เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - SPIN-OFF บทที่ 5
SPIN-OFF บทที่ 5
“…ข้าเหรอ?”
“อืม” เฟเรสพยักหน้าโดยไม่ลังเลแม้แต่วินาทีเดียว
เขาคิดเช่นนั้นจากใจจริง
บนใบหน้าที่จ้องข้าอย่างเปิดเผยด้วยแววตาที่ยังคงมีรอยยิ้ม มีภาพของเด็กน้อยที่เด็ดสมุนไพรกิน และภาพของเด็กน้อยที่ถือหญ้าไว้ตรงมุมปากคนนั้นสะท้อนอยู่
ระหว่างที่ข้าไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไป เฟเรสก็หัวเราะออกมาเบาๆ ราวกับอ่านอะไรบางอย่างจากข้าที่เป็นแบบนั้นได้ แล้วกล่าวว่า
“ข้ารู้นะ ว่าตอนนี้เทียกำลังคิดอะไรอยู่”
ราวกับกำลังพูดถึงเรื่องของคนอื่น เขากล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งถึงที่สุด
“วันนั้น ต่อให้เจ้าไม่ได้พบข้า ข้าก็จะอยู่ตรงนี้อยู่ดี ข้าต้องมีชีวิตรอดเพื่อแก้แค้นสิ”
เฟเรสพิสูจน์แล้ว ว่าท้ายที่สุดผู้ชนะก็คือข้า
“แต่ข้าคงไม่เป็นเหมือนอย่างตอนนี้หรอก บางทีคงกลายเป็นเพียงเศษชิ้นส่วน เป็นเพียงคนที่ยังไม่ตาย ใช้ชีวิตต่อไปโดยที่ไม่เหลืออะไรเลยและมีแต่ความว่างเปล่า บางทีนะ”
เฟเรสเม้มปากแน่นครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมาอีกครั้ง
รอยยิ้มนั้นแสนผ่อนคลาย
“เพราะฉะนั้น เทีย เป็นเจ้าที่สร้างข้ามา”
ข้าไม่อาจปฏิเสธได้
เพราะข้าเคยเห็นเฟเรสที่ต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวมาก่อน
ท่าทางที่ราวกับทุกอย่างถูกแผดเผาไปจนเหลือแต่เขม่าดำเมื่อสิ้นสุดการแก้แค้นนองเลือดนั่น
ทันใดนั้น ข้าก็รู้สึกว่าใบหน้าเปื้อนยิ้มของคนที่อยู่ตรงหน้าข้าตอนนี้ ช่างสำคัญเหลือเกิน
“เฟเรส”
“หืม?”
“เจ้าจะถูมือผู้มีพระคุณมากไปหน่อยมั้ง? เดี๋ยวก็แดงพอดี”
ข้าส่งสายตาไปที่มือของตนเองที่ถูกคลึงเคล้นอยู่ในมือของเฟเรส
“มือข้าไม่ใช่ก้อนแป้งข้าวสาลีสักหน่อย”
“อืม ก็มีจุดที่เหมือนกันหลายอย่างอยู่นะ”
หลังจากตอบเช่นนั้น เขาก็ดึงหลังมือข้าไปแนบริมฝีปากของตนเอง
จากนั้น…
“อึก เฟเรส!”
ฟันขาวและเรียงเป็นระเบียบที่เผยอยู่ใต้ริมฝีปากแดงขบบนหลังมือโดยไม่สร้างความเจ็บปวด
ท่าทางเช่นนั้นดูคล้ายกับเชฟผู้สุขุมรอบคอบกำลังชิมอาหารที่ตนทำขึ้นกับมือ และยังดูคล้ายหมาป่าตัวใหญ่ที่กำลังออดอ้อนคู่ครองของมันในคราวเดียวกัน
เมื่อเห็นแววตาเงียบสงัดที่ร้องขอคำอธิบายต่อพฤติกรรมแปลกๆ นั้นของข้า เฟเรสก็เอ่ยขึ้นมาด้วยรอยยิ้มราวกับภาพวาด
“ดูน่าอร่อยดี”
“อะ อร่อย…” สุดท้ายก็ลงเอยที่ข้าพูดอะไรไม่ออกและอึกอักเล็กน้อย
“มะ ไม่มีอะไรที่เจ้าไม่กล้าพูดเลย!”
