เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - SPIN-OFF บทที่ 31
SPIN-OFF บทที่ 31
เฟเรสนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งหลังจากได้ยินคำถามของข้า จากนั้นก็เริ่มเล่าออกมา
“ฝันนั้นน่ะ…”
ช่างเป็นน้ำเสียงที่ทุ้มเสียจนทำให้อยากนอนต่ออีกครั้งในยามฟ้าสางที่ยังเช้าเกินไป
แต่ยิ่งเรื่องเล่าดำเนินต่อไปมากเท่าไร ข้าก็ยิ่งตาสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ
“เอ๋…จะบอกว่าเจ้าเห็นต้นไม้โลกในความฝันอย่างนั้นเหรอ?”
“แทนที่จะบอกว่าเห็น ข้ายังยื่นมือออกไปสัมผัสมันด้วยนะ แต่ว่าสัมผัสนั้น…”
เฟเรสกำแล้วแบมือข้างขวาเงียบๆ
คล้ายกับว่าความรู้สึกนั้นยังคงชัดเจน
“สัมผัสเป็นยังไง?”
“อืมม” รอยยิ้มค่อยๆ เบ่งบานขึ้นบนใบหน้าของเฟเรส
“อบอุ่น แล้วก็สบายด้วย”
“อืม อย่างนั้นเองสินะ”
เป็นนิมิตฝัน
นี่คือนิมิตฝัน
เฟเรสเกิดนิมิตฝันเหรอเนี่ย
“เทีย?”
พอข้าเงียบไป เฟเรสก็ยื่นหน้ามาทางข้าแล้วเอ่ยเรียก
“ปะ เปล่า ไม่มีอะไร” ข้าทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้งเพื่อเก็บสีหน้าพลางกล่าวขึ้น
“นอนต่อกันเถอะ ยังเช้ามากอยู่เลย”
“…เอางั้นเหรอ”
หลังจากเฟเรสนอนลงตามมา ข้าก็จ้องเพดานแล้วกะพริบตาอย่างเหม่อลอย
ในโลกใบนี้ไม่มีกรอบความคิดเกี่ยวกับนิมิตฝัน
แม้ในหนังสือจำพวกนิทานที่เด็กน้อยอ่านกัน จะมีเรื่องเล่าที่เขียนไว้ในทำนองว่าตอนที่สุนัขจิ้งจอกบางตัวเกิดจะมีดาวมงคลลอยเด่นอยู่บ้างก็ตาม
ว่าแต่คนที่ฝันถึงนิมิตฝันกลับไม่ใช่ข้า แต่เป็นเฟเรสเนี่ยนะ
‘แสดงว่านิมิตฝันของเด็กคนนี้คือต้นไม้โลกอย่างนั้นเหรอ’
รู้สึกมึนงง
นิมิตฝันคือต้นไม้โลกอย่างนั้นเหรอ ช่างยิ่งใหญ่จริงๆ แต่ก็สมกับเป็นลูกของข้าด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น ต้นไม้โลกยังเป็นสัญลักษณ์ของลอมบาร์เดียด้วยนี่นะ
พอเหลือบมองไปด้านข้าง ก็พบว่าดวงตาของเฟเรสเริ่มสะลึมสะลือแล้ว
ข้าลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้น
“เฟเรส คือว่า…”
“หืม เทีย”
“ถ้าตารางงานพอได้ พรุ่งนี้ ไม่สิ คืนนี้ก็นอนที่ลอมบาร์เดียด้วยดีไหม”
“วันนี้ก็ด้วยเหรอ”
“อืม เพราะถึงยังไงตอนกลางวันก็น่าจะยุ่งเรื่องเตรียมงานแต่งทั้งวัน แล้วตอนเย็นเราค่อยมากินข้าวด้วยกันดีๆ ชดเชยที่เมื่อวานทำไม่ได้กันเถอะ”
เฟเรสมีสีหน้าประหลาดใจราวกับคาดไม่ถึงว่าข้าจะยื่นข้อเสนอแบบนี้ออกมา
จากนั้นก็พลันยิ้มกว้างราวกับเด็กน้อยที่ได้รับของขวัญ
“อือ เอาแบบนั้นสิ”
