าวไม่มีส่วนที่ผิดเลย ข้าควรทำยังไงดีล่ะ?”
“ฮ่าฮ่า…”
สามทหารเสือเช็ดเหงื่อในใจ
เคยกังวลว่าจะเกิดความบาดหมางระหว่างทั้งสองท่านที่กำลังจะเข้าพิธีวิวาห์กันในอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้าเพราะระเบียบวาระในคราวนี้หรือเปล่าแท้ๆ
แต่อย่างน้อยก็ดูเหมือนว่าจะไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนั้นแล้ว
ช่างสมกับเป็นคู่รักที่แยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันได้อย่างสิ้นเชิง จนบางครั้งก็นึกสงสัยว่าทำแบบนั้นได้ยังไง
ขณะที่ทั้งสามคนตกอยู่ในความสับสนและคิดเป็นหนึ่งเดียวกัน เฟเรสก็ยังพึมพำด้วยเสียงทุ้มต่ำต่อไป
“สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลย เหนื่อยงั้นเหรอ”
แม้พวกเขาจะช่วยงานอยู่เคียงข้างเฟเรสมาตลอดตั้งแต่เด็ก แต่ก็ยังไม่เคยชินกับท่าทางที่คล้ายกับคนโง่งมเช่นนี้ได้เสียที
เป็นด้านที่ไม่สามารถจินตนาการได้เลยเมื่อนึกถึงจักรพรรดิในตอนที่อยู่อคาเดมี่ ไม่สิ ในตอนที่เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียไม่อยู่ใกล้ๆ
สามทหารเสือยิ้มออกมาอย่างขมขื่นแล้วเบนสายตามองออกไปนอกหน้าต่างไกลๆ ราวกับนัดกันมา
***
“เหนื่อยจัง”
ข้าที่กำลังกินข้าวหลังจากจบการประชุมใหญ่และกลับมายังลอมบาร์เดียพึมพำขึ้นลอยๆ
ทั้งที่งีบหลับในรถม้าระหว่างกลับมาจากพระราชวังแล้วแท้ๆ
ระหว่างนั้นเอง ข้าก็ขยี้เปลือกตาที่หนักอึ้ง
“หรือเพราะเป็นฤดูใบไม้ผลิ” ไม่รู้สึกอยากอาหารเลยด้วย
ครืด ครืด
เสียงเคลื่อนไหวของอุปกรณ์รับประทานอาหารที่ไม่ใช่ของข้าดังขึ้นเบาๆ
เป็นเครนีย์ที่กำลังรับประทานอาหารอยู่ด้วยกันตรงหน้า
ท่าทางที่กำลังฝืนกินข้าวด้วยใบหน้าอิดโรยดูคล้ายกับข้าเป็นอย่างยิ่ง
เป็นแบบนี้ต่อไปหัวหน้าพ่อครัวคงได้ร้องไห้แหงๆ?
ข้ารู้สึกว่าปล่อยไปไม่ได้แล้วจึงทุบโต๊ะทางฝั่งเครนีย์ดังปึงปึงแล้วกล่าวขึ้น
“เครนีย์ ข้ารู้ว่าเจ้าเหนื่อย แต่ข้าวก็ต้องกินให้มากหน่อยถึงจะมีแรงไม่ใช่เหรอ”
“อ๊ะ! ขอโทษครับท่านพี่” เครนีย์หาวแต่ก็ยังตอบรับ
“ไม่ใช่เรื่องที่ต้องขอโทษข้า”
พวกเราทั้งคู่ควรต้องขอโทษหัวหน้าพ่อครัวไหมนะ
“ที่ผ่านมาท่านพี่จัดการเรื่องราวมากมายพวกนี้คนเดียวได้ยังไงกันครับ”
เมื่อไม่นานมานี้ เครนีย์ได้เริ่มเรียนรู้เพื่อช่วยงานของเจ้าตระกูลแล้ว
“พอทำไปเรื่อยๆ มันก็ชินขึ้นเอง เป็นเพราะตอนนี้เจ้ายังอยู่ในช่วงเรียนรู้ก็เลยอาจจะเกินกำลังไปบ้างน่ะ”
“ทั้งที่อุตส่าห์คาดหวังและอดทนแท้ๆ…” เครนีย์ทำหน้ามุ่ยขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
“มีปัญหาอะไรอย่างนั้นเหรอ?”
