เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] - ตอนที่ 324 รำลึกถึงความขมขื่น
- Home
- เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零]
- ตอนที่ 324 รำลึกถึงความขมขื่น
ตอนที่ 324 รำลึกถึงความขมขื่น
ตอนที่ 324 รำลึกถึงความขมขื่น
“คำพูดอะไรเหรอคะ?” เย่ฉูฉู่เกิดความฉงนสงสัย
“ผู้ชายเวลามีเงินก็เปลี่ยนเป็นคนไม่ดี ประโยคต่อไปคือผู้หญิงเปลี่ยนเป็นคนไม่ดีก็จะมีเงิน!” จ้าวเหวินเทากล่าว
เย่ฉูฉู่ชะงักก่อนพลิกตัวไปบีบคอของเขา “คุณหมายความว่ายังไงคะ? คุณบอกว่าฉันเปลี่ยนเป็นคนไม่ดีแล้วเหรอ?”
“เปล่า ๆ!” จ้าวเหวินเทารีบยอมแพ้ “ภรรยาของผมไม่ได้เปลี่ยนเป็นคนไม่ดีก็มีเงิน!”
พี่สามจ้าวได้รับการคลายทุกข์จากจ้าวเหวินเทาแล้ว จึงไปเก็บข้าวโพดด้วยความสบายใจ แน่นอนว่าเป็นเพราะการเก็บเกี่ยวข้าวโพดที่ทำให้เขาปล่อยวางความยุ่งเหยิงจากเงินแค่ไม่กี่หยวนเหล่านั้น
การเก็บเกี่ยวของปีนี้ไม่ได้ต่างจากปีที่แล้ว ในสายตาของผู้คนตอนนี้มีแต่การเก็บเกี่ยว ถึงอย่างไรก็ยังดีกว่าตอนที่กินข้าวหม้อใหญ่นั้นมาก
การเก็บเกี่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วงนั้นเหนื่อยมาก ทุกคนเหนื่อยจนไม่สนใจที่จะนั่งซุบซิบนินทาคนอื่นแล้ว หลังจากเก็บเกี่ยวจนเสร็จ จึงสังเกตเห็นว่าจ้าวเหวินเทาได้เก็บข้าวโพดกลับมาหมดแล้ว ก้านก็ถูกขนไปที่บ้านแล้วด้วย เช่นเดียวกับผักกาดขาว เขาเก็บเสร็จเป็นคนแรกอีกแล้ว สิ่งนี้ทำให้พวกเขาไม่สบอารมณ์อย่างมาก
แต่เมื่อได้ยินว่าจ้าวเหวินเทาขายข้าวโพดครึ่งหนึ่งเพื่อแลกกับการให้อีกฝ่ายช่วยเก็บเกี่ยว ความรู้สึกไม่สบอารมณ์นั้นก็เปลี่ยนเป็นความสบายใจ จ้าวเหวินเทานี่นะ ช่างเกียจคร้านเสียจริง ภายในใจจึงเกิดความสมดุล
ในสายตาของคนในหมู่บ้าน จ้าวเหวินเทาลงไปทำนาน้อยครั้งมาก เขาเอาแต่ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกทั้งวัน ผ่อนคลายและเป็นอิสระมาก อันที่จริงพวกเขาไม่รู้เลยว่าการทำค้าขายก็ลำบากตรากตรำมากเช่นกัน ลำบากกว่าการทำนาเสียอีก ทำนาก็แค่ใช้แรงกาย แต่การค้าขายกลับต้องใช้ทั้งแรงกายและแรงสมอง ทำไปพร้อม ๆ กันก็เท่ากับออกแรงสองเท่า
คนเราก็เป็นแบบนี้แหละ เอาแต่มองเห็นในสิ่งที่ตัวเองอยากเห็น