อา ต่อให้ไม่ดูกระจกก็ยังรู้ได้ว่าตอนนี้หน้าของข้าเป็นสีอะไร
ไม่อย่างนั้นเฟเรสคงไม่ยิ้มหน้าบานขนาดนี้หรอก
เฟเรสที่ยิ้มจนตาหยีอย่างมีความสุขอยู่สักพัก ค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้แล้วดึงข้าเข้าไปกอดแน่น
หลังจากกอดกันจนรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เขาก็กล่าวขึ้น
“เทีย หากเจ้าต้องการความช่วยเหลือก็บอกข้าได้เสมอ”
กำลังพูดถึงเรื่องของเซอเชาว์อยู่สินะ
ข้าย้อนนึกถึงสายตาเยือกเย็นของเฟเรสที่สาดไปหาชานตั้น เซอเชาว์ตลอดทั้งการประชุม
“ขอเพียงเจ้าเอ่ยปากแค่คำเดียวก็พอ”
แค่เพียงคำเดียว
น้ำเสียงที่กล่าวเช่นนั้นฟังดูแน่วแน่อย่างน่าประหลาด
“เทียก็รู้นี่ หากเทียต้องการ ข้าสามารถทำได้ทุกอย่าง”
“ข้ารู้” ข้ากอดตอบเฟเรส “ข้ารู้ดี”
ดังนั้นข้าถึงได้ไม่พูด
“เพราะว่าเจ้าคือคนที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อข้าได้จริงๆ”
ข้าตบแผ่นหลังกว้างแทนที่จะพูดต่อไป
เฟเรสจุมพิตลงบนศีรษะของข้าพลางพึมพำเสียงทุ้มราวกับเข้าใจความหมายที่จะสื่อ
“หากมีอะไรที่ข้าสามารถทำเพื่อเจ้าได้ก็คงดี จะเรื่องใดก็ได้ทั้งนั้น”
***
เย็นวันนั้น ห้องอาหารกลางของคฤหาสน์ลอมบาร์เดียเซ็งแซ่ไปด้วยเสียงผู้คน
คนจากลอมบาร์เดียรวมถึงตระกูลใต้บังคับบัญชาต่างก็มานั่งล้อมรอบโต๊ะตัวใหญ่และกำลังรับประทานอาหารร่วมกัน
“คืออย่างนี้นะครับท่านแคลอฮัน ช่วงนี้ที่ตะวันออกกำลังฮิตอะไรใหม่ๆ…”
“อ๊ะ! ลอรีล ช่วยหยิบผ้าเช็ดปากตรงนั้นให้ทีสิ เมริลลีนทำน้ำผลไม้หก!”
แต่ว่าไม่ใช่บรรยากาศเป็นทางการอย่างงานเลี้ยงที่จัดขึ้นเป็นประจำหรอกนะ
กลับเป็นมื้ออาหารเย็นที่ผ่อนคลายและโหวกเหวกนิดหน่อยเหมือนการรวมตัวกันของเครือญาติมากกว่า
ข้ามองคนที่นั่งล้อมรอบโต๊ะอาหารตัวใหญ่เหล่านั้นด้วยแววตาอิ่มอกอิ่มใจ
นี่เป็นธรรมเนียมใหม่ของลอมบาร์เดียที่เริ่มขึ้นหลังจากข้าเป็นเจ้าตระกูล
ห้องอาหารกลางของลอมบาร์เดีย เดิมมีเพียงลูกหลานสายหลักเท่านั้นที่สามารถเข้ามารับประทานอาหารได้โดยไม่จำเป็นต้องได้รับคำเชิญจากเจ้าตระกูล
แต่บัดนี้ คนจากตระกูลใต้บังคับบัญชาก็สามารถรับประทานอาหารร่วมกันได้อย่างอิสระเช่นกัน
ไม่มีการบีบบังคับ ทั้งไม่จำกัดจำนวนคน
