เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - SPIN-OFF บทที่ 2
SPIN-OFF บทที่ 2
หึ
ทันทีที่สบตากัน ชานตั้น เซอเชาว์ก็ผงกศีรษะให้ข้าแล้วหัวเราะออกมา
มันเป็นท่าทางที่น่าโมโห แต่ข้าไม่ใช่คนที่จะอาละวาดเพียงเพราะการยั่วยุแค่นั้นหรอกนะ
คิดว่าข้าเป็นคนยังไงกัน
ข้าทำสีหน้าไร้อารมณ์และจ้องไปที่ชานตั้น เซอเชาว์นิ่งๆ
“คิดไว้อยู่แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้”
ในขั้นตอนที่จะทำให้เฟเรสได้ขึ้นนั่งบัลลังก์ ชานตั้น เซอเชาว์กับข้าเคยอยู่ฝ่ายเดียวกัน
ข้าเป็นผู้สนับสนุนตระกูลไอบันจากภาคเหนือและเปิดเส้นทางการค้าให้ตระกูลรูมันจากภาคตะวันออก ส่วนชานตั้น เซอเชาว์ก็เป็นผู้ที่ขูดรีดเงินทุนและแย่งชิงเขตแดนมาจากตระกูลอังเกนัสและจักรพรรดินี
ทว่าหลังจากร่วมมือกันทำลายศัตรูและบรรลุเป้าหมาย ความร่วมมือก็เป็นอันยุติ
การกระทำของชานตั้น เซอเชาว์ที่ตามมาเป็นอย่างที่ข้าคาดการณ์ไว้ต่อหน้าตระกูลใต้บังคับบัญชาทั้งหลาย ก่อนที่ข้าจะรับสืบทอดตำแหน่งเจ้าตระกูลต่อจากท่านปู่
แม้จะกล่าวว่าทำเพื่อโค่นล้มอังเกนัส แต่ก็ทำให้ธัญพืชจากเซอเชาว์กระจายไปทั่วทุกแห่งในอาณาจักรมากเกินไป
ผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์จากภาคใต้ที่มีมาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาเนิ่นนาน และภาคตะวันออกกับตะวันตกที่ต้องลำบากเมื่อถึงช่วงที่ผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ
การพึ่งพาธัญพืชจากเซอเชาว์ โดยเฉพาะข้าวสาลีของอาณาจักรจึงสูงขึ้นไปโดยปริยาย
ชานตั้น เซอเชาว์ใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบนั้นอย่างไม่ลังเล
ราคาของธัญพืชจากเซอร์เชาว์เริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
ตระกูลจำนวนมากที่ต้องการข้าวสาลีจึงเริ่มสังเกตท่าทีของชานตั้น เซอเชาว์ไปโดยปริยาย และกลุ่มอำนาจที่มีเซอเชาว์เป็นศูนย์กลางก็ถูกจัดตั้งขึ้นอย่างรวดเร็ว
ผลลัพธ์นั้นก็คือ
“เจ้าตระกูลรูมันละ”
“ได้ยินว่ามาจากตะวันออกแล้ว เพิ่งถึงเมื่อวานนี้เอง คงรีบมาเข้าร่วมโดยที่ยังไม่ได้พักเลยสินะครับ”
บนเก้าอี้ทางด้านขวาของชานตั้น เซอเชาว์ที่เคยว่างมาโดยตลอด อินดิท รูมัน บิดาของอาบีน็อกซ์นั่งอยู่
เมื่อเห็นภาพนั้นเข้า ขุนนางที่อยู่รอบข้างข้าก็พูดกระแหนะกระแหน
“หือ พวกไม่รู้จักบุญคุณ”
“เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียมอบความสะดวกสบายให้รูมันตั้งมากมายไม่รู้เท่าไร แต่กลับไปตัวติดอยู่ข้างเซอเชาว์เสียได้”
