เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] - ตอนที่ 147 ไม่รู้จักประเมินตน
- Home
- เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零]
- ตอนที่ 147 ไม่รู้จักประเมินตน
จ้าวเหวินเทาเพิ่งจะรับประทานอาหารค่ำเสร็จ เขาก็มาช่วยภรรยาปลูกต้นไมยราบ เรื่องการปลูกต้นไม้ดอกไม้ไม่ใช่งานอดิเรกของจ้าวเหวินเทาเลย แต่มันกลับไม่ได้ส่งผลกระทบต่องานอดิเรกของภรรยา
หากใช้คำพูดของภรรยามาพูดก็คือ นี่เรียกว่าการปลูกฝังอุปนิสัย
“ถ้าไม่ใช่เพราะคุณยุ่งเกินไป ฉันก็คงอยากปลูกดอกบัวไว้ในอ่างน้ำในบ้านของเราด้วย” เย่ฉูฉู่กล่าว
จ้าวเหวินเทาเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง “ปลูกดอกบัวก็ไม่เลวนะ แถมยังใช้เป็นวิวทิวทัศน์ไว้ดูเล่นได้ รอถึงฤดูใบไม้ร่วงยังเก็บรากบัวได้ด้วย พรุ่งนี้ผมจะเรียกชุยต้าให้ไปเอากลับมาให้คุณนะ รอผมกลับมาแล้วผมจะปลูกให้!”
ในเมื่อภรรยาอยากได้ จะมีเหตุผลไม่ตกปากรับคำได้อย่างไรกัน
เย่ฉูฉู่กลอกตาใส่เขาด้วยรอยยิ้ม จ้าวเหวินเทาจึงยื่นหน้าเข้ามาจูบเธอ
ตอนที่เองพี่สามจ้าวได้มาถึงและเห็นสองสามีภรรยากำลังพลอดรักกันอยู่พอดี เขาเห็นแล้วก็พลันรู้สึกแสลงสายตา
สองสามีภรรยาคู่นี้แต่งงานมาจะหนึ่งปีแล้ว ในท้องก็มีลูกแล้ว แต่ยังตัวติดหนึบขนาดนี้
แม้ระยะเวลาในการแต่งงานจะสั้น แต่ตอนแรกที่พวกเขาแต่งงานกันก็ไม่ได้เป็นแบบนี้ มันเกินกว่าจะรับได้จริง ๆ
เมื่อเห็นว่าพี่สามจ้าวเข้ามา จ้าวเหวินเทาจึงกล่าวว่า “เจ้าสาม พี่ทำอะไรเนี่ย แอบดูพวกเราเหรอ? ทำไมผมไม่เห็นรู้มาก่อนเลยล่ะว่าพี่ติดนิสัยเรื่องแบบนี้ด้วย”
เย่ฉูฉู่เองก็หน้าเหวอ ภายในใจก็รู้สึกอีกครั้งว่า ต้องสร้างบ้านเป็นของตัวเองถึงจะดี!
