เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - SPIN-OFF บทที่ 30
SPIN-OFF บทที่ 30
“เฟเรส!”
สีหน้าของเขาขาวซีดอย่างเห็นได้ชัด
“ข้าจะเรียกเอสทีร่า!” ข้าเตรียมจะลุกขึ้นจากที่นั่งเพื่อเรียกหาหมอ แต่เฟเรสจับมือข้าไว้
“…ไม่เป็นไรเทีย ข้าไม่เป็นอะไร”
“เจ้ารู้ไหมว่าตอนนี้สีหน้าเจ้าเป็นยังไง”
ทำไมถึงได้ดื้อดึงแบบนี้นะ?
แต่เฟเรสกลับไม่ยอมขยับเขยื้อนแม้แต่นิดเดียว
“แค่รู้สึกไม่สบายท้องเท่านั้น ข้าแข็งแรงนะ”
แข็งแรงอย่างนั้นเหรอ?
ชั่วขณะนั้น ความคิดอันน่าเวียนหัวก็พลันแวบผ่านขึ้นมาในสมอง
“เจ้า หรือว่า หรือว่า ยาพิษ…” แม้ข้าไม่อยากจะจินตนาการเช่นนั้น แต่ก็ช่วยไม่ได้
เพราะครั้งสุดท้ายที่เห็นเฟเรสเป็นแบบนี้ คือตอนที่เขาถูกวางยาพิษ
ค่อยยังชั่วที่เฟเรสส่ายหน้า
“ไม่ใช่ ตอนเช้ามืดข้าเรียกหมอหลวงมาตรวจสอบแล้ว ไม่ใช่ยาพิษ”
“เช่นนั้นก็ยิ่งประหลาดขึ้นไปอีกนะ?”
ทั้งที่ไม่ได้ถูกพิษ แต่ร่างกายกลับแย่ถึงเพียงนี้
“หมอหลวงบอกว่ายังไง? คงไม่ใช่…โรคร้ายแรงใช่ไหม”
“ไม่ใช่ แค่อาหารไม่ย่อยเท่านั้นเอง”
“อาหารไม่ย่อย ทำไมรุนแรงแบบนี้?”
ที่ว่า ‘อาหารไม่ย่อย’ มันไม่เหมาะกับเฟเรสตั้งแต่แรกแล้ว
เขาเป็นต้นแบบของคำว่าแข็งแรงเชียวนะ
ขณะที่ข้าหรี่ตาลงและกำลังกังขาในความสามารถของหมอหลวงอยู่นั่นเอง
เฟเรสกุมมือของข้าแน่นขึ้นแล้วกล่าวว่า
“เทีย ข้าไม่เป็นอะไร ข้าแข็งแรง ไม่มีปัญหา”
เป็นคำพูดที่แปลกมาก
เพราะในน้ำเสียงดูเหมือนจะแฝงความหวาดหวั่นเอาไว้ด้วย
ทำไมวันนี้เขาเป็นแบบนี้ล่ะ?
ท่าทางที่คาดไม่ถึงที่เฟเรสแสดงออกมาเรื่อยๆ ทำให้ข้าพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว
“ได้สิ ถ้าเจ้าว่าเช่นนั้นก็เอาอย่างนั้น แต่จะว่าไป ทั้งที่ร่างกายรู้สึกไม่ดีแต่เจ้าก็ยังอบคุกกี้เองแบบนี้อีกเหรอ”
ข้าลูบผมของเขาหลายครั้ง
“ลำบากแล้วนะ”
“ถูกใจ…ของขวัญของข้าไหม”
เฟเรสเอนตัวมาทางข้าพลางเอ่ยถาม
“แน่นอนสิ” ข้าและเฟเรสคือคนที่มีทุกอย่างไว้ในครอบครองหมดแล้ว
หมายความว่าของขวัญที่เป็นสิ่งของนั้นไม่ได้มีความหมายอะไรเลย
แต่ว่า
“อือ ทำให้นึกถึงเมื่อก่อนเลย ข้าชอบ”
พอลูบผิวหน้าหยาบของคุกกี้ ข้าก็ยิ้มออกมา
“เฟเรส เจ้าน่ะชอบของหวานมากเป็นพิเศษมาตั้งแต่เด็กแล้วใช่ไหม”
ภาพที่เขาเบิกตากว้างหลังจากได้กินคุกกี้ช็อกโกแลตเป็นครั้งแรกยังคงติดตา
“พอเด็กที่ไม่แยแสโลกใบนี้เป็นเช่นนั้น รู้ไหมว่าน่ารัก…ทำไมมองแบบนั้นล่ะ”
ก็แค่นานๆ ทีจะพูดถึงเรื่องสมัยก่อนเท่านั้น
นัยน์ตาสีแดงกำลังสั่นเทาราวกับผิวของคลื่นน้ำ
“เปล่า ก็แค่”
“ก็แค่?”