พอได้ยินคำพูดที่เหล่าขุนนางกลุ่มพันธมิตรลอมบาร์เดียบ่นกันงึมงำ ข้าก็หลุดหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว
เมื่อหนึ่งปีหกเดือนก่อน ตระกูลรูมันเคยเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับลอมบาร์เดียมากที่สุด
เพราะภาคตะวันออกที่ถูกทอดทิ้งฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ด้วยการค้าและกิจการท่องเที่ยวล่องเรือสำราญที่ข้าเป็นคนผลักดัน
ยิ่งไปกว่านั้น ลาลาเน่ยังหมั้นหมายกับอาบีน็อกซ์ บุตรชายของเจ้าตระกูลรูมันอีกด้วย
แต่แล้ววันหนึ่ง ตระกูลรูมันกลับกลายเป็นหนึ่งในคนสนิทของชานตั้น เซอเชาว์
“ในกระดานการเมืองมีมิตรแท้ที่ไหนกันล่ะครับ”
“มาแล้วเหรอคะ เจ้าตระกูลไอบัน”
มิเคนเต้ ไอบัน เจ้าตระกูลไอบันจากภาคเหนือผู้เคยติดอยู่ในรถม้ากับข้า เป็นเพราะที่ขาได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ เขาจึงต้องใช้ไม้เท้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่สงสัยกลัวใครไม่รู้ละมั้งว่าตนเองเป็นเจ้าตระกูลไอบันจากภาคเหนือที่โด่งดังในเรื่องสินแร่ เพราะที่หัวไม้เท้ามีอัญมณีเม็ดใหญ่ฝังอยู่หลายเม็ดทีเดียว และตอนนี้เขาก็วางไม้เท้าลงแล้วกล่าวว่า
“ภาคเหนือของเราน่ะ พึ่งพาตนเองได้และมีทรัพยากรเหลือล้น ต่อให้ไม่ต้องคอยเอาใจเซอเชาร์ก็อยู่ได้ แต่ภาคตะวันออกน่ะทำแบบนั้นไม่ได้ไม่ใช่หรือไง”
“นั่นก็จริง”
“เจ้าตระกูลเซอเชาว์ผู้แทรกเข้าไปในจุดอ่อนนั้นได้ก็เป็นแค่คนที่เหมือนงูเท่านั้นเอง ว่าไหมครับ เจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย?”
งูเหรอ
ถ้าเป็นงูที่ตัวใหญ่ขนาดนั้นก็น่าจะเป็นอีมูกี[1] แล้วละ
ข้ายิ้มเมื่อได้ยินคำถามของมิเคนเต้ ไอบัน จากนั้นก็มองชานตั้น เซอเชาว์กับเจ้าตระกูลรูมันที่โน้มตัวเข้าไปใกล้กันแล้วซุบซิบบางอย่าง จากนั้นข้าจึงกล่าวขึ้นว่า
“ที่บอกว่าไม่มีมิตรแท้น่ะ ถูกใจข้ามากเลยค่ะ”
ถ้าพวกเขาเข้าใจเรื่องนั้นด้วยก็คงดี
“ดูเหมือนวันนี้เจ้าตระกูลบราวน์จะไม่มาเข้าร่วมนะครับ?”
“ก็เขาถูกชานตั้น เซอเชาว์ อ้างเรื่องอาหารมาบีบคั้นถึงขนาดนั้นนี่คะ ให้มาลงคะแนนให้กับตนเอง”
“การไม่มาเข้าร่วมก็คือวิธีที่ดีที่สุดแล้วละ ถ้าหากตระกูลบราวน์ที่เคยได้รับการช่วยเหลืออย่างใหญ่หลวงจากตระกูลลอมบาร์เดียไปยืนข้างเซอเชาว์ขึ้นมา นั่นก็คือการทรยศจริงๆ ไม่ใช่หรือไงครับ! ทรยศ!”