พี่สามจ้าวฟังแล้วอ้วกแทบพุ่ง เขากล่าว “ใครจะแอบดูนาย นายพอเถอะ ฉันมาที่นี่ก็เพราะอยากถามเรื่องสร้างบ้าน”
“เหวินเทาคุณให้พี่สามเข้าไปคุยในห้องเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันรดน้ำเอง” เย่ฉูฉู่รีบกล่าว
พี่สามจ้าวส่ายหน้า “ไม่ต้อง ๆ คุยตรงนี้ก็ได้”
“พี่อยากถามอะไรก็ถามมาสิ” จ้าวเหวินเทากล่าว
เขาย่อมเห็นอยู่แล้วว่าพี่รองของเขาขนอิฐมาหนึ่งคันรถ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขาสามารถสร้างบ้านได้พี่รองของเขาก็ทำได้เช่นกัน เรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องพูด
ส่วนวัสดุเหล่านั้นที่ต้องใช้สร้างบ้าน ในเมื่อพี่รองอยากจะสร้างบ้านเขาก็ให้พี่รองได้ ส่วนตัวเองค่อยไปซื้อ
พี่สามจ้าวเองก็ต้องถามถึงเรื่องค่าใช้จ่ายต่าง ๆ อยู่แล้ว แม้เขาเองจะอยากค้างจ่าย แต่เขาก็มั่นใจได้ว่า ถึงอย่างไรต้องรอให้ว่างจากการทำนาก่อน การขายเต้าหู้ของเขาถึงจะขายได้ดี
ก่อนที่จะว่างจากการทำนา การขายเต้าหู้ทั้งก่อนและหลังทำให้เขาได้เงินเดือนเทียบเท่ากับเงินเดือนหนึ่งเดือนกว่า ๆ ของคนอื่น สิ่งนี้ถือว่าดีเยี่ยมเลย แถมยังทำให้เขาเกิดความมั่นใจอย่างมากด้วย
แต่ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ค่อนข้างระมัดระวังมาตั้งแต่แรก ดังนั้นจึงต้องมาถามให้ชัดเจน หากเอาแต่ฟังจากปากพี่สะใภ้รองจ้าวเพียงคนเดียวคงไม่ได้
จ้าวเหวินเทาเองก็ไม่ได้ปิดบัง เขาทราบอะไรก็บอกไปทั้งหมด เรื่องนี้จึงเข้าหูของเจ้าสาม
“ปีนี้ตระกูลจ้าวของเราจะกลายเป็นตระกูลชั้นสูงภายในหมู่บ้านแล้ว พี่น้องของเราสร้างบ้านใหม่กันหมด เทียบกับบ้านของพ่อแม่เราก็ไม่ได้ต่างกันแล้ว” จ้าวเหวินเทากล่าวด้วยรอยยิ้ม
เย่ฉูฉู่เองก็รู้สึกขบขัน “ไม่มีใครอยากอยู่รั้งท้ายน้องชายอย่างคุณกันทั้งนั้นแหละค่ะ”
จ้าวเหวินเทาโบกมือ “ก็แค่การสร้างบ้านหนึ่งหลังเท่านั้น มันจะอะไรกันเชียว คิดจะไล่ตามผม แบบนั้นพวกเขาก็ต้องขยันแล้วล่ะ”
“ลอยแล้วนะคะ” เย่ฉูฉู่เหล่ตามองเขา
“ภรรยา ผมไม่ได้ลอยสักหน่อย ต่อให้ลอยจริง ๆ เชือกที่อยู่บนเท้าของผมก็ยังมีมือของคุณถือไว้อยู่ ผมลอยไปไหนคุณก็ยังดึงกลับมาได้” จ้าวเหวินเทากล่าวพลางยิ้มตาหยี
เย่ฉูฉู่แย้มยิ้ม
สำหรับความคิดเหล่านั้นของพวกพี่ชายและพี่สะใภ้ เย่ฉูฉู่เองก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ แยกบ้านกันแล้ว ทุกคนต่างก็มีเส้นทางเป็นของตัวเอง คิดว่าตัวเองแบกรับไหว ไม่กลัวเหนื่อย อยากจะสร้างก็สร้างเถอะ
ขนาดเธอและจ้าวเหวินเทาสร้างบ้านได้ คนอื่นก็ต้องทำได้เช่นกัน เพียงแต่ก็ต้องทำอย่างมีสติสักหน่อยถึงจะดี
หากพี่สะใภ้รองจ้าวทราบความคิดของเธอที่ว่าพวกเขากำลังทำอย่างขาดสติ แบบนั้นก็ต้องถามแล้วว่าใครกันแน่ที่ไม่มีสติ
เรื่องที่จะสร้างบ้านใหญ่โตแบบนี้ไม่สามารถปิดบังได้ พี่สะใภ้สี่จ้าวก็ทราบแล้วเช่นกัน
ครั้นได้ยินว่าพี่สามีทั้งสองและน้องสามีจะสร้างบ้านกันแล้ว หล่อนก็นั่งไม่ติดที่
“พวกเราเองก็สร้างบ้านด้วยดีไหม? ลูกชายคลอดออกมาก็จะได้อยู่บ้านใหม่พอดีเลย” ตอนค่ำพี่สะใภ้สี่จ้าวจึงพูดกับพี่สี่จ้าว เรื่องที่จะสร้างบ้านนั้นพี่สะใภ้สี่จ้าวคิดไว้นานแล้ว หล่อนอยากให้ลูกชายของหล่อนคลอดออกมาแล้วได้อยู่บ้านใหม่ ลูกชายของหล่อนต้องเกิดมาสูงส่งเกินกว่าที่จะบรรยายได้อย่างแน่นอน!