“น้องสามีของเธอเอาข้าวโพดไปขายหมดแล้ว แบบนั้นไม่ขาดทุนตายเลยเหรอ!” ภรรยาของเหล่าหวังสามช่วยพี่สะใภ้รองจ้าวล้างผักกาดขาวไปพลางก็พูดไปพลาง
ตอนที่เก็บข้าวโพดเสร็จ ช่วงที่ต้องดองผักก็มาถึง พี่สะใภ้รองจ้าวไปหาพวกผู้หญิงมาช่วยสองสามคน ทุกคนทำงานไปพลางก็พูดคุยไปพลาง แน่นอนว่าต้องพูดถึงเรื่องที่จ้าวเหวินเทาขายข้าวโพดด้วย
“เขาทำมาค้าขาย จะขาดทุนหรือไม่ขาดทุนย่อมรู้ดีกว่าพวกเราอยู่แล้ว” พี่สะใภ้รองจ้าวล้างผักกาดขาวที่อยู่ในถัง
“มันก็ไม่แน่เสมอไปหรอก อย่าหาว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะ น้องสามีคนเล็กของเธอไม่อยากทำงานมากกว่า” ผู้หญิงคนหนึ่งพูด “ประกอบกับในมือของเขาก็มีเงินอีกนิดหน่อย ก็ยิ่งคิดอยากให้งานน้อยลง”
“เรื่องนั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน” พี่สะใภ้รองจ้าวกล่าว “แยกบ้านแล้ว ก็ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้แล้ว พูดมากหรือน้อยไปก็ไม่ดี”
“ก็จริง” หลี่เฟินกล่าว “ตอนนี้ใช้ชีวิตกันเองแล้ว ใครก็ไม่อยากถูกบงการทั้งนั้นแหละ”
“พวกเราก็แค่พูดไปงั้น” ภรรยาเหล่าหวังสามกล่าว “ฉันได้ยินมาว่า คนคนนั้นมาซื้อข้าวโพดของจ้าวเหวินเทาไปเลี้ยงแกะ ข้าวโพดที่ซื้อก็เอาไปเป็นอาหารให้แกะนั่นแหละ ถึงเวลานั้นก็ให้อาหารแกะไปทั้งก้านเลย ฉันคิดแล้วก็เสียดาย นั่นเป็นอาหารทั้งนั้นเลยนะ”
“ก็นั่นน่ะสิ” ผู้หญิงอีกคนกล่าว “ตอนฉันเด็ก ๆ ยังได้กินแค่กากเต้าหู้ ไม่มีธัญพืชสักนิดเลย ภายหลังแม้แต่กากเต้าหู้ก็ไม่มีแล้ว เลยต้องกินผักป่ากับหญ้า ต้มน้ำไว้หนึ่งหม้อใหญ่ไว้กินด้วยกัน กินจนท้องของฉันเสียงดังโครกคราก ๆ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะต้องขายธัญพืชให้สถานีธัญพืช เม็ดเดียวฉันก็ไม่ขาย!”
“อย่าไปพูดถึงตอนเธอเด็ก ๆ เลย พวกเราที่เป็นคนทำงานต่างก็ใช้ชีวิตแบบนั้นกันหมดไม่ใช่รึไง ฉันจำได้ว่าแม่ของฉันถือกระเป๋าใบเล็ก ๆ ขึ้นไปขุดผักป่าเก็บใบไม้ตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ถ้าโชคดีก็จับปลาเก็บไข่ไก่ป่ากลับมาได้นิดหน่อย ต้มเสร็จก็คลุกกิน แบบนั้นก็ยังกินไม่อิ่มอยู่ดี! หิวจนฉันอยากกัดทุกอย่างที่เห็นเลย!” สะใภ้รองจ้าวกล่าว
