เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] - ตอนที่ 342 คิดแต่สิ่งดี ๆ
- Home
- เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零]
- ตอนที่ 342 คิดแต่สิ่งดี ๆ
ตอนที่ 342 คิดแต่สิ่งดี ๆ
ตอนที่ 342 คิดแต่สิ่งดี ๆ
คนประเภทนี้อย่าว่าแต่น้องหกเลย ต่อให้เป็นคนนอก การเชิญให้มากินข้าวที่บ้านก็เป็นเรื่องที่สมควร
อีกอย่างก็คือ พี่สะใภ้รองจ้าวอยากได้ยินจ้าวเหวินเทาพูดจากปากตัวเองเกี่ยวกับเรื่องค้าขายข้าวสาร หากไปกินข้าวที่บ้านจ้าวเหวินเทา ก็มีแค่พี่รองจ้าวที่ไปเพียงคนเดียว หล่อนจะตามไปด้วยก็คงไม่ดี และคงได้ฟังแค่สิ่งที่พี่รองจ้าวนำกลับมาเล่าต่อ แต่พี่รองจ้าวเป็นคนงุ่มง่ามแบบนั้น เชื่อไม่ได้แม้แต่นิดเดียว!
พี่สามจ้าวมาหาพี่สี่จ้าวแล้ว ก็ได้ยินสะใภ้สี่กำลังบ่นถึงเรื่องที่ว่าคนอื่นร่ำรวยกันหมด เหลือแต่บ้านพวกเขาที่ยังเป็นคนจนอยู่ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ลูกชายก็คงไม่มีแล้ว! พี่สามจ้าวรู้สึกได้ว่าคนคนนี้คงใกล้เป็นบ้าเต็มทีแล้ว
“เจ้าสี่!” เขาตะโกนเรียก
พี่สี่จ้าวกำลังล้างถั่ว เมื่อเห็นพี่สามจ้าวจึงเงยหน้าพูด “พี่สามมาแล้วเหรอ ไม่ต้องห่วง ถั่วนี้ล้างสามรอบแน่นอน!”
พี่สะใภ้สี่จ้าวรีบออกมาจากด้านในห้อง “พี่สามมาแล้วเหรอคะ พี่ดูถั่วสิ ฉันล้างจนสะอาดแล้ว!”
พี่สามจ้าวไม่ไว้ใจกับคำพูดของสะใภ้สี่จ้าวจริง ๆ จึงเดินเข้าไปดูในห้อง ก่อนจะออกมานั่งตรงหน้าพี่สี่จ้าว “ฉันมีเรื่องอยากคุยกับนายหน่อย”
“เรื่องอะไร?” พี่สี่จ้าวทำงานไปพลางพูดคุยไปพลาง
พี่สะใภ้สี่จ้าวก็เดินเข้ามาฟังด้วยความสงสัยเช่นกัน
พี่สามจ้าวจึงพูดเรื่องที่จะซื้อขายข้าวสารไปหนึ่งรอบ “คืนนี้พี่สะใภ้รองบอกแล้วว่าให้ไปรวมกันที่บ้านนั้น พวกเราสี่พี่น้องจะได้ดื่มแล้วก็คุยไปด้วยเลย”
พี่สี่จ้าวไม่ได้ตื่นเต้นอะไร แต่พี่สะใภ้สี่จ้าวกลับรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา “น้องหกจะไปซื้อขายข้าวสารเหรอเนี่ย! นี่เป็นเรื่องที่ดีมากเลยนะคะ! สุดท้ายแล้วก็เป็นพี่น้องกัน ไม่ต้องห่วงนะพี่สาม ถึงเวลาพวกเราไปกันหมดแน่นอน!”
พี่สามจ้าวถึงกับมุมปากกระตุก ไปกันหมด ครอบครัวนี้มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ตั้งกี่คน พี่สะใภ้รองจะยอมเหรอ?