ไหล่ของเจ้าตระกูลรูมันกระตุกอย่างรุนแรงเมื่อได้ยินคำว่า ‘ทรยศ’ ที่เจ้าตระกูลเบิร์นตะโกนออกมา
แต่ขณะเดียวกัน รอยยิ้มบนใบหน้าของชานตั้น เซอเชาว์ก็ยิ่งกดลึกมากขึ้น
ช่างสบายใจราวกับจะบอกว่า ‘ในตอนที่ยังทำได้ ก็เห่าออกมาให้เต็มที่สิ’
“พอฤดูเก็บเกี่ยวใกล้เข้ามา ท่าทางของเจ้าตระกูลเซอเชาว์ก็ยิ่งฮึกเหิมจังนะคะ”
อีกไม่นานก็ถึงช่วงเวลาเก็บเกี่ยวข้าวสาลีแล้ว
ตระกูลในแต่ละภาคที่ต้องการข้าวสาลีเพื่อให้อยู่รอดในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวต่างก็ต้องยินยอมก้มหัวเมื่อเป็นคำพูดของชานตั้น เซอเชาว์อย่างเลี่ยงไม่ได้
“เขาเป็นคนฉลาด”
คนที่เรียกได้ว่าทั้งชีวิตรู้จักแต่ดาบและเกิดมาเพื่อเป็นหัวหน้ากองกำลังอัศวิน กลับมีไหวพริบด้านการเมืองอย่างคาดไม่ถึง
เพราะงั้นถึงได้รู้สึกอยากสู้กันให้มากกว่านี้
ชานตั้น เซอเชาว์กำลังจ้องเขม็งมาที่ข้าตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
สายตานั้นทำให้รู้สึกถึงความกระหายชัยชนะอันเยือกเย็นต่างจากอังเกนัสที่ร้อนแรงไปด้วยความเป็นปฏิปักษ์อย่างเปิดเผยอยู่เสมอ
เอาสิ ลองสู้กันดูสักตั้ง
ข้าผงกศีรษะแล้วยิ้มเหมือนอย่างที่ชานตั้น เซอเชาว์เคยทำ
“ฝ่าบาทเสด็จ”
ตอนนั้นเอง ประตูของห้องประชุมพลันเปิดออกพร้อมกับที่ข้ารับใช้ในพระราชวังก้าวเข้ามาแล้วกล่าวแจ้ง
ทุกคนที่อยู่มารวมกันอยู่ในห้องประชุมใหญ่ต่างก็ลุกขึ้น
จากนั้นครู่หนึ่ง เฟเรสก็ปรากฏตัว
ชุดเครื่องแบบสีดำที่ปักด้วยด้ายทองลวดลายหรูหรา นัยน์ตาสีแดงที่มองเห็นอยู่ใต้เส้นผมดำขลับที่ถูกตัดแต่งและเสยขึ้นไปอย่างเป็นระเบียบไปจนถึงเครื่องหน้าที่คมชัดราวกับรูปแกะสลัก
เดิมทีเฟเรสก็หล่อเหลาอยู่แล้ว แต่แรงดึงดูดอันหนักหน่วงที่ยากจะบรรยายเป็นคำพูดกลับมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
คู่หมั้นใครเนี่ย หน้าตาดีจริงๆ
“หืม?” ขณะมองเฟเรสที่กำลังก้าวขึ้นไปยังที่นั่งจักรพรรดิด้านบนด้วยความภาคภูมิใจ ข้าเอียงคอด้วยความสงสัย
สีหน้าของเฟเรสที่สบตากันอยู่แปลกไป
เหมือนจะชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วก็ดูหม่นหมองยังไงชอบกล
คนอื่นคงมองเห็นเป็นใบหน้าไร้อารมณ์อย่างเคย แต่ในสายตาของข้า มันต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
หางตาเขาตกลงด้านล่างหน่อยนึงยังไงละ