“เดี๋ยวข้าบอกให้หัวหน้าพ่อครัวเตรียมอาหารอ่อนๆ เอาไว้ให้”
“เทีย” เฟเรสค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ข้า
เสียงยับยู่ยี่ของผ้าปูที่นอนพลันดังขึ้นข้างหูทันทีที่เฟเรสขยับตัว
“ขอบใจนะ ที่มอบโอกาสให้ข้าได้พักฟื้น”
ริมฝีปากอุ่นๆ แตะลงบนหน้าผาก
เป็นไออุ่นที่ทำให้ข้ารู้สึกวางใจอยู่เสมอ
เพราะกลัวจะถูกจับได้ว่าหัวใจเต้นตึกตักเหมือนกับครั้งแรก ข้าจึงจงใจพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เจ้าก็ไม่ได้ป่วยเพราะอยากป่วยเสียหน่อย รีบนอนต่ออีกหน่อยเถอะ”
“อือ เข้าใจแล้ว”
เฟเรสหลับตาลงอย่างว่าง่าย ไม่ต่างกับเด็กที่เชื่อฟังเมื่อได้ยินคำพูดของข้า
ใบหน้าที่เคยแข็งกร้าวในยามปกติค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสงบสุขขึ้นทุกที
ข้าเก็บภาพนั้นไว้ในสายตาเงียบๆ ขณะคิดว่าโล่งอกไปที
เฟเรสในชีวิตก่อนป่วยเป็นโรคนอนไม่หลับขั้นรุนแรง
แต่ตอนนี้ตรงหน้าข้ามีเพียงคนที่กำลังนอนหลับตอนฟ้าใกล้สางเหมือนกับเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่รู้จักเรื่องเช่นนั้นเลย
ข้าใช้เสียงหายใจเป็นจังหวะนั้นแทนเพลงกล่อมเด็ก แล้วค่อยๆ หลับตาลง
พรุ่งนี้การเตรียมงานแต่งงานทั้งหมดก็จะเสร็จสิ้นแล้ว
พวกเราจะได้นั่งหันหน้าเข้าหากัน กินมื้อเย็นอย่างสนิทสนมรักใคร่ แล้วข้าก็จะบอกให้เขารู้ตรงนั้น
ว่ามีของขวัญมาถึงพวกเร็วกว่าที่คิด
เฟเรสจะทำหน้ายังไงกันนะ
ข้าค่อยๆ จมเข้าสู่ห้วงนิทราไปพร้อมกับการจินตนาการอันน่าสนุกสนานพวกนั้น
***
“ท่านเจ้าตระกูล ลำดับสุดท้ายคือการลองชุดแต่งงานค่ะ”
“แคทเธอรีน”
“ค่ะ ท่านเจ้าตระกูล”
“มีเจ้าสาวที่ตายเพราะโหมงานหนักเกินไประหว่างเตรียมงานแต่งไหม? ถ้าไม่มีละก็ ดูท่าข้าจะเป็นคนแรกนะ”
ข้าพึมพำขณะที่นอนเอนกายอยู่บนโซฟา
แคทเธอรีนกับลูกจ้างอีกหลายคนที่ช่วยเตรียมงานแต่งงานหัวเราะออกมาเบาๆ
แต่ข้าไม่ได้ล้อเล่นจริงๆ นะ
“โอ๊ย จะตายแล้ว”
แม้แต่การโหมทำงานหนักก็ยังไม่หนักขนาดนี้เลย
ตารางงานเริ่มต้นทันทีเมื่อฟ้าสว่าง รู้ตัวอีกทีก็ลากยาวมาจนถึงเวลาพระอาทิตย์ตกดินแล้ว
“ถ้าเหนื่อยมากก็พักสักหน่อยดีไหม” เฟเรสที่อยู่ข้างๆ เอ่ยถามขณะที่เสยผมด้านหน้าของข้าที่ตกลงมาขึ้นไปอย่างเป็นห่วง
ถึงมันจะเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจมากก็เถอะ
“ไม่ละ รีบทำให้เสร็จดีกว่า”
ขืนปล่อยไว้แบบนี้คงได้กินมื้อดึกแทนมื้อเย็นกันพอดี
ข้าไม่สามารถบอกข่าวเรื่องลูกขณะที่กินมื้อดึกไปด้วยได้หรอกนะ!