การที่มีแค่ข้าและลูกหลานสายหลักของลอมบาร์เดียไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถใช้ห้องอาหารขนาดใหญ่นี้ได้ ทำให้ข้ารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่เหลวไหลสิ้นดี
แน่นอนว่า มีกฎที่สำคัญอยู่ข้อหนึ่ง
นั่นคือห้ามประชุมอย่างเป็นทางการหรือเอ่ยปากตัดสินใจสิ่งใดในสถานที่นี้ เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกกดดันที่อาจเกิดขึ้นในการรับประทานอาหารร่วมกัน
ข้ากวาดตามองทุกคน แล้วเบนสายตาออกโดยไม่กล่าวอะไร
ทางขวาของข้า มีท่านปู่ที่กำลังกินข้าวพร้อมกับถือหนังสืออยู่ในมือข้างหนึ่ง และชานาเนสที่นั่งทอดสายตามองท่านปู่ที่ทำแบบนั้น
“โห เดี๋ยวนะ เริ่มเรื่องแบบนี้…”
พอได้ยินเสียงพึมพำของท่านปู่ ข้าก็กัดริมฝีปากล่างแน่นเพื่อไม่ให้หลุดหัวเราะออกมา
ยังจำได้อย่างชัดเจนอยู่เลย
ภาพที่ท่านปู่ตะโกนออกมาอย่างปลอดโปร่งว่า ‘ต่อจากนี้ข้าก็จะได้อ่านหนังสือให้เต็มที่!” หลังจากเพิ่งมอบตำแหน่งเจ้าตระกูลให้กับข้า
และจนถึงตอนนี้ ท่านปู่ก็กำลังเพลิดเพลินกับชีวิตหลังเกษียณตามที่เคยว่าไว้
ช่วงนี้ท่านปู่กำลังติดนิยายสืบสวนสอบสวนถึงขนาดที่แม้แต่กินข้าวยังกินลวกๆ ในห้องหนังสือ ส่วนมื้อเย็นนั้น เพราะไม่อาจเอาชนะคำขอร้องให้ออกมากินในห้องอาหารได้ สุดท้ายจึงต้องถือหนังสือติดมาที่โต๊ะอาหาร
“ท่านพ่อ” ในที่สุด ชานาเนสที่ทนดูไม่ได้ก็เอ่ยเรียกท่านปู่เงียบๆ
“ค่อยอ่านหนังสือหลังจากกินข้าวเสร็จดีไหมคะ?”
“อืมม?”
ตอนนั้นเอง ท่านปู่ที่เพิ่งสังเกตว่ารอบข้างเงียบลงอย่างประหลาดก็เงยหน้าขึ้นจากหนังสือ
จากนั้นก็ไอ ‘อะแฮ่ม’ ออกมาอย่างเขินอายเมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาจำนวนมากที่พุ่งมาหาตนเอง
“ไม่ต้องสนใจพวกเราหรอกครับ ก็แค่แปลกใจนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
พรินท์ เดวอน สามีของลอรีนหัวเราะฮ่าฮ่าออกมาพลางกล่าว
“ไม่นึกว่าจะมีวันที่อดีตเจ้าตระกูลได้เพลิดเพลินกับงานอดิเรกอย่างสนุกสนาน มันตื้นตันมากเลยครับ!”
อาจเพราะคำพูดน่าฟังของคนผู้นั้นทำให้ท่านปู่รู้สึกเขินอายขึ้นมา สุดท้ายท่านจึงปิดหนังสือลงแล้วเลื่อนไปไว้ด้านข้าง
แต่แม้จะทำแบบนั้น สายตาก็ยังเหลือบมองไปทางหนังสือเป็นระยะอยู่ดี
“ท่านปู่ ถ้ารู้สึกเบื่อตอนกินข้าว ให้ข้าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตอนประชุมใหญ่วันนี้ให้ฟังไหมคะ?”
