เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] - ตอนที่ 327 สายจากโจวหมิ่น
- Home
- เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零]
- ตอนที่ 327 สายจากโจวหมิ่น
ตอนที่ 327 สายจากโจวหมิ่น
ตอนที่ 327 สายจากโจวหมิ่น
แม้ก่อนหน้านี้โจวหมิ่นจะเคยพูดคำพูดประเภทนี้ไปแล้ว แต่เมื่อได้ยินอีกครั้งในตอนนี้ เย่ฉูฉู่ก็เข้าใจอะไรได้เยอะมาก
“งั้นคนจนล่ะ?” เธออดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม
“คนจน? พวกเราไม่สนใจคนจนหรอก ฉันหาเงินจากคนรวยเท่านั้น” เสียงของโจวหมิ่นแม้จะติดเหนื่อยล้าอยู่นิดๆ แต่ในคำพูดกลับแฝงด้วยความดุดัน “เพราะเงินของคนรวยหาได้ง่ายที่สุด!”
เย่ฉูฉู่ยิ้ม “พอได้ฟังแล้วทำไมรู้สึกแปลก ๆ แบบนี้ล่ะคะ? ราวกับว่าคนรวยเป็นคนโง่มากอย่างนั้นแหละ”
โจวหมิ่นก็ยิ้มเช่นกัน “เธอคิดว่าไงล่ะ? ฉันจะบอกอะไรให้นะ คนรวยก็ไม่ใช่ว่าจะมีอำนาจทำได้ทุกอย่างหรอก มีคนรวยส่วนใหญ่นอกจากหาเงินแล้วก็สู้คนธรรมดาไม่ได้ด้วยซ้ำ ฉูฉู่ สวรรค์มีความยุติธรรมนะ ไม่มีทางให้เธอได้ทุกอย่างหรือทำให้เธออยู่ยงคงกระพันสมบูรณ์แบบหรอก แต่ละคนต่างก็มีข้อบกพร่องกันทั้งนั้น โดยเฉพาะคนที่ดูสมบูรณ์แบบมากเหล่านั้น อันที่จริงแล้วมีข้อบกพร่องมากยิ่งกว่าคนอื่นอีก”
เย่ฉูฉู่ชอบฟังคำพูดเหล่านี้ของโจวหมิ่นมาก “จริงเหรอ งั้นทำไมฉันถึงไม่ได้รู้สึกถึงมันเลยล่ะคะ?”
“กว่าเธอจะรู้สึกได้ก็ถูกอีกฝ่ายหลอกแล้ว เสี่ยวไป๋หยางเป็นยังไงบ้าง พูดได้หรือยัง?” โจวหมิ่นพูดถึงประเด็นอื่นแล้ว
“ยังเลยค่ะ เอาแต่ส่งเสียงอ้อแอ้ ๆ ทั้งวัน” เมื่อพูดถึงเรื่องลูก เย่ฉูฉู่ก็กลับมาเกียจคร้านอีกครั้ง
“เสี่ยวไป๋หยางยังไม่ครบปีสินะ เธอไม่ต้องรีบร้อนหรอก แล้วเดินได้หรือยัง?” โจวหมิ่นถามอีกครั้ง
“ถ้าจับตัวเขาก็เดินได้สามสี่ก้าวแล้วค่ะ จับของก็ลุกขึ้นยืนได้แล้วด้วย” เย่ฉูฉู่ถอนหายใจ “เด็กคนนี้ยิ่งโตก็ยิ่งเหนื่อย ไม่ยอมนั่งรถเข็นเด็กแล้ว อยากจะลงมาเดินเอง แต่เขาก็ยังเดินไม่ได้ ก็ต้องคอยจับประคองเขาไว้ จับนาน ๆ ก็ปวดเอวเหนื่อยไปหมด”
“เลี้ยงลูกนี่แหละเหนื่อยที่สุดแล้ว! โชคดีนะที่ทางฝั่งนี้มีแม่อยู่ แถมยังมีป้าคอยช่วยดูแลให้ ถ้าเธอไม่ไหวก็จ้างคนมาดูสิ คิดว่าคงใช้เงินไม่เท่าไรหรอกมั้ง” โจวหมิ่นทราบว่าคุณแม่จ้าวทำงานยุ่งอยู่ที่ฟาร์มกระต่าย จึงไม่มีเวลาเลี้ยงหลาน
“อย่าเลยค่ะ จ้างคนฉันก็ไม่สบายใจ เลี้ยงเองนี่แหละ เหนื่อยหน่อยก็เอาเถอะ ถึงยังไงก็แค่ไม่กี่ปี รอเข้าเรียนก็สบายแล้ว” เย่ฉูฉู่คิดว่าไม่มีใครเลี้ยงลูกได้ดีเท่ากับเธอที่เป็นแม่แล้ว
โจวหมิ่นนึกถึงลูกอีกสิบกว่าปีหลังจากนี้ แค่คลอดออกมาก็จะไม่มีคำว่าสบายอีกต่อไป ยิ่งเข้าเรียนนี่แหละยิ่งเหนื่อย การศึกษานี้ทำให้ครอบครัวจำนวนมากเหนื่อยจนแทบคลาน!