พี่สี่จ้าวเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว แม้แต่พูดเขาก็ขี้เกียจที่จะพูด
จนกระทั่งพี่สะใภ้สี่จ้าวผลักเขา จึงพูดว่า “คุณคิดดีแล้วค่อยว่ากัน เงินส่วนนั้นของเราคุณบอกว่าจะเก็บไว้ให้ลูกชายไม่ใช่เหรอ?”
“ฉันถามแล้ว พวกเขาค้างจ่ายกันทั้งนั้นแหละ ปีหน้าหรืออีกสองปีข้างหน้าค่อยจ่ายก็ได้” พี่สะใภ้สี่จ้าวสี่พูด
“พวกเขาทำให้ตัวเองทรมานแบบหลับหูหลับตา คุณเองก็คิดจะเลียนแบบหลับหูหลับตาทำให้ตัวเองทรมานไปกับเขาด้วย?” พี่สี่จ้าวแค่นเสียงเหอะ ๆ ออกมา
“หลับหูหลับตาทรมานอะไร นี่คุณสนใจหรือไม่สนใจลูกชายของตัวเองกันแน่!” พี่สะใภ้สี่จ้าวพูดด้วยความรำคาญ
“ผมไม่สร้าง คุณอยากสร้างนักก็ไปสร้างเอง” พี่สี่จ้าวตอบกลับไปตรง ๆ
“คุณดูสิว่ามีภรรยาบ้านไหนสร้างบ้านเองบ้าง? นั่นเป็นงานของผู้ชายทั้งนั้นแหละ!” พี่สะใภ้สี่จ้าวกล่าวเสียงสูง
“อย่าทำให้ลูกชายตกใจสิ” พี่สี่จ้าวเตือนเสียงเรียบ
พี่สะใภ้สี่จ้าวข่มโทสะทันใด จากนั้นจึงรีบลูบท้องอย่างอ่อนโยน “ลูกชายไม่ต้องกลัวนะ แม่ไม่ได้โกรธลูก เป็นเพราะพ่อของลูกคนเดียวเลย ไม่มีอนาคต พูดนิดหน่อยเขาก็ไม่เต็มใจแล้ว”
จนกระทั่งหล่อนปลอบโยนลูกชายที่อยู่ในท้องเสร็จจึงเงยหน้าเตรียมคุยเรื่องสร้างบ้านกับพี่สี่จ้าวอีกครั้ง แต่ในตอนนี้ก็ได้ยินเสียงกรนชนิดฟ้าสะเทือนของพี่สี่จ้าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หล่อนโมโหจนคิดอยากจะกระทืบสักสองสามครั้งจริง ๆ แต่เมื่อคิดถึงลูกชายในท้องจึงข่มใจไว้
พี่สะใภ้สี่จ้าวคิดว่าชีวิตของหล่อนนั้นไม่ง่ายเลยจริง ๆ เป็นเพราะลูกชายแท้ๆ ช่วงหลายเดือนมานี้ไม่รู้ว่าหล่อนต้องข่มโทสะไปตั้งเท่าไร ถ้าลูกชายยังไม่คลอดออกมา คาดว่าหล่อนคงได้โมโหจนป่วยแน่
ก่อนหน้านี้คุณแม่จ้าวเองก็รู้สึกอิจฉาที่ตระกูลเย่ได้สร้างบ้าน ตอนนี้ลูกชายทั้งสามคิดจะสร้างบ้านพร้อมกัน สิ่งนี้ทำให้นางที่เป็นแม่ถึงกับมีใบหน้าผ่องใส
ทว่าภายใต้ความผ่องใสนี้นางก็แอบอกสั่นขวัญแขวนอยู่เหมือนกัน
“แต่ละคนช่างไม่รู้จักประเมินตนเองกันเลย” คุณพ่อจ้าวพูดกับคนในหมู่บ้านเช่นนี้
“นายเป็นถึงพ่อของพวกเขาแต่ทำไมถึงพูดแบบนี้ล่ะ? เรื่องสร้างบ้านเป็นเรื่องที่ดีมากเลยนะ ถึงเวลานั้นก็รับนายไปอยู่บ้านใหม่ด้วย ชีวิตดีจะตายไป!” คนในหมู่บ้านพูดด้วยความอิจฉา ภายในใจก็อดไม่ได้ที่จะพึมพำ ตระกูลจ้าวนี้ไปร่ำรวยมาจากไหนกัน?