“คือว่า…” หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เครนีย์ก็เปิดปากพูดอย่างอึกอัก “พอคิดว่าการตัดสินใจของข้าจะส่งอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงต่อพลเมืองของลอมบาร์เดีย ข้าก็นอนไม่หลับเลยครับ ข้าไม่รู้เลยว่ามันถูกต้องหรือเปล่าที่ข้าทำเรื่องที่สำคัญถึงเพียงนี้อยู่”
ข้าเองเคยรู้สึกเช่นนี้ตอนที่กลายเป็นเจ้าตระกูลครั้งแรกเหมือนกัน
ความรู้สึกกดดัน ราวกับมีความรับผิดชอบจำนวนมากกำลังกดอยู่บนบ่า
ในฐานะที่เป็นรุ่นพี่คนหนึ่ง ข้าคิดอย่างละเอียดว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี แล้วกล่าวขึ้น
“ในเมื่อมันคืองานที่เกี่ยวกับพลเมืองของลอมบาร์เดีย ดังนั้นก็ถูกแล้วไม่ใช่เหรอที่คนที่รู้เกี่ยวกับลอมบาร์เดียอย่างดีจะเป็นคนทำ?”
ข้าจ้องดวงตากลมโตของเครนีย์พลางกล่าวต่อ
“อีกอย่างมันก็เป็นงานที่จำเป็นต้องมีใครสักคนทำนี่นา?”
“งานที่จำเป็นต้องมีใครสักคนทำ…” เครนีย์พยักหน้า
“ยิ่งไปกว่านั้น มันก็ไม่ใช่งานที่เจ้าทำคนเดียวด้วยไม่ใช่หรือ ข้าเองก็อยู่ ยังมีลูกจ้างของลอมบาร์เดียอยู่ด้วยนะ”
ทันทีที่ปลอบประโลมเช่นนั้น สีหน้าของเครนีย์ก็ดีขึ้นเล็กน้อย
“ครับ ท่านพี่”
แต่ต่างจากเรื่องนั้น สภาพการกินของพวกเรากลับไม่ดีขึ้นเท่าไรนัก
เครนีย์เอ่ยถามข้าที่เอาแต่ใช้ส้อมจิ้มอาหารว่า
“ท่านพี่ก็ไม่อยากอาหารเหมือนกันเหรอครับ”
“อือ เหมือนจะใช่นะ วันนี้ข้าเหนื่อยเป็นพิเศษด้วย”
ทันใดนั้น เครนีย์ก็ทอดสายตามองข้านิ่งๆ
“ทำไมมองข้าอย่างนั้นล่ะ”
“เปล่าครับ แค่รู้สึกว่าท่านพี่เองก็มีตอนที่รู้สึกเหนื่อยด้วยสินะน่ะครับ”
“มันก็แน่อยู่แล้วสิ ข้าก็เป็นคนนะ”
“แต่ว่าไม่รู้ทำไม…ท่านพี่ถึงได้ดูสมบูรณ์แบบอยู่เสมอเลย”
“ถึงจะพูดแบบนั้น ข้าก็ไม่ให้หยุดงานหรอกนะ”
“อ๊ะ” เครนีย์หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
“ช่วงนี้ข้าก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน เหมือนเขาจะเรียกกันว่าอาการขี้เกียจเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิน่ะครับ”
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ ด้วยสินะ แต่ถึงยังไงพวกเราก็มากินกันอีกสักหน่อยเถอะ”
ข้าชี้ไปที่จานของพวกเราที่ยังเหลืออาหารมากกว่าครึ่งพลางกล่าว
“ถ้ายกจานกลับไปห้องครัวในสภาพนี้ละก็ หัวหน้าพ่อครัวจะต้องเสียใจแน่เลย เช่นนั้นแล้ว…จะเป็นยังไงก็คงรู้ใช่ไหม”