แม้สีหน้าเช่นนั้นของเฟเรสจะกวนใจนิดหน่อย แต่ข้าก็สงบสติได้ทันที
“จะเริ่มการประชุมแล้วนะครับ” คำพูดของประธานการประชุมดังขึ้นพร้อมกับที่ประตูห้องประชุมปิดสนิท
ทุกคนต่างมุ่งความสนใจไปยังเฟเรซึ่งนั่งตรงจุดที่สูงขึ้นไป
ความเงียบงันอันน่าอึดอัดดำเนินผ่านไปครู่หนึ่ง
“ระเบียบวาระในวันนี้คือความขัดแย้งทางการค้าระหว่างลอมบาร์เดียกับเซอเชาว์สินะ”
หลังจากโยนอารมณ์ส่วนตัวอย่างที่ข้าทำออกไป เสียงทุ้มต่ำของเฟเรสที่กลับมามีสีหน้าของจักรพรรดิผู้สมบูรณ์แบบก็ดังก้องไปทั่วห้องประชุมขนาดใหญ่
ขณะเดียวกัน ขุนนางหลายคนรอบข้างต่างก็รู้สึกถึงพลังงานที่ทำให้ร่างกายตึงเครียดขึ้นมา
ต่างจากสมัยอดีตของจักรพรรดิโยบาเนส เหล่าขุนนางล้วนยำเกรงและหวาดกลัวเฟเรส
เพราะนอกจากลอมบาร์เดียและเซอเชาว์ เขาไม่เคยได้รับการช่วยเหลือจากกลุ่มอำนาจอื่นในการขึ้นนั่งบัลลังก์ ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดต้องตอบแทน
จักรพรรดิที่ไม่ต้องดูท่าทีขุนนางย่อมครอบครองอำนาจอย่างไร้ขีดจำกัด
เฟเรสปราดตามองเอกสารที่ประธานการประชุมสภาขุนนางนำขึ้นมาให้พลางเอ่ยปาก
“ปัจจุบันขบวนสินค้าของกลุ่มการค้าลอมบาร์เดียและกลุ่มการค้าเพลเลสที่จะเข้าไปยังเขตแดนเซอเชาว์ถูกชะงักไว้ทั้งหมดสินะ”
นี่เป็นเรื่องที่ชานตั้น เซอเชาว์ก่อขึ้นเมื่อไม่นานมานี้
เขาไม่ยอมให้ขบวนสินค้าของกลุ่มการค้าลอมบาร์เดียผ่านเข้าไปยังดินแดนเซอเชาว์ ณ พรมแดนภาคใต้
กล่าวให้ชัดเจนก็คือ กลุ่มการค้าลอมบาร์เดีย รวมไปถึงสินค้าของตระกูลในกลุ่มพันธมิตรลอมบาร์เดียที่ฝากของมากับขบวนสินค้าถูกขัดขวางไว้ทั้งหมด
“ได้ยินว่าลอมบาร์เดียเป็นผู้ยื่นระเบียบวาระนี้ขึ้นมา เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียช่วยอธิบายด้วยครับ”
เฟเรสไม่เปิดเผยความสัมพันธ์ส่วนตัวกับข้าในที่สาธารณะ
มันเป็นสิ่งที่ข้าร้องขอไว้
และเฟเรสก็ทำตามที่ข้าเรียกร้องโดยไม่เคยละเว้นสักครั้ง
พอข้าค่อยๆ ลุกขึ้นจากที่นั่ง ก็สัมผัสได้ถึงสายตามุ่งมั่นที่จับจ้องมาได้ทันที
หลังจากที่สบสายตาเหล่านั้นอย่างไม่ตกหล่น ข้าก็เอ่ยขึ้น
“นับแต่อดีต หากไม่ใช่สถานการณ์ที่เกิดสงครามแย่งชิงดินแดน การไม่ขัดขวางขบวนสินค้าของกลุ่มการค้าถือเป็นกฎเกณ์ที่มีมาอย่างยาวนานระหว่างขุนนางอย่างพวกเรา อีกทั้งกลุ่มการค้าลอมบาร์เดียและกลุ่มการค้าเพลเลสยังได้รับคำมั่นสัญญาว่าจะร่วมมือกันเพื่อให้ขบวนสินค้าของกลุ่มการค้าเดินทางอย่างราบรื่น แทนการจ่ายค่าผ่านทางจำนวนมหาศาลให้เซอเชาว์ทุกปีอีกด้วย”