ข้ารวบรวมพลังที่เหลืออยู่ พลางลุกขึ้นจากที่นั่ง
“แคทเธอรีน เตรียมชุดแต่งงานเรียบร้อยหมดแล้วใช่ไหม”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“โอเค ลองใส่แค่รอบเดียว ทุกอย่างก็จะจบแล้ว”
แม้จะพูดไปทางแคทเธอรีน แต่ที่จริงแล้วมันเป็นคำพูดที่ข้าบอกกับตนเอง
ราวกับเข้าใจความรู้สึกของข้าเป็นอย่างดี แคทเธอรีนเองก็พยักหน้าด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว
“เดี๋ยวข้ากลับมา เจ้ารออยู่ที่นี่นะเฟเรส ชุดแต่งงานของข้า ยังไงเจ้าก็ต้องได้ดูสักรอบสิ”
ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเราแบ่งเตรียมงานแต่งในส่วนของตนเองอยู่ที่พระราชวังและลอมบาร์เดีย
กล่าวโดยสรุปก็คือ นี่เป็นครั้งแรกที่เฟเรสจะได้เห็นข้าสวมชุดแต่งงาน
“เดี๋ยวใส่แล้วจะรีบออกมานะ”
ข้าโบกมือให้เฟเรสที่ดวงตาดูเป็นประกายแล้วตรงไปห้องด้านข้าง
ขอบคุณที่ทุกอย่างถูกเตรียมไว้พร้อมหมดแล้ว การลองชุดจึงเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว
แต่นี่ยังไม่ใช่จุดสิ้นสุด
“เฮ้อ ถึงจะรู้สึกทุกครั้งที่ลองสวมก็เถอะ แต่แต่งงานชุดนี้นี่หนักจริงๆ นะ”
การรวมกันระหว่างจักรพรรดินีและเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย เป็นตัวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของอาณาจักร
ด้วยเหตุนี้ ชุดแต่งงานจึงต้องเผยอำนาจออกมาให้เต็มที่
และไม่มีวิธีไหนที่จะแสดงให้เห็นถึงอำนาจของราชวงศ์และตระกูลลอมบาร์เดียได้ในปราดเดียวเทียบเท่าชุดแต่งงานอันหรูหราอีกแล้ว
“ข้าช่วยเองค่ะท่านเจ้าตระกูล”
แคทเธอรีนเดินเข้ามาหาอย่างระมัดระวังแล้วช่วยจับมือของข้า
เหล่าลูกจ้างเปิดประตูให้ทันทีที่ข้ารับการประคองและเริ่มก้าวเดิน
กรุ๊ง กริ๊ง
เพชรพลอยที่ห้อยอยู่บนชุดแต่งงานส่งเสียงเพราะพริ้งออกมาทุกครั้งที่ก้าวเดิน
เมื่อออกมาจากห้องลองชุดโดยสวมชุดแต่งงานก็เห็นเฟเรสที่กำลังรอข้าอยู่
เฟเรสที่เดินวนไปวนมาอยู่กับที่ราวกับไม่สามารถนั่งรออยู่เฉยๆ ได้ยืนนิ่งงันไปทันทีที่เห็นข้า
ไม่แม้แต่จะกะพริบตา
คงไม่ใช่ว่าพังไปแล้วนะ
“เฟเรส ข้าเป็นยังไงบ้าง?”
แม้จะได้ยินคำถามที่คล้ายเอ่ยเตือนของข้า แต่เฟเรสก็ยังนิ่งงันไร้คำตอบ
นัยน์ตาสีแดงจ้องข้าโดยไม่ขยับไปไหนราวกับกลายเป็นน้ำแข็งไปทั้งอย่างนั้นแล้ว
ดูเหมือนเขาจะพังไปแล้วจริงๆ
“เฟเรส?”
ข้าปล่อยมือของแคทเธอรีน แล้วเดินเข้าไปหาเฟเรสทีละก้าว
“อะไรเนี่ย พูดอะไรหน่อย…อ๊ะ!”
ในที่สุดชุดแต่งงานที่หนักอึ้งก็ก่อเรื่องขึ้น
เพิ่งจะก้าวไปได้ไม่กี่ก้าวเท่านั้น แต่ข้าก็ไม่สามารถแบกรับน้ำหนักของเพชรพลอยและชุดแต่งงานที่ทบซ้อนกันได้จนโงนเงนจวนจะล้มลง
อ๊ะ จะมีรอยช้ำบนหน้าในวันแต่งงานไม่ได้นะ
ขณะที่มองพื้นที่ใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็วและกำลังคิดเช่นนั้นอยู่นั่นเอง
“เทีย”
ท่อนแขนอันแข็งแกร่งเข้ามารองรับข้าไว้ เวลาเดียวกับที่น้ำเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นข้างใบหู
“ตะ ตกใจหมดเลย นึกว่าจะล้มไปซะแล้ว ขอบใจนะเฟเรส”
คงต้องบอกให้ลดเพชรพลอยบนชุดแต่งงานลงบ้างแล้ว
ข้าแตะแขนที่โอบเอวข้าอยู่เพื่อแสดงความขอบคุณ จากนั้นก็เงยศีรษะขึ้น
“เทีย”
ใบหน้าของเฟเรสเข้ามาใกล้มาก
ใกล้มากยิ่งกว่าที่คิด
“เป็นอะไรไหม?”
