เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] - ตอนที่ 338 เตรียมซื้อขายข้าวสาร
- Home
- เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零]
- ตอนที่ 338 เตรียมซื้อขายข้าวสาร
ตอนที่ 338 เตรียมซื้อขายข้าวสาร
ตอนที่ 338 เตรียมซื้อขายข้าวสาร
จู่ ๆ จ้าวเหวินเทาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ “จริงสิ ภรรยา ภาพยนตร์กระต่ายของพวกเราได้เงินส่วนแบ่งมาแล้วนะ!”
ภาพยนตร์กระต่ายที่จ้าวเหวินเทาพูดถึง ก็คือภาพยนตร์ที่คณะละครในอำเภอแสดงไว้เมื่อปีที่แล้ว เป็นเพราะต้องการประชาสัมพันธ์กระต่ายจึงเพิ่มรายการเข้าไป รายการนั้นโด่งดังมาก จึงถูกสร้างเป็นภาพยนตร์และเผยแพร่ออกไปภายใต้ข้อเสนอของเขา ถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาเกือบปีแล้ว แต่ก็เงียบกริบไม่มีข่าวคราวมาโดยตลอด จนเย่ฉูฉู่เองก็ลืมเรื่องนี้ไปแล้ว
“ได้ส่วนแบ่งมาเท่าไรเหรอคะ?” เย่ฉูฉู่ถามด้วยความฉงน
“4,037.62 หยวน” จ้าวเหวินเทาตอบ “สมุดบัญชีอยู่ในกระเป๋า ผมเอาเงินไปฝากที่ธนาคารเรียบร้อยแล้ว”
เย่ฉูฉู่หยิบกระเป๋ามาและเปิดดูสมุดบัญชี ด้านบนนั้นเขียนจำนวนตัวเลขที่ฝากในวันนี้ ซึ่งเป็นจำนวนเงิน 4,037.62 หยวนพอดี ด้านในยังมีตั๋วที่ออกโดยคณะละครประจำอำเภอ ด้านบนนั้นมีลานเซ็นของจ้าวเหวินเทาด้วย
“คุณเก็บเศษเงินด้วยเหรอเนี่ย” เย่ฉูฉู่กล่าวเคล้ารอยยิ้ม
“ฉินหมิงบอกว่ารอปีหน้า ถ้าขายดีก็จะแบ่งเงินให้อีก แล้วผมก็เอาจริงด้วย ผมอยากเห็นเหมือนกันว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะทำเงินรวมกันได้เท่าไหร่ ถ้าได้เงินเยอะ พวกเราค่อยเขียนเพิ่มอีกเรื่องหนึ่ง! ผมคิดไว้แล้วว่าจะทำเรื่องเกี่ยวกับวิธีกินกระต่าย!” จ้าวเหวินเทากล่าว
เย่ฉูฉู่เก็บสมุดบัญชี พูดว่า “ภาพยนตร์เรื่องนี้คือขายดีหรือขายไม่ดีคะ?”
เธอเองก็ไม่ค่อยเข้าใจการตลาดนี้ น่าเสียดายที่จ้าวเหวินเทาก็ไม่ค่อยเข้าใจเช่นกัน
“ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมถามพวกฉินหมิงแล้ว พวกเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน หัวหน้าคณะบอกว่าไม่เลวเลย งั้นก็แสดงว่าไม่เลวนั่นแหละ” จ้าวเหวินเทาตอบ “ผมไม่ได้หวังเงินส่วนแบ่งหรอก นี่ลากมาจะหนึ่งปีแล้ว ทุกครั้งที่ไปก็บอกว่าใกล้แล้ว ๆ ตลอด จนผมคิดว่าคงชวดแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะได้ส่วนแบ่งด้วย”
“ฉันลืมไปแล้วค่ะ” เย่ฉูฉู่พูดจบก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “คุณไปเรียกเก็บเงินมา ราบรื่นดีใช่ไหมคะ?”