ข้ารับเอกสารที่เครย์ลีบันยื่นให้มาดูพลางกล่าวว่า
“แต่ทั้งที่เป็นเช่นนั้น เซอเชาว์กลับขัดขวางขบวนสินค้าโดยฝ่ายเดียวจนทำให้เกิดการเสียหายอย่างหนักเช่นตอนนี้ ข้า ฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดีย ในฐานะเจ้าของกลุ่มการค้าลอมบาร์เดียและกลุ่มการค้าเพลเลส ขอเรียกร้องให้เซอเชาว์เปิดทางให้ขบวนสินค้าโดยทันทีและชดใช้ค่าเสียหายที่สมเหตุสมผล”
พร้อมกับที่ผู้เข้าร่วมการประชุมที่เห็นด้วยกับข้าพยักหน้า ในคราวนี้เฟเรสก็เอ่ยถามชานตั้น เซอเชาว์
“เจ้าตระกูลเซอเชาว์ มีอะไรจะกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
ชานตั้น เซอเชาว์ผู้ร้อนแรงไปด้วยความภักดีในราชวงศ์ลุกขึ้น จากนั้นโค้งศีรษะให้เฟเรสครั้งหนึ่ง แล้วเริ่มพูด
“การที่ข้าขัดขวางไม่ให้กลุ่มการค้าผ่านเข้ามานั้น เป็นแผนรับมือที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากเกิดปัญหาต่อความสงบเรียบร้อยของเซอเชาว์ เพราะในกลุ่มคนเหล่านั้น มีผู้ต้องหาแฝงตัวเข้ามากับขบวนสินค้าจนเกือบจะทำให้พลเมืองในเขตแดนตกอยู่ในอันตราย เรื่องนี้ไม่สำคัญยิ่งกว่าการปฏิบัติตามสัญญาหรอกหรือ”
ทันใดนั้น เฟเรสก็จ้องข้าโดยไม่กล่าวอะไร
หมายความว่าจะพูดเสนออย่างอิสระยังไงก็ได้สินะ
ข้าตอกกลับชานตั้น เซอเชาว์
“ทำไมถึงไม่พูดด้วยล่ะคะว่าฝ่ายที่ถอนรากถอนโคนผู้ต้องหาที่แฝงตัวเข้ามาก็คือกลุ่มการค้าลอมบาร์เดีย ไม่ใช่หน่วยรักษาความสงบของเซอเชาว์ ส่วนดินแดนของเซอเชาว์ที่ผู้ต้องหาเหยียบเข้าไปก็คือตรงด่านตรวจเท่านั้น เจ้าตระกูลเซอเชาว์”
“แต่หากไม่ใช่เพราะกลุ่มการค้าลอมบาร์เดียก็คงไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นแต่แรก”
“ดื้อดึงเสียจริง หากเกิดปัญหาต่อความสงบเรียบร้อย ก็จัดการด้วยการยกระดับความปลอดภัย การระงับขบวนสินค้าทั้งหมดเพราะเรื่องที่ยังไม่ทันได้เกิดขึ้นคือการละเมิดสัญญาอยู่แล้ว แล้วก็ไม่น่าจะไม่รู้นี่คะว่าสำหรับทั้งสองฝ่าย นี่เป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความสูญเสียมากกว่าจะได้ผลประโยชน์”