แต่เมื่อนึกถึงเด็ก ๆ ในชนบท โดยพื้นฐานแล้วจะเลี้ยงแบบปล่อย ปล่อยให้สนุกกับโลกใบใหญ่ ขอแค่ร่างกายแข็งแรงก็ไม่คิดถึงเรื่องอื่นแล้ว ข้อดีในการเลี้ยงแบบนี้ก็คือพ่อแม่สบาย ลูก ๆ ก็ผ่อนคลาย ถ้าหากอ่านหนังสือไม่ออก โตขึ้นมาก็เป็นกังวลเรื่องภรรยาและสร้างบ้านก็พอแล้ว
อันที่จริงหากง่ายดายแบบนี้ก็คงจะดีมาก ๆ เลย
“เสี่ยวไป๋หยางกินอาหารเสริมแล้วใช่ไหม?” โจวหมิ่นถาม
“กินแล้วค่ะ ตอนอายุครบหกเดือนก็กินแล้ว” เย่ฉูฉู่ตอบ “มีไข่แดง บะหมี่ โจ๊กข้าวฟ่าง ของพวกนี้แหละค่ะ แต่ฉันก็ยังไม่กล้าให้เขากินเยอะเกินไป เยว่เยว่ล่ะคะ?”
“กินแล้วเหมือนกัน แม่เป็นคนดูแล ฉันเองก็ไม่มีประสบการณ์ ฟังตามที่แม่บอกก็พอแล้ว” โจวหมิ่นกล่าวเคล้ารอยยิ้ม “เรื่องนี้ฉันแกร่งกว่าเธอเยอะเลย ฉันไม่ต้องเป็นกังวลใจสักนิด”
ก่อนหน้านี้คุณแม่เย่เคยพูดกับเย่ฉูฉู่ตอนโทรมาหา ลูกสะใภ้โจวหมิ่นคนนี้เก่งที่สุดในเรื่องนี้ นอกจากให้นมลูกแล้วหล่อนก็ไม่ได้ดูแลอะไรเลย หล่อนไม่เคยจู้จี้จุกจิก อยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้ยังไม่เคยโกรธจนหน้าแดงมาก่อน คุณแม่เย่อยู่ที่นี่ก็สบายใจมาก
คุณแม่เย่เป็นคนเฉลียวฉลาด ตอนอยู่ที่บ้าน แม่สามีและลูกสะใภ้ก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวเลย ไม่เคยโหวกเหวกเสียงดัง ตอนนั้นก็เป็นคุณแม่เย่ที่เป็นใหญ่ ทำให้ในตอนแรกเย่ฉูฉู่นึกกังวลใจ เพราะแม่ของเธอแข็งแกร่งขนาดนั้น โจวหมิ่นเองก็เป็นคนเข้มแข็งมาก อีกอย่างโจวหมิ่นก็เป็นคนมีการศึกษา ถ้าหากทะเลาะกันขึ้นมาจะทำอย่างไร? คิดไม่ถึงเลยว่าความสัมพันธ์ระหว่างแม่สามีและลูกสะใภ้จะไม่เลวเลย
“แม่ของฉันดูแลเรื่องต่าง ๆ ดีเกินไปแล้ว พี่สะใภ้สามต้องใจกว้างให้มาก ๆ นะคะ” เย่ฉูฉู่พูดทีเล่นทีจริง