ตอนนี้จ้าวเหวินเทาพัฒนาด้วยการคิดบัญชีแบบสองสามเดือนครั้งหรือไม่ก็ปีละครั้งแล้ว ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่จ่ายเงินแล้วจะส่งของ สาเหตุก็เป็นเพราะสินค้าบางอย่างขายแบบค้าส่ง อีกฝ่ายไม่ได้มีเงินทุนมากขนาดนั้น จ้าวเหวินเทาเห็นคนอื่นทำแบบนี้ ก็เลยทำด้วย นี่ก็ใกล้จะสิ้นปีแล้ว วันนี้จึงนำสมุดบัญชีไปเรียกเก็บเงิน ถึงเวลานั้นจะได้นำไปฝากทันที
“ก็ใช้ได้แหละ” จ้าวเหวินเทากล่าว “ส่วนใหญ่ก็จ่ายมาหมดแล้ว มีจำนวนน้อยที่บอกว่ารอผ่านช่วงปีใหม่ไปสักสามสี่วันแล้วจะจ่ายให้ พวกเขายังรอหาเงินในช่วงสองสามวันนั้นอยู่”
เย่ฉูฉู่กล่าว “แล้วถ้าไม่ยอมจ่ายล่ะ?”
จ้าวเหวินเทาตอบ “ไม่เป็นไร ผมก็ไม่ได้จัดหาให้กับทุกคน ถ้าเครดิตดีก็โอเค แต่ถ้าเครดิตไม่ดีก็ขอผ่าน”
“ตอนที่ยืมเงินเป็นหลาน แต่ตอนที่รอคืนเงินเป็นคุณปู่แล้ว” เย่ฉูฉู่กล่าว “คนจำนวนมากต่างก็เป็นแบบนี้”
จ้าวเหวินเทาประหลาดใจ “ภรรยา คุณรู้ได้ไงเนี่ย?”
เย่ฉูฉู่กลอกตาใส่เขาปราดหนึ่ง “คุณคิดว่าฉันอยู่บ้านก็เลยไม่รู้อะไรสักอย่างเลยงั้นสินะคะ?”
จ้าวเหวินเทามองดูหนังสือและหนังสือพิมพ์ที่กองอยู่บนตู้ รีบพูดว่า “ภรรยานับวันยิ่งเป็นคนมีความรู้มากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนะ!”
เรื่องนี้จ้าวเหวินเทาคิดผิดจริง ๆ สิ่งที่เย่ฉูฉู่รู้ไม่ได้มาจากหนังสือและหนังสือพิมพ์เหล่านี้ ถึงอย่างไรตอนนี้คนหนีหนี้ก็มีไม่ได้มากมายขนาดนั้น และไม่ได้ขึ้นหน้าหนังสือพิมพ์ด้วย หากแต่นี่เป็นสิ่งที่เธอเคยพบเห็นมากมายในยุคนั้น
ทั้งคู่พูดคุยกันครู่หนึ่ง เย่ฉูฉู่ก็นำอาหารมาจัดโต๊ะ มีบะหมี่น้ำ ผักกาดขาวดองเปรี้ยวหวานและหัวไชเท้าเส้น
ปีนี้เย่ฉูฉู่ไม่ได้ทำผักกาดขาวดองเค็มแล้ว โจวหมิ่นบอกว่ากินแต่ของดองไม่ดีกับร่างกาย หล่อนคิดว่าฤดูหนาวให้ตุนผักกาดขาวและหัวไชเท้าไว้ ถึงเวลานั้นถ้าอยากกินผักดองเค็มก็ค่อยเอามาคลุก ไม่จำเป็นต้องดองทิ้งไว้นาน ๆ อีกอย่างผักกาดเขียวก้อนที่เอามาดอง ถึงเวลานั้นหั่นออกมากินสักหน่อยก็ได้แล้ว
เสี่ยวไป๋หยางเห็นโต๊ะอาหารก็รีบยื่นมือออกมาทำท่าจะกิน เย่ฉูฉู่จึงยกไข่ตุ๋นมาให้เขา จ้าวเหวินเทาก็ใช้ช้อนป้อนให้เขาทีละนิด