“…รู้สึกโล่งใจ”
รู้สึกว่าบทสนทนามันไม่เชื่อมโยงกันแล้วก็วกวนแปลกๆ มาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ?
การที่ข้าชอบคุกกี้ช็อกโกแลตที่นำมาเป็นของขวัญเป็นเรื่องที่น่าโล่งใจถึงขนาดนั้นเลยเหรอ
“ลองกินดูสักชิ้นสิเทีย”
“หืม? ได้สิ ไม่มีปัญหา”
กลิ่นของคุกกี้อันหอมหวานทำให้น้ำลายสอเต็มปากอยู่พอดี
ถึงจะยังไม่ใช่เวลาอาหารเย็นก็เถอะ แล้วยังไงล่ะ
ทันทีที่กัดเข้าไปคำใหญ่ รสชาติหวานละมุนก็กระจายไปทั่วปาก
รสชาติยอดเยี่ยมไม่แพ้หน้าตาภายนอกจริงๆ ด้วย
ขณะที่ข้าหมกมุ่นอยู่กับคุกกี้ และกำลังเคี้ยวชิ้นที่สองแล้ว ก็พลันได้ยินเสียงพึมพำกับตนเองเบาๆ ลอยเข้ามาในหู
“ค่อยยังชั่วจริงๆ”
แม้ในสมองจะเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามมากมาย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้ามั่นใจ
วันนี้เฟเรสแปลกไปนิดหน่อยนะ
***
มิน่าละถึงได้รู้สึกใจคอไม่ดี
ในที่สุดก็เกิดเรื่องขึ้นบนโต๊ะอาหารเย็นจนได้
โชคดีที่พวกเราตั้งใจมากินข้าวเย็นที่เรือนกระจกเพื่อเดทกันแบบอบอุ่น ไม่ใช่ห้องอาหารที่มีคนอื่นในครอบครัวมารวมตัวกัน
“อึก!”
ตั้งแต่อาหารเรียกน้ำย่อยยกมาเสิร์ฟ ข้าก็รู้สึกว่าสีหน้าของเฟเรสไม่ค่อยดี
แต่พอสเต็กซึ่งเป็นเมนูหลักถูกยกออกมา เขาก็ใช้ผ้าเช็ดปากขึ้นมาอุดปากทันที
ราวกับว่าแค่นั้นยังไม่พอ เขายังถึงกับลุกขึ้นพรวดจากเก้าอี้อย่างไม่อาจทนได้อีกด้วย
เคร้ง!
ด้วยเหตุนั้น แก้วไวน์ที่วางอยู่ตรงหน้าจึงร่วงลงพื้นและแตกเป็นเสี่ยงๆ
“ไม่ได้การ” ข้าลุกขึ้นจากที่นั่งตามไป
จากนั้นก็จับแขนของเฟเรสที่ยังคงใช้ผ้าเช็ดปากอุดปากไว้ แล้วประคองเขาออกไปด้านนอกเรือนกระจก
“กลับไปพักที่ห้องนอนกันเถอะ”
“ไม่นะเทีย ข้าไม่เป็น…”
“ไม่เป็นอะไรที่ไหนล่ะ” ข้าพูดอย่างเย็นชาใส่คนที่พยายามทำตัวดื้อรั้นอีกครั้งออกไปอย่างไม่รู้ตัว
“ตอนนี้เจ้าเป็นมากๆ เพราะงั้นฟังคำข้า”
รู้สึกไม่ดี
ทำไมต้องฝืนถึงขนาดนี้ด้วย
ข้าปรายตามองเฟเรสอีกรอบหนึ่ง จากนั้นพูดกับพ่อบ้านที่พลอยทำตัวไม่ถูกไปด้วย
“ช่วยไปบอกดอกเตอร์เอสทีร่าไห้ไปที่ห้องนอนข้าที”
“ครับ! ท่านเจ้าตระกูล!”