“นั่นสิ ตอนเด็ก ๆ พวกเราต่างก็ใช้ชีวิตแบบนั้นกันหมด อยากได้อะไรก็ไม่มีสักอย่างจริง ๆ ฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ที่ดินเหมือนกันแท้ ๆ ทำไมถึงหาอาหารไม่ได้ล่ะ!” ภรรยาเหล่าหวังสามกล่าว
“พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถึงยังไงก็กินไม่อิ่มอยู่ดี ในบ้านอยากเลี้ยงอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ไม่ให้เลี้ยง อยากทำอะไรก็ไม่ให้ทำ ดูอย่างจ้าวเหวินเทาที่ทำค้าขายสิ ถ้าเป็นตอนที่พวกเราเด็ก ๆ นะ…สวรรค์เถอะ แค่ทำก็ถูกจับเข้าคุกไปแล้ว! ดูตอนนี้สิดีขนาดไหน ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น แถมยังได้กินอิ่มอีก เฮ้อ ตอนนี้เด็กพวกนี้โชคดีจริง ๆ เลย!” หลี่เฟินกล่าว
“ตอนนั้นบอกให้เธอเลี้ยงนิด ๆ หน่อย ๆ เธอก็ยังเลี้ยงไม่ไหวแล้ว พวกไก่ เป็ดแล้วก็หมูตอนช่วงฤดูร้อนก็ยังดีนะ แต่พอฤดูหนาวนี่สิ คนยังไม่มีจะกิน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกสัตว์เลย!” พี่สะใภ้รองจ้าวกล่าว
“พวกเราใช้ชีวิตมาได้ยังไงเนี่ย?” หลี่เฟินพูดด้วยอารมณ์ความรู้สึก
“ไม่รู้สิ” ภรรยาเหล่าหวังสามแย้มยิ้ม “บางครั้งฉันก็สงสัยมากเหมือนกัน พวกเรายังโตมาได้ขนาดนี้!”
“ไม่เพียงแต่เธอโตมาได้ขนาดนี้นะ เธอยังแต่งงานมีลูกแล้วด้วย!” ผู้หญิงคนอื่น ๆ พูดเคล้ารอยยิ้ม
หลี่เฟินก็หัวเราะร่าเช่นกัน “ก็นั่นน่ะสิ แค่แป๊บเดียวลูก ๆ ของพวกเราก็โตกันขนาดนี้แล้ว เฮ้อ ดูถูกเรื่องแบบนี้ไม่ได้จริงๆ ! ฉันยังจำได้อยู่เลยว่าตอนที่ฉันอายุ 7-8 ขวบฉันกับพวกพี่ชายไปขุดรากชะเอมกินด้วย เหมือนกับเพิ่งเกิดขึ้นเลย!”
“นั่นสิ เวลาผ่านไปเร็วจริง ๆ นี่ก็ผ่านไปอีกปีแล้ว!” พี่สะใภ้รองจ้าวกล่าว “ตอนนี้ฉันก็รู้สึกได้ว่าผ่านไปเร็ว แค่หลับตาแล้วลืมตาขึ้นมาก็หมดไปอีกวันแล้ว ยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย!”
“หลังจากนั้นพอเธอลืมตาแล้วหลับตาอีกครั้ง หนึ่งปีก็ผ่านพ้นไปแล้ว!” หลี่เฟินพูดต่อ
“หลังจากลืมตาและหลับตาอีกครั้งก็ซี้ม่องเท่งแล้ว!” ภรรยาเหล่าหวังสามกล่าว
ทุกคนต่างพากันหัวเราะออกมา
คนเยอะก็ทำงานได้เร็ว ครั้นถึงเวลาใกล้ค่ำ ผักดองสองถังก็ถูกหมักจนเสร็จ ด้านบนกดทับด้วยหินก้อนใหญ่ที่ล้างและขัดจนสะอาด เป็นอันเสร็จสิ้น!