“อีกสองวันผมจะไปดูข้าวแล้ว” จ้าวเหวินเทากล่าว “ที่ผานจิ่นมีข้าวใหม่ออกสู่ตลาดแล้ว”
“คุณไปคนเดียวเหรอคะ?” เย่ฉูฉู่ไม่ค่อยวางใจ
“เปล่า พวกเราไปกันหลายคนเลย” จ้าวเหวินเทาตอบ “ถึงเวลานั้นค่อยหาคนในหมู่บ้านไปด้วยสักสามสี่คน ออกไปเปิดหูเปิดตาสักหน่อย หลังจากนี้จะไปยังไงก็ขึ้นอยู่กับพวกเขาแล้ว ผมก็จะได้มีเพื่อนด้วย ระหว่างทางก็ช่วย ๆ กันดู”
เย่ฉูฉู่จึงเบาใจลง เธอไม่เคยเห็นหน้าคนค้าขายด้านนอกเหล่านั้นที่สามีรู้จักแม้แต่คนเดียว จึงไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นคนอย่างไร เดินทางออกไปข้างนอกไกลขนาดนั้น ข้างกายไม่มีคนรู้จักไม่ได้หรอก พาคนในหมู่บ้านไปด้วยถึงจะดีขึ้นหน่อย
“คุณจะไปตอนไหนคะ ได้บอกคุณพ่อกับคุณแม่หรือยัง?” เย่ฉูฉู่ถาม
“ยังเลย ผมว่าจะเตรียมตัวสักหน่อย สองสามวันนี้แหละ” จ้าวเหวินเทาตอบ
“แล้วจะเดินทางไปยังไง นั่งรถไฟไปเหรอ?” เย่ฉูฉู่ถามรายละเอียด
จ้าวเหวินเทา “เปล่า พวกเราปรึกษากันแล้ว ว่าจะเหมารถบรรทุกสองคัน จะได้ขนข้าวฟ่างจากที่นี่ไปขายที่นู่นด้วย ถึงเวลานั้นก็ขนข้าวสารกลับมา แบบนี้ก็ไม่ต้องวิ่งรถเปล่าแล้ว”
การค้าขายก็เป็นแบบนี้ ไม่สามารถวิ่งรถเปล่าได้ ไปก็ต้องขนของไป ขากลับก็ต้องขนของกลับมา ไม่จำเป็นต้องขายในพื้นที่ ระหว่างทางถ้ารู้สึกว่าราคาเหมาะสมก็สามารถขายทั้งหมดได้ บางครั้งได้กำไรก็กลับแล้ว นี่เป็นวิธีการซื้อขายของพ่อค้าในเวลานี้ และเพื่อความปลอดภัยด้วย
เย่ฉูฉู่เคยเห็นรถบรรทุกแล้ว รถคันใหญ่ขนาดนั้น สามารถบรรทุกของได้หลายพันชั่งเลย
“ต้องซื้อขายด้วยเงินสดสินะ?” เดินทางไกลขนาดนี้ไม่มีทางที่จะมีคนให้ค้างจ่าย
“ใช่ ซื้อขายเงินสด ถ้าสมราคาก็จะใช้ข้าวฟ่างแลกกับข้าวสาร” จ้าวเหวินเทาทำความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดข้าวสารและข้าวฟ่างนานแล้ว กี่ชั่งแลกกับกี่ชั่งถึงจะได้กำไร ก็ถือว่าเข้าใจเป็นอย่างดี
“แล้วจะเอาเงินไปเท่าไรคะ?” เย่ฉูฉู่ถาม “ธัญพืชตั้งหลายพันชั่ง ไม่ใช่น้อย ๆ เลยนะ พกติดตัวไว้จะปลอดภัยเหรอ?”