โชคดีที่อาการของเฟเรสดีขึ้นระหว่างทางไปห้องนอน
ฝีเท้าที่เคยซวนเซเล็กน้อยตอนที่ออกมาจากเรือนกระจกในตอนแรก หลังจากเข้าใกล้ห้องนอนก็ดีขึ้นจนไม่จำเป็นต้องให้ข้าประคองแล้ว
แต่เฟเรสกลับนอนลงบนเตียงโดยที่ไม่ยอมปล่อยมือของข้าที่จับเอาไว้แน่น
“เรียกข้าเหรอคะ ท่านเจ้าตระกูล”
“มาแล้วเหรอ เอสทีร่า”
“หรือว่าอาการของท่านเจ้าตระกูล…”
เป็นเพราะเมื่อเช้า ยาแก้แพ้ท้องดูเหมือนจะเริ่มออกฤทธิ์แล้ว เอสทีร่าก็เลยมีท่าทางใจคอไม่ดีราวกับกังวลว่าจะมีปัญหาอื่นเกิดขึ้นอีก
“ไม่ ไม่ใช่ข้า เฟเรสป่วยนิดหน่อยน่ะ”
“อะไรนะคะ? ฝ่าบาทน่ะเหรอคะ?”
เอสทีร่ารีบยกกระเป๋าปฐมพยาบาลขึ้นแล้วเดินไปด้านข้างเฟเรส
“หม่อมฉันขอตรวจร่างกายสักหน่อยนะเพคะ”
ข้าพยักหน้าแทนเฟเรสที่ใช้แขนปิดดวงตาทั้งสองข้างเพราะหมดเรี่ยวแรงไปโดยสมบูรณ์ ก่อนเขยิบถอยไปด้านหลัง
เอสทีร่าตรวจเฟเรสอย่างละเอียดตั้งแต่หัวจรดเท้าจริงๆ
จวบจนผ่านไปหลายชั่วโมงพอๆ กับที่ตรวจให้ข้าในคราวก่อน เอสทีร่าถึงได้พูดกับพวกเรา
“ดูเหมือนจะ…เป็นอาการอาหารไม่ย่อยจริงๆ ค่ะ”
“เป็นไปไม่ได้” ข้าโพล่งออกไปโดยไม่รู้ตัว “เอ่อ เปล่านะ ไม่ใช่ว่าข้าว่าไม่เชื่อผลตรวจของเอสทีร่านะ แต่เฟเรสจะอาการหนักขนาดนี้เพียงเพราะอาการอาหารไม่ย่อยงั้นเหรอ มันแปลกนี่นา”
เอสทีร่าพยักหน้าเมื่อได้ยินคำแก้ตัวที่ไม่ใช่คำแก้ตัวของข้า
“ข้าก็เห็นด้วยกับคำพูดของท่านเจ้าตระกูลค่ะ แต่อาการของฝ่าบาทในตอนนี้แสดงถึงอาหารไม่ย่อยค่ะ”
จนถึงตอนนี้ เอสทีร่าไม่เคยวินิจฉัยโรคผิดมาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ข้าตีเฟเรสที่นอนอยู่เบาๆ โดยไม่ให้เขาเจ็บ ถามขึ้นด้วยความรู้สึกอยากร้องไห้
“เจ้ากินอะไรผิดสำแดงไปกันแน่!”