“นะ นั่นสินะครับ” เครนีย์พลันตัวสั่นงก
“ตอนเย็นคงได้มีมื้อใหญ่แหงเลย”
นี่ถือเป็นศักดิ์ศรีของหัวหน้าพ่อครัว
ถ้าหากว่าปฏิกิริยาของสมาชิกในครอบครัวของลอมบาร์เดียที่มีต่ออาหารที่ตนทำไม่เป็นไปตามที่คาดหวังละก็ มันจะกลายเป็นพลังมหาศาลให้เขาในอาหารมื้อถัดไป
อาหารมื้อใหญ่ที่ยกขึ้นมาจนเต็มโต๊ะตัวใหญ่ดูน่ากลัวไปอีกแบบ
“เรามาสู้กันเถอะ”
“เข้าใจแล้วครับ ท่านพี่”
พวกเราทำใจให้สงบลงพลางถือส้อมขึ้นมาอีกครั้ง
***
กำหนดการสุดท้ายของวันนี้ คือการเตรียมงานแต่งงานกับแคทเธอรีนให้สำเร็จตามเป้า
เป็นเพราะงานแต่งงานใกล้เข้ามาขึ้นทุกที ทำให้ที่ผ่านมาทั้งแคทเธอรีนและข้าต่างก็ต้องแบ่งเวลามาเพื่อเตรียมการ
ชุดแต่งงานเหลือเพียงการปรับแก้เป็นครั้งสุดท้าย ส่วนวันนี้เป็นวันที่ต้องกำหนดตำแหน่งที่นั่งของแขกผู้มาร่วมงาน
การจัดการที่นั่งอย่างเหมาะสมให้ขุนนางที่มีผลประโยชน์เกี่ยวพันกันเป็นเรื่องยุ่งยากกว่าที่คิด
“นี่คือผังที่นั่งซึ่งผ่านการปรับแก้จากเฟเรสมาแล้วรอบหนึ่งเหรอ”
“ใช่ค่ะท่านเจ้าตระกูล”
ข้ากางกระดาษที่มีชื่อของคนนับร้อยเขียนไว้จนแน่นขนัดออกกว้างบนโต๊ะในห้องทำงาน
สมกับเป็นเฟเรส
ดูเหมือนเขาเองก็ใส่ใจสิ่งต่างๆ ที่ข้ากังวลเช่นกัน ตำแหน่งที่นั่งจึงแทบจะสมบูรณ์แบบแล้ว
แม้จะยังมีตำแหน่งที่ต้องแก้ไขอีกหลายที่ก็เถอะ
“แคทเธอรีนคิดยังไง?”
“ตามความเห็นของข้า…”
ตลอดระยะเวลาสั้นๆ ที่แคทเธอรีนอธิบายให้ฟัง เปลือกตาของข้าก็เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งที่นางกำลังตั้งใจพูดอะไรบางอย่างอยู่แท้ๆ แต่เนื้อหากลับไม่ลอยเข้าหูเลยแม้แต่น้อย
“ท่านเจ้าตระกูล?”
“อ๊ะ ขอโทษที แคทเธอรีน ข้าเหนื่อยนิดหน่อยน่ะ”
“ถ้างั้นตรงส่วนนี้ให้ข้าไปปรึกษากับฝ่าบาทดีไหมคะ”
“ไม่เป็นไร ถ้าได้ตากลมเย็นๆ สักครู่ก็คงดีขึ้นแล้วละ พักกันสักเดี๋ยวดีไหม?”
ข้ากล่าวเช่นนั้น แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อออกไปที่ระเบียง
ตอนนั้นเอง เบื้องหน้าพลันระยิบระยับพร้อมกับความรู้สึกเหมือนโลกหมุนโถมเข้าหา
ข้าพยายามคว้าอะไรบางอย่างไว้ตามสัญชาตญาณ แต่กลับไม่สามารถต้านทานพละกำลังที่กำลังเหือดหายไปจากร่างได้
“ท่านเจ้าตระกูล!”
คล้ายว่าจะได้ยินเสียงแคทเธอรีนเอ่ยเรียกข้าจากที่ไกลๆ
และสติของข้าก็ดับวูบไปด้วยความคิดนั้นเป็นสิ่งสุดท้าย