“ผมไม่พกเงินสด แต่จะเอาสมุดบัญชีไป ถึงเวลานั้นค่อยไปเบิกที่ธนาคาร” จ้าวเหวินเทาตอบ “ตอนที่เบิกเงินอาจต้องจ่ายค่าธรรมเนียมนิดหน่อย”
“จ่ายนิดหน่อยก็จ่ายไปเถอะค่ะ ความปลอดภัยสำคัญที่สุด” เย่ฉูฉู่ไม่รู้ว่าด้านนอกเป็นอย่างไร แต่ก็เคยได้ยินคนในหมู่บ้านพูดว่าไม่ได้สงบร่มเย็นขนาดนั้น
ระหว่างที่ทั้งคู่พูดคุยกันก็กินอาหารเสร็จพอดี คิดไม่ถึงเลยว่าเลขาจะเดินทางมาหาในเวลานี้
“อ้าว กินข้าวกันอยู่เหรอ!” เลขาเดินยกมือไหล่หลังเข้ามาขณะเห็นถ้วยและจานวางอยู่บนโต๊ะ
จ้าวเหวินเทากล่าวด้วยรอยยิ้ม “เลขามาแล้ว รีบขึ้นมาบนเตียงเตาเถอะ กินข้าวหรือยังครับ ถ้ายังก็กินสักหน่อยนะ”
ปากของเสี่ยวไป๋หยางเต็มไปด้วยไข่ตุ๋น ทั้งยังยิ้มให้เลขาด้วยความตื่นเต้น
เด็กคนนี้ขอแค่มีคนมาก็ยิ้มไม่หยุดแล้ว
เลขาลูบหัวเสี่ยวไป๋หยางด้วยความเอ็นดู “เด็กคนนี้เลี้ยงได้ดีจริง ๆ! ฉันกินมาแล้ว พวกนายกินเถอะ”
“พวกเราก็กินเสร็จแล้วค่ะ” เย่ฉูฉู่เก็บโต๊ะ หลังจากต้มน้ำชาไว้กาหนึ่ง ก็อุ้มเสี่ยวไป๋หยางออกไปล้างหน้าล้างตา
พอให้จ้าวเหวินเทาป้อนอาหารให้ลูก ก็ทำลูกหน้าตามอมแมมไปหมด
จ้าวเหวินเทารินน้ำชาให้เลขาหนึ่งแก้ว กล่าวว่า “เลขา มาหาผมดึกดื่นขนาดนี้คงมีธุระสินะครับ มีเรื่องอะไรให้คนมาเรียกให้ผมไปก็ได้ อากาศหนาวแล้ว จะปล่อยให้คุณเดินมาไกลขนาดนี้ได้ยังไง!”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะจ้าวเหวินเทาออกไปวิ่งค้าขายหรือไม่ ไม่ว่าจะช่วงเวลาไหน พูดเรื่องอะไร ก็ขอประจบประแจงไว้ก่อน
เลขารู้อยู่แล้วว่าเป็นการประจบประแจง แต่ในใจของเขาก็รู้สึกสบายใจมาก “ฉันไม่ได้อายุ 70-80 สักหน่อย เดินแค่นี้จะเดินไม่ไหวได้ยังไง? ตอนนี้อากาศหนาว นี่เพิ่งจะเท่าไรเอง ยังไม่ถึงช่วงสูจิ่ว [1] เลย”
“เลขา ดื่มชาก่อน” จ้าวเหวินเทาวางน้ำชาตรงหน้าเลขาอย่างให้เกียรติ
เลขาดื่มไปหนึ่งคำ “อืม น้ำชาของนายอร่อยนะ”
………………………………………………………………………………….
[1] สูจิ่ว (数九) หรือ “นับเก้า” เป็นกิจกรรมที่ชาวจีนโบราณนิยมทำกัน โดยเฉพาะชาวจีนทางเหนือ คือการนำภาพวาดหรือตัวอักษรมาเติมแต้มหรือเขียนทีละขีด อาจเป็นภาพดอกเหมยจำนวนเก้าดอก ดอกละเก้ากลีบหรือตัวอักษรเก้าตัว โดยแต่ละตัวประกอบไปด้วยเก้าขีด 9×9 = 81 จะตรงกับจำนวนวันในช่วงที่ถือว่าเริ่มหนาวไปจนถึงหายหนาวพอดี รวมทั้งสิ้น 81 วัน โดยใช้หนึ่งแต้มหรือหนึ่งขีดแทนหนึ่งวัน เมื่อครบ 81 วันภาพดังกล่าวก็จะถูกแต้มสีหรือเขียนเป็นคำครบพอดี กิจกรรมนี้เป็นการใช้เวลาว่างในยามที่อากาศหนาวเหน็บเพื่อเป็นการเตือนให้รักษาสุขภาพตนเองให้แข็งแรง รอวันที่อากาศหนาวคลาย ความอบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิย่างกรายเข้ามาแทนที่
สารจากผู้แปล
พี่เทาจะเอาข้าวฟ่างไปแลกข้าวสารแล้ว ขอให้เดินทางปลอดภัยค้าขายได้กำไรนะคะ
ไหหม่า(海馬)