เดิมทีพี่สะใภ้รองจ้าวยังอยากให้ทุกคนอยู่กินข้าวด้วยกันเพราะยุ่งมาทั้งวันแล้ว ตอนเที่ยงก็ได้กินแค่ของง่าย ๆ แต่ทุกคนยังมีงานรออยู่ จึงขอตัวกลับไปกันหมด พี่สะใภ้รองจ้าวจึงทำได้เพียงแค่บอกคนเหล่านั้นไปว่าถ้าจะดองผักก็ให้มาเรียกให้หล่อนไปช่วยได้
ตอนค่ำพี่สะใภ้รองจ้าวตุ๋นผักกาดขาวกับมันฝรั่ง ใส่เมล็ดกัญชงลงไปนิดหน่อย จากนั้นก็หั่นพริกอีกสองสามเม็ด ใส่ต้นหอมและผักชีลงไปนิดหน่อยคลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วลงมือกิน
พี่รองจ้าวขนก้านข้าวโพดกลับมาแล้ว พวกลูก ๆ ก็เลิกเรียนกลับมาจากโรงเรียนกันแล้ว พี่สะใภ้รองจ้าวจึงนำอาหารมาวางบนโต๊ะและกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา
ตอนที่กินข้าว พี่สะใภ้รองจ้าวก็พูดถึงเรื่องที่จ้าวเหวินเทาขายข้าวโพด
“เรื่องนี้ผมรู้แล้ว เจ้าหกยุ่งอยู่กับการค้าขาย ไม่มีเวลามาเก็บข้าวโพดก็เลยขายให้คนคนนั้นไปแบบถูก ๆ ส่วนเขาเหลือไว้เองครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งก็ให้คนนั้นช่วยรับกลับไป” พี่รองจ้าวกินผักกาดขาวมันฝรั่งคำใหญ่อย่างเอร็ดอร่อย “ตุ๋นผักกาดขาวกับเมล็ดกัญชงนี่หอมดีนะ!”
“นี่เป็นเมล็ดกัญชงที่เพิ่งออกมาใหม่ ๆ เลย” พี่สะใภ้รองจ้าวกล่าว “ฉันเด็ดออกมานิดหน่อย เอาเข้าไปวางผึ่งด้านในแล้ว น้องหกออกไปค้าขายได้เงินมากขนาดนั้นเลยเหรอ? ถึงได้ไม่สนใจแม้แต่จะเก็บข้าวโพดไว้?”
“คิดว่าคงใช่ ไม่รู้สิ” พี่รองจ้าวครุ่นคิดแล้วพูด “พรุ่งนี้คุณไปบ้านเจ้าหกแล้วถามน้องสะใภ้หกดู ดูว่าพวกเขาจะดองผักกันเมื่อไหร่ จะได้ไปช่วย”
พี่สะใภ้รองจ้าวยุ่งอยู่กับการดองผักมาทั้งวันแล้ว เหนื่อยจนเอวเคล็ดหลังยอกไปหมด วันพรุ่งนี้หล่อนจึงอยากพักสักหน่อย ผลลัพธ์ที่ได้คือพี่รองจ้าวกลับจัดแจงหางานให้หล่อนแล้ว จึงแอบรู้สึกไม่เต็มใจ แต่ปากก็ยังพูดไปว่า “ก็ได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะไปถามดู”
ทางฝั่งพี่สามจ้าวก็พูดกับพี่สะใภ้สามจ้าวให้ไปช่วยจ้าวเหวินเทาทำผักดองเช่นกัน
“น้องสะใภ้หกต้องเลี้ยงลูก คงทำผักดองไม่ได้ คุณก็ไปดู ๆ แล้วช่วยสักหน่อย” พี่สามจ้าวกล่าว
พี่สะใภ้สามจ้าว “คุณไม่บอกฉันก็ต้องไปอยู่แล้ว นี่เป็นเพราะยุ่งอยู่กับการเก็บข้าวโพดไม่ใช่หรือไง ไม่งั้นฉันคงไปนานแล้ว”
พี่สามจ้าวกล่าว “ผ่านไปอีกสองวันก็น่าจะขนก้านกลับมาหมดแล้ว ที่ลานนวดข้าวยังมีแกลบอะไรพวกนั้นอีกนิดหน่อย ขนกลับมาก็ไม่มีอะไรแล้ว พวกเราก็กลับมาทำเต้าหู้ต่อได้แล้ว”
………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
จีนสมัยยุค 60 นี่ถือว่าลำบากมากจริงค่ะ คือแร้นแค้นแบบไม่มีอะไรจะกินกันจริงๆ ขนาดต้องกินเปลือกไม้ประทังชีวิต
ไหหม่า(海馬)