หรือว่าจะเป็นเพราะแอบไปขุดสุสานฝังศพพร้อมกับจ้าวเหวินอู่เป็นการส่วนตัว?
ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ ทำไมแต่ละคนถึงได้มีเงินทองจะสร้างบ้านล่ะ?
“ชีวิตดีอะไรกันล่ะ ถ้ามีความสามารถนั้นจริง ๆ มีเงินทองไว้สร้างบ้าน ฉันก็ไม่ต้องเสียเวลาเป็นกังวลหรอก คงจะมีความสุขตามไปด้วย แต่ลูกๆ พวกนั้นค้างจ่ายเพื่อสร้างบ้านกันทั้งนั้นแหละ!” คุณพ่อจ้าวกล่าว
แม้ว่าคุณพ่อจ้าวจะไม่ได้ตำหนิลูกชายทั้งสองคน แต่เขาก็มาจากยุคสมัยนั้น ความลำบากอะไรพวกนั้นก็ผ่านมาหมดแล้ว แถมยังเคยทำเรื่องที่แย่ที่สุด เพียงแต่เขาไม่ได้ห้ามปรามจ้าวเหวินเทาลูกคนเล็กไม่ให้ออกไปค้าขาย
ที่ไม่ได้ห้ามปราม สาเหตุก็เป็นเพราะลูกชายคนเล็กคนนี้ไม่ใช่คนที่จะทำการทำงาน ออกไปข้างนอกถึงจะเหมาะสมกับเขายิ่งกว่า
แต่โดยพื้นฐานแล้วคุณพ่อจ้าวก็ยังเป็นคนหัวโบราณมากคนหนึ่ง
เขาคิดว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่ควรปล่อยให้ขาดแคลนเงิน ค้างเงินคนอื่นสิ่งนี้ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีเลย ตัวอย่างที่เหมาะที่สุดก็คือหยางไป๋เหลาในเรื่องหญิงสาวผมขาว*
*ภาพยนต์ขาวดำในปี 1951 ที่ดัดแปลงมาจากอุปรากรชื่อเดียวกัน เป็นเรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่งที่หนีเข้าป่าแล้วมีผมกลายเป็นสีขาว
ดังนั้น หากไม่ได้เกี่ยวข้องถึงขั้นเกิดภัยธรรมชาติเป็นโรคภัยไข้เจ็บก็จะไม่มีใครไปหยิบยืมเงิน
ใครจะไปคิดว่าตอนนี้ลูกชายทั้งหมดของเขาแม้จะขาดแคลนเงินแต่ก็ยังจะสร้างบ้าน
เทียบกับประสบการณ์ของเขาในการมองเรื่องนี้ นอกจากลูกชายคนเล็กแล้ว ลูกชายคนโตทั้งสองคนก็ไม่ได้กระทำการอย่างชาญฉลาดอะไรเลย
แต่คุณพ่อจ้าวเองก็ไม่ได้ไปหาพวกเขาเพื่อพูดคุย ยังคงเป็นประโยคนั้น แต่ละคนต่างก็สร้างครอบครัวมีธุรกิจแล้ว เรื่องอะไรก็ต้องให้พวกเขาแบกรับกันเอง พวกเขาไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว
………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ทีนี้เลยคิดจะสร้างบ้านกันหมด รอดูตอนใช้หนี้เถอะ ได้ใช้หนี้กันสนุกแน่
ไหหม่า(海馬)