ทั้งที่ใช้น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยถามข้า แท้ๆ
แต่ทำไมมันถึงได้ฟังดูอันตรายแบบนี้กันนะ
“อือ ข้าไม่เป็นอะไร”
“…โล่งอกไปที”
แม้จะตอบรับเช่นนั้นแต่เฟเรสกลับไม่ยอมปล่อยข้า
บรรยากาศแปลกๆ กำลังอบอวลไปทั่วห้อง
“เอ่อ เฟเรส”
แขนนี้น่ะ ตอนนี้เอาออกก่อนได้ไหม?
บรรยากาศนี้มันอะไรกันน่ะ
ทำไมแคทเธอรีนกับคนอื่นๆ ถึงได้ออกไปอย่างเงียบเชียบกันล่ะ?
แกร็ก
สุดท้ายก็เหลือแค่พวกเราสองคน ก่อนที่ประตูจะถูกปิดลง
“ตอนนี้ข้าไม่เป็น…!’
ใบหน้าของเฟเรสที่หยุดอยู่ใกล้ๆ มาโดยตลอดพลันขยับเข้ามาทันที
ริมฝีปากประกบลงมาจนไม่เหลือช่องว่างราวกับเป็นของที่ถูกสร้างมาคู่กัน
มือใหญ่กอบกุมพวงแก้มของข้าอย่างนุ่มนวล
โดยที่ไม่รู้ตัว เฟเรสก็ประคองเอวข้าด้วยแขนข้างเดียว
“อืออ”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะชุดแต่งงานที่น่าอึดอัด หรือเป็นเพราะเฟเรสโอบกอดข้าจนแทบไม่มีช่องว่างให้หายใจกันแน่
ลมหายใจพลันหอบกระชั้น แต่ข้ากลับทำไม่ได้แม้แต่จะดันเขาออกไป
“คือ…แฮ่ก เฟเรส”
แม้แต่ชื่อที่เปล่งออกมาอย่างยากลำบากก็ยังถูกกลืนเข้าไปในปากของเขา
“เทีย”
เฟเรสเคลื่อนริมฝีปากลงไปที่ลำคอตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้เอ่ยเรียกชื่อของข้าซ้ำๆ
ลมหายใจที่เต็มไปด้วยความร้อนรุ่มตกลงบนผิวหนังทุกครั้งที่ทำเช่นนั้น
เขาจับแขนของข้าให้โอบรอบลำคอของตนเอง
ความรู้สึกที่คุ้นเคยแต่ก็วาบหวิวชวนให้มึนงง
“…เฟเรส”
ราวกับชื่อของตนเองที่ข้าเอ่ยกระซิบข้างหูเป็นชนวนระเบิด การเคลื่อนไหวของเฟเรสที่เคยเชื่องช้าพลันรีบร้อนขึ้นในพริบตา
ฟึบ ฟึบ
ได้ยินเสียงปมเชือกที่ต้องให้ลูกจ้างจำนวนหนึ่งช่วยกันผูกอย่างยากลำบากถูกปลดออกอย่างรวดเร็วจากด้านหลัง
‘ปล่อยไปแบบนี้จะดีเหรอ?’
แม้จะมีคำถามเช่นนั้นผุดขึ้นมาอย่างกะทันหัน แต่มันก็แค่โฉบผ่านมาแล้วหายไป
ข้าปล่อยกายไปตามนั้นพลางหลับตาลง
กริ๊ง
เสียงเพชรพลอยกระทบกันดังขึ้นอีกครั้ง
เวลาเดียวกับสิ่งที่เอสทีร่ากำชับอยู่หลายครั้งเมื่อหลายวันก่อนก้องกังวานขึ้นภายในหัว
“ต้องหลีกเลี่ยงการหลับนอนไประยะหนึ่งนะคะ ช่วงแรกของการตั้งครรภ์เป็นช่วงที่ยังไม่ปลอดภัยค่ะ”
“อ๊ะ ไม่ได้!”