ดีนะที่ไม่ได้ไปกินข้าวบ้านเขา
“ได้ ถึงเวลานั้นพวกเธอไปก็แล้วกันนะ ฉันขอตัวก่อน ยังต้องไปบอกเจ้าหกอีก” พี่สามจ้าวลุกขึ้นทำท่าจะกลับ
“พี่สาม ไม่นั่งก่อนเหรอ” พี่สะใภ้สี่จ้าวรั้งไว้ด้วยความกระตือรือร้น
“ไม่ล่ะ พวกเธอทำงานต่อเถอะ” พี่สามจ้าวโบกมือกล่าว
พี่สี่จ้าวพูดถึงประเด็นสำคัญขึ้นมาหนึ่งประโยค “พี่สาม พี่ยังไม่บอกเลยนะว่าต้องเตรียมเงินทุนสำหรับซื้อขายข้าวสารเท่าไร?”
พี่สามจ้าวยังไม่ได้พูดเรื่องเงินทุน พี่สะใภ้สี่ก็รีบพูดว่า “คุณพูดอะไรของคุณ! เงินทุนอะไรกัน มีน้องหกอยู่ พวกเรายังต้องออกเงินทุนอีกเหรอ?”
พี่สามจ้าวเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา จริง ๆ เลย…เฮ้อ!
“เจ้าหกบอกว่าจะรวมเงินกันหนึ่งหมื่นหยวน ถึงเวลานั้นก็จะแบ่งกำไรให้ตามจำนวนเงินทุนว่าใครออกมากออกน้อย” พี่สามจ้าวตอบ
พี่สะใภ้สี่จ้าวถึงกับประหลาดใจ “อะไรนะ ยังต้องออกเงินด้วยเหรอ?”
พี่สามจ้าวแอบไม่มีความสุขเท่าไรนัก “ไม่ออกเงินจะทำค้าขายได้ที่ไหนกันล่ะ!”
“แต่น้องหกมีเงินนี่ สำรองจ่ายให้สักหน่อยก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่เหรอ?” พี่สะใภ้สี่จ้าวพูดอย่างมีเหตุผล “ถึงเวลานั้นพอได้กำไรมาก็คืนให้น้องหกก็ได้แล้ว”
พี่สามจ้าวถึงกับหมดคำพูด “น้องสะใภ้สี่คิดไว้สวยหรูจริง ๆ ใช้เงินตัวเองไปซื้อขาย หลังจากได้กำไรมาก็ยังต้องแบ่งให้เธออีก ถ้าเป็นเธอ เธอจะยอมเหรอ?”
“ถึงเวลานั้นทำงานให้เยอะขึ้นสักหน่อยก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ?” พี่สะใภ้สี่จ้าวโต้แย้ง
“ทำงานให้เยอะขึ้นหน่อย ต้นปีแบบนี้มีเหรอจะขาดแรงงาน? พวกเธอปรึกษากันเองก็แล้วกัน ฉันไปก่อนล่ะ” พี่สามจ้าวขี้เกียจจะต่อความยาวสาวความยืดแล้ว จึงขอตัวกลับไป
พี่สะใภ้สี่จ้าวส่งเสียงชิ “จริง ๆ เลย คิดว่าจะเป็นเรื่องดี ๆ ผลลัพธ์ที่ได้กลับคิดจะเอาเงิน!”
พี่สี่จ้าวมองหล่อนปราดหนึ่ง “ไม่ไปก็ไม่ต้องเอาเงินไปแล้วไม่ใช่เหรอ”
พี่สะใภ้สี่จ้าวกลอกตาใส่เขา “ทำไมจะไม่ไป เรื่องดี ๆ แบบนี้ไม่ไปก็โง่แล้ว! เรื่องนี้พี่สามไม่ได้เป็นตัวตั้งตัวตีสักหน่อย ต้องดูน้องหกนู้น คืนนี้พวกเราไปที่บ้านพี่สะใภ้สอง ไปฟังดูว่าน้องหกจะพูดยังไง! คุณทำตัวให้มั่นคงไว้นะ ถ้าบอกจะเอาเงินก็บอกไปว่าไม่มี ให้บอกว่าตัวเองทำงานได้ก็พอ”
พี่สี่จ้าวไม่ได้พูดอะไร พี่สะใภ้สี่จ้าวจึงถามด้วยความไม่พอใจอีกครั้ง
“ถึงเวลานั้นคุณบอกว่าไปก็คือไป คุณบอกไม่ไปก็คือไม่ไป พอใจหรือยัง?” พี่สี่จ้าวพูดอย่างไม่สบอารมณ์
พี่สะใภ้สี่จ้าวรีบครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ และไม่ได้บ่นอีกต่อไป