“ไม่มีเลยจริงๆ นะ…” เฟเรสพึมพำ สีหน้าคล้ายรู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรมเล็กน้อย
“ถ้างั้นก็ช่วยจัดยาที่บรรเทาอาการคลื่นไส้ให้หน่อยนะเอสทีร่า”
“ค่ะ ได้เลยค่ะ ว่าแต่ท่านเจ้าตระกูลคะ แล้วท่านเจ้าตระกูล…”
เอสทีร่าเหลือบมองท่าทีของเฟเรสพลางเอ่ยถามข้าอย่างกำกวม
“ข้าไม่เป็นอะไร สบายดีมาก”
“ถ้างั้นก็ค่อยยังชั่วค่ะ” เอสทีร่าบอกว่าจะรีบนำยามาให้แล้วออกจากห้องไป
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่”
คิดว่าจะเดทกันให้สมกับที่ไม่ได้เดทมานานสักหน่อย
ไหนจะเรื่องระเบียบวาระอคาเดมี่ ไหนจะต้องเตรียมการงานแต่งงานที่วุ่นมาระยะหนึ่ง พวกเราก็เลยยุ่งจนไม่มีเวลาแม้แต่จะหายใจหายคอ
จนเมื่อเรื่องต่างๆ พวกนั้นสำเร็จไปในระดับหนึ่ง เราถึงมีเวลามาอยู่ด้วยกันแบบนี้ได้สักที
ขณะที่กำลังลูบหลังมือของเฟเรสอย่างเหม่อลอยอยู่อย่างนั้น ก็มีเสียงพูดดังขึ้นเบาๆ
“ขอโทษนะเทีย”
อาจเพราะไม่สบาย เขาถึงได้มีสีหน้าหม่นหมองมากเหลือเกิน
“ไม่ต้องขอโทษ เจ้าก็เป็นคนเหมือนกันนี่ จะป่วยบ้างก็ได้เหมือนกัน”
“แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ วันนี้น่ะ…” เฟเรสจับมือของข้าแน่น
แต่กลับไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น
เขากัดริมฝีปากล่างแน่น ราวกับว่าไม่กล้าที่จะพูดมันออกมา
หรือเพราะมันเป็นเดทที่ไม่ได้มีมานาน เฟเรสก็เลยมีส่วนที่เป็นกังวลเหมือนกัน?
ข้าตบปลอบหลังมือของเขาที่กุมกันไว้
“ไม่เป็นไร จนกว่าเอสทีร่าจะเอายามาให้ก็พักสักหน่อยเถอะ”
“…อืม”
หลังจากให้คำตอบ เฟเรสก็ยังลูบมือของข้าแล้วทำเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะหลับตาลงในที่สุด
ดูเหมือนจะหลับได้เสียที
ข้าชื่นชมภาพคนที่แม้จะป่วยแต่ก็ยังงดงามอยู่ครู่หนึ่ง แต่ความรู้สึกเสียดายทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นอย่างกะทันหัน
‘ตั้งใจว่าจะบอกระหว่างกินข้าวเย็นวันนี้แท้ๆ’
ว่าตอนนี้เจ้าเป็นพ่อแล้วนะ
ถ้าบอกไปจะมีปฏิกิริยาแบบไหนกันนะ
ประหลาดใจ? หรือว่าชอบใจ?
‘สงสัยวันนี้จะยังไม่ใช่โอกาส’
ช่วยไม่ได้นะ
เฟเรสจะพักอยู่ที่ลอมบาร์เดียจนถึงพรุ่งนี้ตอนบ่าย ถ้าเขาอาการดีขึ้น ถึงตอนนั้นค่อยบอกก็แล้วกัน
ระหว่างที่จินตนาการถึงเรื่องต่างๆ ดูเหมือนว่าข้าก็เกิดความคาดหวังขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“เฮ้อ” ข้าถอนหายใจออกมา
จากนั้นก็ออกจากห้องนอนไปช้าๆ ตั้งใจว่าจะไปอ่านหนังสือเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนคนที่กำลังนอนอยู่
โดยไม่ทันสังเกตว่าขนตายาวของเฟเรสที่คิดว่านอนหลับสนิทไปแล้วกำลังสั่นเทา
***
นานมากแล้วที่ไม่ได้นอนหลับไปข้างเฟเรส
หลังจากที่วางใจลงได้ในที่สุดเพราะช่วงดึกอาการของเขาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนว่ายาของเอสทีร่าออกฤทธิ์เป็นอย่างดี
อาจเพราะบนเตียงไม่ได้มีไออุ่นของคนอื่นมานานแล้ว ข้าก็เลยนอนหลับสนิทเป็นอย่างยิ่ง
“เฮือก!”
จนกระทั่งเฟเรสหายใจหอบเร็วและลุกพรวดขึ้นมา
“อะ อะไร เป็นอะไรไปเฟเรส?”
ท่ามกลางรุ่งอรุณ ดวงอาทิตย์กำลังจะลอยขึ้น เฟเรสกำลังจ้องมือของตนเองอย่างเหม่อลอย
“ฝันแบบนั้นอีกแล้ว…”
“ฝัน? ฝันเรื่องอะไรถึงเป็นแบบนั้น?”