ข้าผลักเฟเรสออกอย่างแรงโดยที่ข้าเองก็ไม่รู้ตัว
“แบบนี้ไม่ได้นะ” เกือบจะเป็นเรื่องใหญ่แล้ว
จะถูกบรรยากาศพาไปจนทำเรื่องที่เป็นอันตรายกับลูกไม่ได้
ด้วยความรีบ ข้าจึงทิ้งตัวลงครึ่งหนึ่งบนเก้าอี้ที่วางอยู่แถวๆ นั้นพลางถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ก่อนจะตระหนักได้ว่า เฟเรสเงียบเกินไป
นึกว่าจะแย้มยิ้มแล้วเดินเข้ามาหาอย่างผ่อนคลายเสียอีก
เฟเรสยังคงยืนอยู่ตรงนั้นราวกับถูกตอกตะปูเอาไว้
“เฟเรส?”
“เจ้า” น้ำเสียงที่ทุ้มต่ำเป็นอย่างยิ่งทำให้หัวไหล่ของข้าพลันชะงักก่อนจะสั่นสะท้าน
ดวงตาสีแดงที่มองมาทางข้าจมดิ่งลงไปราวกับไม่เคยร้อนแรงมาก่อน
เป็นดวงตาที่ทั้งไม่คุ้นเคยแต่ก็คุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง
ว่างเปล่าไร้ขีดจำกัด
รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงสายฝนดังขึ้นมาจากที่ไกลๆ
จากนั้นเฟเรสก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เศร้าหมองยิ่งกว่านั้น
“เกลียดข้าแล้วเหรอ”
“…ว่าไงนะ?”
ไม่มีคำตอบให้กับคำถามที่ถามย้อนกลับไป
เฟเรสเดินเข้ามาหาด้วยฝีเท้าที่ดูซวนเซ
“แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ได้นะเทีย” เงาร่างสูงตระหง่านพลันปกคลุมอยู่เหนือศีรษะของข้า “จะมาเสียใจเอาป่านนี้ ไม่ได้นะ”
เขาเอื้อมมือมาหาข้า
“เฟเรส ใจเย็นก่อน…”
ไม่ทันได้พูดให้จบคำ
เสียงตุบดังขึ้นพร้อมกับที่ร่างกายของเฟเรสลดต่ำลงมา
เขาคุกเข่าลงตรงหน้าข้า
จากนั้นมือที่ยื่นออกมาหาข้าก็จับมือของข้าที่วางอยู่เหนือหัวเข่า
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร มือที่ราวกับกำลังกุมของที่สำคัญที่สุดในโลกของเฟเรสกำลังสั่นอย่างรุนแรง
“แต่งงานกับข้านะเทีย”
รู้สึกเหมือนย้อนกลับไปในวันที่ถูกขอแต่งงาน
แต่เฟเรสในตอนนั้นไม่ได้ตัวสั่นถึงขนาดนี้
“ช่วยรักข้าอีกครั้งทีเถอะนะ”
แล้วก็ไม่ได้วิงวอนขอความรักถึงเพียงนี้ด้วย
“ช่วยให้โอกาสข้าเถอะนะ เพราะว่าข้าน่ะ ข้าน่ะจะพยายาม ได้โปรด”
ไม่ใช่แบบนี้สิ
ข้าพลันได้สติกลับคืนมาทันทีราวกับถูกฟ้าผ่า
“นี่เจ้ากำลังพูดอะไรอยู่!”
“…เทีย?”
“ไม่เห็นเหรอว่าตอนนี้ข้าสวมชุดแต่งงานอยู่? ถ้าไม่แต่งกับเจ้าแล้วจะให้แต่งกับใคร”
ข้าใช้สองมือจับใบหน้าของเขาอย่างฉับไว
“เฟเรส บรีบาเชาว์ ดิวเรลลี่! เจ้าจะไม่แต่งงานกับข้าเหรอ”
“…ตะ แต่ง”
“แล้วตอนนี้คืออะไร อธิบายมาให้ดีเสีย”
“ข้าน่ะ คือว่า”
เฟเรสคลำหามือของข้าที่จับแก้มตนเองอยู่อย่างไม่อยากจะเชื่อ
“เทีย ข้านึกว่าเจ้าเสียใจที่ตัดสินใจแต่งงาน”
“ว่าไงนะ?”