พี่สามจ้าวไปบอกจ้าวเหวินเทาแล้วว่าคืนนี้ให้ไปรวมตัวกันที่บ้านพี่สะใภ้สอง จ้าวเหวินเทาไม่ได้อยู่บ้าน เขาจึงฝากเย่ฉูฉู่ไว้ ระหว่างนั้นก็บอกถึงเจตนารมณ์ของสะใภ้สี่ไปด้วย บอกให้เย่ฉูฉู่ไปบอกจ้าวเหวินเทาสักหน่อย จะได้มีแผนในใจ
“ถึงเวลานั้นก็อย่าทำลายมิตรภาพระหว่างกันล่ะ” พี่สามจ้าวกล่าว
“ไม่หรอกค่ะ พี่สามไม่ต้องห่วง เหวินเทารู้ดีว่าต้องทำยังไง” เย่ฉูฉู่กล่าว
พี่สามจ้าวกลับไปแล้ว เย่ฉูฉู่ก็ได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น รู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ ตอนนี้แค่เริ่มก็คิดจะเอาเปรียบกันแล้ว
ตอนค่ำเมื่อจ้าวเหวินเทากลับมา เย่ฉูฉู่ก็นำคำพูดของพี่สามจ้าวมาบอกเขา “ถ้าพี่สะใภ้สี่ยืนกรานไม่ออกเงินจะทำยังไง?”
“ไม่ออกเงินก็ไม่ต้องไปสิ” จ้าวเหวินเทาพูดอย่างสบาย ๆ “ภรรยา คุณไม่ต้องห่วงหรอก ผมมีวิธีจัดการกับหล่อนอยู่แล้ว!”
“คุณต้องระวังคำพูดด้วยนะ อย่าใส่อารมณ์ล่ะ”
“รู้แล้ว”
ระหว่างที่คุยกันอยู่ พี่สามจ้าวก็มาหา เขามาที่นี่เพื่อเรียกจ้าวเหวินเทาไปกินข้าว และถือโอกาสนำปลากลับไปด้วย
จ้าวเหวินเทาหยิบปลาตัวใหญ่ให้พี่สามจ้าวหนึ่งตัว
พี่สามจ้าวยิ้มจนหุบยิ้มไม่ได้แล้ว “ปลาตัวใหญ่ขนาดนี้ กินสองมื้อก็ยังไม่หมด”
จ้าวเหวินเทาพูดด้วยรอยยิ้ม “นี่ไม่ใช่ปลาเป็น ให้ทำอาหารค่ำนี้นี่แหละ อย่าเก็บไว้เลย ถึงตอนนี้อากาศจะเย็นแล้ว แต่วางค้างคืนไว้คืนหนึ่งก็ไม่สดแล้ว”
พี่สามจ้าวพยักหน้า ก่อนจะนำปลากลับไปให้พี่สะใภ้สามจ้าวให้หล่อนทำคู่กับเต้าหู้สองก้อนกินกับพวกเด็ก ๆ
ที่บ้านของพี่สะใภ้รองจ้าวครึกครื้นอย่างมาก พี่สะใภ้รองจ้าวและต้าหยายกกับข้าวที่ดีที่สุดออกมาแปดอย่าง มีแบบเย็นสี่อย่างและแบบร้อนสี่อย่าง ซึ่งเป็นอาหารพื้น ๆ ทั้งหมด มีไข่คน ผักกาดขาวผัดเปรี้ยวหวาน เนื้อแดงรมควันตุ๋นกับถั่วแขกเส้นเล็ก ๆ มันฝรั่งผัดพริกแห้ง ยำหัวไชเท้าหั่นฝอย ผักกาดขาวดองเค็ม ถั่วลิสง และยำแตงกวาทุบที่นาน ๆ ทีถึงจะทำ อาหารจานหลักก็คือบะหมี่แป้งขาวทำมือ ต้มซุปให้ร้อน ม้วนบะหมี่ออกมาแล้ว วางตั้งทิ้งไว้ จนกระทั่งจะกินค่อยนำเส้นลงไปในหม้อ ไม่เช่นนั้นเส้นจะเกาะเป็นก้อนทำให้ไม่อร่อย
พี่สี่จ้าวมาถึงนานแล้ว พี่สะใภ้สี่จ้าวย่อมพาลูก ๆ ทั้งสามคนมาด้วย พวกหล่อนนั่งคุยกับพี่สะใภ้รองจ้าวอยู่ด้านนอก ส่วนพี่สี่จ้าวและพี่รองจ้าวกำลังนั่งคุยกันอยู่ในบ้าน
ซานหยาและซื่อหยาช่วยต้าหยาทำงาน ส่วนเถี่ยต้านและหลูต้านไปให้อาหารกระต่ายแล้ว
“ทำไมน้องหกกับพี่สามยังไม่มาอีกเนี่ย?” พี่สะใภ้สี่จ้าวรอจนแอบร้อนใจแล้ว
“ไม่เป็นไรหรอก วันนี้มีไฟฟ้า ค่ำหน่อยก็ไม่เป็นไร” พี่รองจ้าวเริ่มจัดอาหารลงบนโต๊ะ
พี่สะใภ้สี่จ้าวหันไปพูดพล่ามกับลูกสาวทั้งสองของเธอ “ไม่เห็นป้ารองของเธอยกอาหารรึไง ยังไม่ไปช่วยอีก!”