“ไม่ต้องละ” ได้ยินคำพูดของข้า ท่านปู่ก็โบกมือข้างหนึ่งอย่างรังเกียจ
“ข้ามอบตำแหน่งเจ้าตระกูลให้เจ้าก็เพื่อที่จะไม่ต้องทำเรื่องน่าปวดหัวพวกนั้นอีก”
ไม่รู้เพราะอยากรีบกินข้าวให้เสร็จจะได้กลับไปห้องหนังสือหรือไม่ ความเร็วในการกินของท่านปู่ก็เลยเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ข้าได้ยินมาว่าผลลัพธ์ของการประชุมใหญ่เป็นไปตามที่เจ้าต้องการ”
ชานาเนสใช้ผ้าเช็ดปากเช็ดปากอย่างสง่างามขณะพูดกับข้า
“เจ้าตระกูลเซอเชาว์จะทำเช่นนี้ไปถึงเมื่อไรกันแน่”
หว่างคิ้วของชานาเนสที่เรียบเฉยอยู่เสมอพลันขมวดเข้าหากันอย่างหาได้ยาก
เพราะชานาเนสคือคนที่หวงแหนลอมบาร์เดียและผู้คนของลอมบาร์เดียไม่แพ้ข้า
คงกำลังไม่พอใจชานตั้น เซอเชาว์มากทีเดียว
“นั่นสิคะ เอาแต่หาเรื่องเชซายูอยู่ได้ น่ารำคาญจริง”
“แต่ถึงอย่างนั้นก็ยอมจ่ายค่าเสียหายอย่างว่าง่ายเลยนะครับ”
แม้จะไม่รู้เหตุผลที่แน่ชัด แต่เครย์ลีบันที่เกลียดชานตั้น เซอเชาว์พอๆ กับข้าและชานาเนส ไม่สิ เหมือนจะมากกว่าด้วยซ้ำพลันเอ่ยออกมา
ถึงจะพูดออกมาว่าได้รับค่าเสียหาย แต่กลับไม่พบความยินดีบนสีหน้าแม้แต่น้อย
มีบางอย่างชวนให้รู้สึกคลางแคลงใจอย่างที่เราคุยกันสั้นๆ หลังจากจบการประชุมใหญ่
“ตอนที่จะเปิดท่าเรือครั้งแรก เจ้าตระกูลเซอเชาว์เคยมาที่ห้องทำงานของร้านขายเสื้อผ้า”
ท่านพ่อเท้าคางพลางขุดคุ้ยความทรงจำ
“เขาก็เคยพูดอย่างตรงไปตรงมาตั้งแต่ตอนนั้น ว่าธัญพืชของเซอเชาว์ถูกขายไปในราคาถูกมาก”
ทันใดนั้นเครย์ลีบันก็หยิบผ้าเช็ดปากขึ้นมาราวกับหมดความอยากอาหาร แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ไปหาท่านแคลอฮันโดยไม่ได้นัดล่วงหน้าแล้วข่มขู่เพื่อจะเอาพื้นที่ในท่าเรือไปฟรีๆ แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวในการนำธัญพืชไปขายที่ตะวันออกโดยตรงอยู่ดี”
“งานของกลุ่มการค้า ใช่ว่าบอกว่าอยากทำแล้วใครก็สามารถทำได้นี่คะ พอข้าบอกว่าง่ายก็เลยคิดว่าเป็นเรื่องง่ายๆ ไปจริงๆ หรือไง”
ทันทีที่ข้าบ่นงึมงำ ท่านพ่อก็ส่ายศีรษะ
“ทำไมถึงได้เอาแต่เพ่งเล็งเชซายูนะ ดูไม่เหมือนจะประท้วงเพื่อเอาดินแดนที่เคยเป็นของเซอเชาว์คืนมาด้วย”
“เพ่งเล็งลอมบาร์เดีย”
คำพูดราบเรียบประโยคเดียวของท่านปู่ที่เริ่มอ่านหนังสืออย่างเงียบๆ อีกครั้งตกลงกลางบทสนทนาที่มีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“เพ่งเล็งลอมบาร์เดียอย่างนั้นเหรอครับ?”