“สำหรับข้า ความปลอดภัยของพลเมืองในเขตแดนสำคัญกว่าสิ่งใดทั้งสิ้น ดังนั้นจึงทำได้เพียงใช้แผนรับมือเช่นนั้น ถึงแม้จะมีผลประโยชน์อีกร้อยอย่างก็ตาม แต่เพื่อปกป้องสิ่งที่สำคัญที่สุดเพียงอย่างเดียว นี่ถือเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้”
แม้ภายนอกจะแสร้งทำเป็นเห็นประโยชน์ของพลเมืองอย่างยิ่ง แต่คำพูดใช้ไม่ได้เลย
คนที่ได้รับความเจ็บปวดที่สุดจากการตัดสินใจครั้งนี้ของชานตั้น เซอเชาว์ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นพลเมืองของเซอเชาว์นั่นเอง
นี่คือขั้นตอนที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเมื่อขบวนสินค้าของกลุ่มการค้าลอมบาร์เดียและกลุ่มการค้าเพลเลสที่ถือครองจำนวนการส่งออกของพลเมืองในเซอเชาว์กว่าครึ่งหายไปแล้ว
เกษตรกรของเซอเชาว์ที่ตัดสินใจส่งมอบธัญพืชให้แก่กลุ่มคนและกลุ่มการค้าที่ทำการค้าขายกับพวกเขา ได้แต่วางมือและเหม่อมองท้องฟ้า
ชานตั้น เซอเชาว์ก็แค่มีนิสัยที่เพื่อสิ่งเดียวที่เขาต้องการ ต่อให้เขาต้องสูญเสียอีกเป็นร้อยอย่างก็จะกล้ำกลืนลงไปเหมือนยาขม
“การห้ามขบวนสินค้าผ่านเป็นเพียงทางเลือกที่ข้าทำเพื่อพลเมืองในฐานะเจ้าตระกูลเซอเชาว์เท่านั้น”
“หมายถึงการทำให้ธัญพืชที่พวกเขาใช้หยาดเหงื่อปลูกขึ้นมาเน่าคายุ้งฉางอย่างนั้นเหรอคะ?”
ได้ยินดังนั้น รูปตาของชานตั้น เซอเชาว์ที่ผ่อนคลายมาตลอดก็พลันดุร้ายขึ้น
ข้าเองก็ไม่ได้หลบตาคู่นั้น
แม้พวกเรากำลังโต้เถียงกันอยู่ราวกับหมุนอยู่บนพื้นน้ำแข็ง แต่ทั้งข้าและชานตั้น เซอเชาว์ต่างก็รู้ดีว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ใต้ผิวน้ำ
ดินแดนที่ถูกล้อมรอบด้วยเขตแดนของเซอเชาว์และเคยเป็นของเซอเชาว์อยู่ช่วงหนึ่งเหมือนกับไข่ไก่ที่ไข่แดงกำลังแตก ศูนย์กลางทางการค้าของตะวันออก
เชซายู เขตแดนของพ่อของข้า
“ในเมื่อเจ้าตระกูลเซอเชาว์บอกว่าเป็นการเลือกในฐานะเจ้าเมือง เช่นนั้นให้ข้าได้ลองเลือกในฐานะเจ้าของกลุ่มการค้าดูบ้างดีไหม”
และข้าไม่สามารถปล่อยให้มันเป็นแบบนั้นได้เสียด้วย
“ตัวอย่างเช่น การที่กลุ่มการค้าลอมบาร์เดียและกลุ่มการค้าเพลเลสจะเลิกเหยียบเข้าไปในภาคใต้อย่างถาวรเป็นเช่นไร”
[1] อีมูกี (이무기) คือหนึ่งในสัตว์ในตำนานของเกาหลีใต้ เป็นงูยักษ์ที่ชาวเกาหลีโบราณเชื่อว่าเป็นร่างกำเนิดของมังกร จึงมีลักษณะที่ค่อนข้างคล้ายมังกร