สองหยาจึงรีบไปช่วย ต้าหยาเห็นแล้วก็รู้สึกไม่พอใจอย่างมาก
พี่สะใภ้รองจ้าวกล่าว “เธอทำอะไรเนี่ย ทำให้พวกเด็ก ๆ ตกใจทำไม ซานหยาซื่อหยา ไปล้างผักกาดขาวกับพี่สาวพวกเธอเถอะ อีกเดี๋ยวจะได้เอามาจิ้มกับน้ำพริก ไม่ต้องมาช่วยป้าหรอก”
พี่สะใภ้สี่จ้าวกล่าว “ไม่เป็นไร ยัยเด็กสองคนนี้ทำได้ทุกอย่างนั่นแหละ อาหารในบ้านสองคนนี้ก็เป็นคนทำ!”
พี่สะใภ้รองจ้าวมองดูเด็กน้อยทั้งสองที่ดูผอมแห้ง เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็มอมแมม จึงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “อย่าหาว่าฉันบ่นเธอเลยนะ ซานหยากับซื่อหยาก็โตแล้ว เธอเองก็ควรจัดระเบียบให้ลูกได้แล้ว ไปโรงเรียนก็ควรทำให้ลูก ๆ ดูดีสักหน่อยสิ”
พี่สะใภ้สี่จ้าวแค่นเสียงออกจากลำคอ “ลูกสาวเหม็นโฉ่ ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็กลายเป็นคนของบ้านอื่นอยู่ดี มีอะไรต้องจัดระเบียบ! ฉันไม่อยากให้สองคนนี้ไปเรียนด้วยซ้ำ!”
“นี่ อายุแค่นี้ไม่เรียนหนังสือแล้วจะให้ไปทำอะไร!” พี่สะใภ้รองจ้าวกล่าว
“ก็กลับมาทำงานไง ไม่งั้นก็เท่ากับกินฟรีน่ะสิ!”
ซานหยาและซื่อหยายืนก้มหน้าฟังโดยไม่พูดอะไร ต้าหยาพูดว่า “อาสะใภ้สี่ คุณครูบอกว่า ต้องเรียนหนังสือนะคะ ไม่เรียนหนังสือไม่ได้!”
“คุณครูนี่ดูแลกว้างขวางดีจริงเนอะ!” พี่สะใภ้สี่จ้าวพูดอย่างไม่แยแส
ระหว่างที่พูด จ้าวเหวินเทาและพี่สามจ้าวก็เดินเข้ามาด้านในลานบ้านพร้อมกัน
“คุยอะไรกันอยู่เหรอ คึกคักเชียว?” พี่สามจ้าวกล่าว
………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
นั่นบ้านสะใภ้รองนะสะใภ้สี่ ทำเหมือนเป็นบ้านตัวเองเลย
มีแม่อย่างสะใภ้สี่นับว่าโชคร้ายอยู่นะคะ ได้อยู่แบบตามมีตามเกิด ไม่ได้เรียนหนังสือด้วยล่ะมั้งเนี่ย
ไหหม่า(海馬)