ท่านพ่อเบิกตากว้างและถามกลับไปอย่างตกใจ
ทว่าคำตอบของท่านปู่ที่ไม่ละสายตาจากหนังสือยังคงเหมือนเดิม
“การเมืองก็เป็นเช่นนี้ บางครั้งคำพูดที่ไม่มีความหมายอะไรเพียงคำเดียวก็เปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง และเพียงแค่ทำลายสัญลักษณ์อย่างเดียว ทิศทางที่ทำลายแรงใจและพลิกกระดานของคู่ต่อสู้ก็เริ่มขึ้นแล้ว”
“ทิศทางที่จะพลิกกระดาน…”
ข้าพึมพำเสียงเบา ตอนนั้นเองท่านปู่ถึงได้ละสายตาจากหนังสือมามองข้าแทน
นัยน์ตาสีน้ำตาลอันเยือกเย็นนั้น เป็นสีของต้นไม้เก่าแก่ขนาดใหญ่
“การค้ากับตะวันออกเป็นผลงานที่เทียสร้างขึ้นซึ่งเกี่ยวพันกับลอมบาร์เดีย เชซายูและร้านค้าเพลเลสทั้งหมด กล่าวคือมันเป็นสัญลักษณ์ของเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียคนใหม่ และขอแค่ก่อกวนสิ่งนั้นเพียงอย่างเดียว…”
น้ำหนักของหนังสือที่ท่านปู่วางลงส่งออกมาผ่านโต๊ะ
“ความสามัคคีของกลุ่มพันธมิตรเซอเชาว์ก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น เจ้าตระกูลเซอเชาว์กำลังเล็งสิ่งนั้น เขาต้องการครอบครองที่ว่างซึ่งอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับลอมบาร์เดียที่เกิดขึ้นหลังจากที่อังเกนัสล่มสลาย”
ข้าพยักหน้าช้าๆ
คำพูดของท่านปู่ถูกต้อง
เพราะเพียงแค่การเป็นปฏิปักษ์กับข้า หรือกล่าวคือเป็นปฏิปักษ์กับลอมบาร์เดีย ก็ทำให้ชานตั้น เซอเชาว์ได้กลายเป็นศูนย์กลางของกลุ่มพันธมิตรเซอเชาว์และได้รับผลประโยชน์หลายอย่าง
“เทีย” ท่านพ่อตบหลังมือของข้าเบาๆ
ข้ายักไหล่ให้ท่านพ่อที่ทำเช่นนั้น แล้วกล่าวว่า
“ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ เพราะว่าเจ้าหมีนั่น ไม่สิ เจ้าตระกูลเซอเชาว์ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าหรอกค่ะ”
“กังวลอะไรกัน” ท่านปู่กางหนังสือออกอีกครั้งพลางส่งยิ้มให้ข้า “ลอมบาร์เดียมีกลุ่มอำนาจที่เป็นศัตรูอยู่เสมอ นี่เป็นเรื่องที่เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียจะต้องเอาชนะมันให้ได้”
“แน่นอนค่ะ ท่านปู่”
ข้าสบตาตรงๆ กับท่านปู่ที่พูดเช่นนั้น แล้วผงกศีรษะให้
ชานตั้น เซอเชาว์เรียกได้ว่าเป็นคนที่รับมือได้ยากก็จริง แต่ใช่ว่าจะไม่มีวิธีรับมือ
‘ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณท่านปู่’ ข้าละเลียดจิบไวน์พลางครุ่นคิด ‘มันเป็นช่วงเวลาที่ข้ารู้ดีที่สุดนี่นะ’
บังเอิญที่ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ข้าได้ช่วยเหลืองานเจ้าตระกูลของท่านปู่และได้พบเห็นเรื่องราวมากมายมาด้วยตนเองในชาติก่อน
แน่นอนว่าในบรรดาเรื่องเหล่านั้น มีเรื่องของเซอเชาว์ด้วย
“ท่านเจ้าตระกูล”
ตอนนั้นเอง พ่อบ้านโยฮันก็เดินเข้ามาอย่างเร่งรีบแต่นิ่งเงียบแล้วเอ่ยแจ้งว่า
“เบ็ตจากร้านขนมหวานคาราเมล อเวนิวขอเข้าพบท่านเจ้าตระกูลอย่างเร่งด่วนครับ”