โจวหมิ่นหัวเราะร่า “ฉูฉู่ เธอไม่ต้องห่วงความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับแม่หรอก ฉันรู้ว่าคนแก่ต่างก็ดูแลเรื่องต่าง ๆ เป็นอย่างดี แบบนั้นก็ปล่อยให้แม่ดูแลไปเถอะ ถึงยังไงฉันก็ไม่ได้มีความอดทนกับเรื่องในบ้านอยู่แล้ว แม่มาดูแลได้พอดีเลย ฉันเองก็หมดปัญหาด้วย ฉันกับแม่มีการแบ่งงานกันอย่างชัดเจน ฉันดูแลเรื่องนอกบ้าน ส่วนแม่ดูแลเรื่องในบ้าน ถึงเวลานั้นฉันแค่จ่ายค่าครองชีพให้ก็สิ้นเรื่องแล้ว รอฉันซื้อบ้านเมื่อไร ก็จะรับคุณพ่อให้มาอยู่ด้วยกัน ช่วยไปรับไปส่งลูกให้เข้าเรียน แบบนี้แม่ก็ผ่อนคลายลงแล้ว”
โจวหมิ่นวางแผนไว้อย่างดี ซื้อบ้าน ใส่ชื่อลงในทะเบียนบ้าน รับคุณพ่อและคุณแม่เย่ไปอยู่ ดูแลเรื่องชีวิตการเข้าเรียนของลูก ส่วนป้าแม่บ้านก็รับผิดชอบเรื่องงานบ้าน เธอกับเย่หมิงเป่ยก็ทำงานหนักนอกบ้าน รอจนกระทั่งลูกช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว คุณพ่อเย่กับคุณแม่เย่อยากกลับบ้านเกิดก็กลับได้ หรือถ้าไม่อยากกลับก็อยู่กับหล่อนได้เช่นกัน
“…รอเสี่ยวไป๋หยางเข้าเรียนแล้ว ถ้าเธอทำใจได้ ก็พาเสี่ยวไป๋หยางมาที่นี่ด้วยสิ ให้เขามาเข้าเรียนที่นี่ บอกให้พ่อกับแม่มาช่วยดูแล สองพี่น้องจะได้มีเพื่อนด้วย” โจวหมิ่นคิดไปไกลมาก
เย่ฉูฉู่มองลูกชายที่กำลังนอนหลับปุ๋ยอยู่ ไม่รู้ว่าฝันหวานอะไรอยู่ มุมปากก็ยกขึ้นเป็นครั้งคราว เมื่อนึกถึงลูกหลังจากนี้อีกไม่กี่ปีที่ต้องไปจากข้างกายเพื่อไปเมืองหลวง เธอก็รู้สึกเป็นทุกข์ในทันที
“ฉันทำใจไม่ได้หรอกค่ะ” เย่ฉูฉู่พูดอย่างตรงไปตรงมา
โจวหมิ่นชะงัก ก่อนกล่าวเคล้ารอยยิ้มว่า “ฉันรู้อยู่แล้ว เธอเลี้ยงเขาด้วยตัวเองจนโต ก็ต้องทำใจไม่ได้อยู่แล้ว แต่การศึกษาที่เมืองหลวงดีกว่าบ้านพวกเราทางนั้นนะ เด็ก ๆ ก็มีประสบการณ์ด้วย ทางที่ดีที่สุดก็มาเรียนที่นี่เถอะ อันที่จริงถ้าไม่ได้เธอก็มาอยู่เป็นเพื่อนสิ แต่ตอนนี้มาคุยเรื่องนี้ยังเร็วเกินไป ถึงยังไงก็ต้องเข้าอนุบาลก่อน เธอค่อย ๆ พิจารณาดูก็แล้วกันนะ”
เย่ฉูฉู่ส่งเสียง ‘อืม’ หนึ่งเสียง “พี่สะใภ้สาม พี่โทรมาหาฉันคงมีธุระอะไรสินะคะ?”