“เหมือนมันจะเรียกว่าแมรี่บลู…”
“พูดจาอะไรไร้สาระ! ใคร ใครมันบอกอย่างนั้น? คงจะเป็นสามทหารเสือโง่เง่าพวกนั้นอีกแล้วล่ะสิ? ใช่ไหม?”
เฟเรสพยักหน้าอย่างเหม่อลอยแทนคำตอบ
“เจ้าพวกนั้นไม่มีทางพูดอะไรแบบนั้นออกมาอย่างกะทันหันแน่ ทำไมเจ้าถึงคิดอะไรแบบนั้นล่ะ”
“สีหน้าเจ้าดูไม่ค่อยดี ตอนประชุมใหญ่ก็เอาแต่หลบสายตาข้าตลอด แล้วยัง…”
“แล้วยัง?”
“ถอนหายใจด้วย…”
ตัวโง่งม
เป็น ‘ตัวโง่งม’ ของจริงเลยละ
ทั้งหมดนั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างที่ข้าแพ้ท้อง
“เฮ้อ” ลมหายใจอันล้ำลึกพรั่งพรูออกมา
อ่า ข้าไม่รู้ด้วยแล้ว
“นี่ ดูนี่นะ”
ข้าจับมือเฟเรสแล้วดึงมาที่หน้าท้องของข้า
“ตรงนี้”
เป็นมือข้างนั้น ข้างที่สัมผัสต้นไม้โลก
“ตรงนี้มีลูกของพวกเราอยู่”
ไม่ได้ตั้งใจจะบอกให้รู้แบบนี้เลยแท้ๆ
แต่ถ้าอยากจะแก้ไขความเข้าใจผิดอันใหญ่หลวงของเฟเรส มันก็ช่วยไม่ได้
“เทีย นี่หมายความว่าอะไร…”
“ข้าท้องแล้ว”
เพื่อไม่ให้สับสน ครั้งนี้ข้าจึงพูดออกไปทีละคำทีละคำ อย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ด้านในนี้มีลูกของข้ากับเจ้า ลูกของพวกเราอยู่”
“…ละ ลูก?”
“ใช่ บางทีอาจจะเป็นเด็กที่หน้าตาคล้ายเจ้ากับข้าอย่างละครึ่งก็ได้นะ”
ข้ากล่าวเช่นนั้นพลางดึงมือของเฟเรสเข้ามาใกล้ขึ้นเพื่อให้ฝ่ามือของเขาสัมผัสหน้าท้องของข้าอย่างสมบูรณ์
“ตั้งใจฟังให้ดี ถ้าเป็นเจ้าก็น่าจะรู้ได้ไม่ใช่เหรอ”
เฟเรสเป็นผู้ที่อยู่เหนือขอบเขตของมนุษย์จนสัมผัสได้ถึงสิ่งที่คนอื่นสัมผัสไม่ได้
“ข้าแพ้ท้องค่อนข้างรุนแรง ทุกเรื่องที่เจ้าเข้าใจผิดเป็นเพราะข้าแพ้ท้องก็เลยรู้สึกไม่ดี”
“เอ่อ…”
“ส่วนเรื่องที่ถอนหายใจ ก็เป็นเพราะวันนั้นจู่ๆ ในห้องประชุมก็มีอาหาร”
พูดไม่ออกเลย
ต่อให้คาดเดาผิดไปแค่ไหน แต่จะสามารถคาดเดาผิดไปได้ถึงขนาดนั้นเลยเหรอ
สามทหารเสือแห่งอคาเดมี่พวกนั้นแหละคือปัญหา
อีกหน่อยต้องเรียกมาสั่งสอนสักรอบซะแล้ว
“เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกังวลอะไรแปลกๆ เข้าใจไหม ลูกก็เกิดขึ้นมาแบบนี้แล้ว ถ้าเจ้ามาพูดเอาป่านนี้ว่าจะไม่แต่งงาน คนที่ยุ่งยากที่สุดก็คือข้าต่าง…เฟเรส”
มีอะไรแปลกๆ นะ
เฟเรสไม่พูดอะไรเลย
เขาเอาแต่ก้มหน้าอยู่นิ่งๆ โดยที่มือข้างหนึ่งยังวางอยู่บนท้องน้อยของข้า
เอ๊ะ ไม่หรอกน่า
ข้าจับปลายคางของเฟเรสแล้วค่อยๆ ดันขึ้น
เขาหันหน้ามาหาข้าอย่างไม่ขัดขืน
“เฟเรส นี่เจ้า…ร้องไห้เหรอ?”