“ก็ไม่ได้มีอะไรหรอก แค่จะถามเธอว่า เธอออกแบบชุดแต่งงานสักสามสี่ชุดได้ไหม?” โจวหมิ่นกล่าว
“ชุดแต่งงาน? ใส่ในงานแต่งน่ะเหรอคะ?” เย่ฉูฉู่ถาม
“ใช่ ใส่ในงานแต่ง อยากได้แบบคลาสสิกนะ สวยดี ฉันจะส่งนิตยสารไปให้เธอ ปีที่แล้วมีชุดแต่งงานของต่างประเทศ นี่ถ้าออกแบบชุดแต่งงานของประเทศเราออกมาได้อย่างโดดเด่นก็ยิ่งดีเลย” โจวหมิ่นชอบองค์ประกอบสุดคลาสสิกของประเทศตัวเองมากกว่า
เธอเชื่อว่า ขอแค่ดูดี ต้องได้รับความนิยมจากกลุ่มวัยรุ่นแน่นอน!
เย่ฉูฉู่นึกถึงชุดแต่งงานในยุคนั้นของตัวเอง มีความซับซ้อนอย่างมาก ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือเปล่า ถ้าลดความซับซ้อนลงล่ะ? ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยสวยเท่าไรนัก
“ฉันจะลองดูนะคะ พี่จะเอาตอนไหนเหรอ?” เย่ฉูฉู่ถาม
“สองเดือนก็แล้วกัน ฉันมีแผนจะจัดงานแฟชั่นโชว์ก่อนเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ จะเอาชุดที่เธอออกแบบก่อนหน้านี้แล้วก็ชุดที่ออกแบบใหม่ไปแสดงด้วยกันเลย เสียวหม่าเองก็จะได้ใช้โอกาสนี้เปิดเผยหน้าตาได้พอดี ถ้าสามารถขึ้นไปอยู่บนข่าวหนังสือพิมพ์ได้ก็ยิ่งดี แต่ถ้าไม่ได้ก็คงทำได้แค่จ่ายเงินให้เขาขึ้นแล้วล่ะ” โจวหมิ่นพูดไปพลางก็พูดด้วยน้ำเสียงของการเป็นนายทุนอีกครั้ง “แต่ก็หวังว่าเด็กนั่นจะนำเงินของพวกเรากลับมา”
เย่ฉูฉู่แย้มยิ้ม “ต้องได้อยู่แล้วค่ะ ถ้าไม่ได้ พี่คงไม่เรียกให้เขาขึ้นหรอก”
โจวหมิ่นยิ้ม “รูปลักษณ์ของเขาดีนะ นี่เป็นถ้วยข้าวที่ฟ้าประทานเลยแหละ พวกเราต้องใช้ประโยชน์ให้เต็มที่ แบบในการออกแบบชุดแต่งงานของผู้ชายก็ยึดตามไซส์ของเขาได้เลย ถ้าเป็นไปได้ ช่วยออกแบบให้เขาสักสามสี่ชุดนะ เอาแบบ..อืม…ไม่ใช่ชุดสำหรับใส่ในงานใหญ่นะ”
“ชุดลำลอง?” เย่ฉูฉู่ถาม
“ใช่ ชุดลำลอง เธอลองทำดูแล้วกัน แค่ดูดีก็พอ เธอไม่ต้องสนใจว่าจะใส่ออกไปได้ไหม แฟชั่นมีไว้แค่ดูทั้งนั้นแหละ ไม่ได้เอาไว้ใส่” โจวหมิ่นพูดเน้น
เย่ฉูฉู่กล่าว “ได้ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะรีบออกแบบออกมาให้เร็วที่สุดนะคะ”
หลังจากคุยธุระเสร็จ พี่สะใภ้และน้องสามีก็เริ่มคุยไปถึงเรื่องอื่น พูดยืดยาวแบบไม่มีจุดสิ้นสุดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะวางสายไป
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ใจหายเหมือนกันนะถ้าไป๋หยางโตแล้วต้องออกไปเรียนไกลถึงเมืองหลวง ฉูฉู่เลี้ยงเองมาตั้งแต่เล็ก
ชุดแต่งงานที่ฉูฉู่ออกแบบจะมีลักษณะเป็นยังไงน้า
ไหหม่า(海馬)