เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] - ตอนที่ 371 เรื่องระหว่างคนบ้านเดียวกัน
- Home
- เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零]
- ตอนที่ 371 เรื่องระหว่างคนบ้านเดียวกัน
ตอนที่ 371 เรื่องระหว่างคนบ้านเดียวกัน
ตอนที่ 371 เรื่องระหว่างคนบ้านเดียวกัน
เสี่ยวหม่ายิ้มด้วยรอยยิ้มขมขื่น “พี่สี่ เสื้อผ้าที่ใส่ถ่ายรูปนั่น ชุดหนึ่งแพงจะตายไป ผมมีปัญญาใส่ที่ไหนกันล่ะ ต่อให้มีปัญญาใส่ ก็ซื้อบ่อย ๆ ไม่ได้หรอก!”
พี่สี่จ้าวพยักหน้า “ฉันก็คิดไว้อยู่แล้ว ตอนที่ฉันเดินอยู่บนถนนใหญ่ก็ไม่เห็นมีใครสวมใส่เสื้อผ้าแบบนั้นเลย”
“ก็มีนะ แต่พวกเขาไม่เดินในสถานที่ที่พวกเรามองเห็นหรอก” เสี่ยวหม่าดูเหมือนจะเข้าใจเป็นอย่างดี
“เสี่ยวหม่า นายไม่ได้ใส่กางเกงบุฝ้ายใช่ไหม? แบบนี้จะดีเหรอ?” พี่สี่จ้าวถามด้วยความเป็นห่วง “ถ้าหนาวจนขาแข็งขึ้นมา แก่ตัวไปจะลำบากนะ”
“สถานที่ที่ผมพักอยู่ใกล้กับสถานที่ทำงาน มีเครื่องทำความร้อนอยู่เลยไม่หนาว อีกอย่างผมก็ไม่ได้ออกมาบ่อย ๆ ด้วย” เสี่ยวหม่าเริ่มบ่นถึงความลำบาก “ต่อให้ผมอยากออกมาก็ออกมาไม่ได้อยู่ดี ยุ่งจะตายอยู่แล้ว พี่ได้ยินพี่โจวพูดเรื่องงานแฟชั่นวีคแล้วใช่ไหม?”
“พี่โจว?” พี่สี่จ้าวนึกไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง
“ก็พี่ใหญ่โจวหมิ่นไง” เสี่ยวหม่ากระซิบ
พี่สี่จ้าวจึงส่งเสียง ‘อ๋อ’ พร้อมกับพยักหน้าหงึก ๆ “รู้จัก ๆ”
“ก่อนเทศกาลฤดูใบไม้ผลิจะจัดงานแฟชั่นวีคด้วย ตอนนี้ผมต้องฝึกเดินแคทวอล์ค แถมยังต้องถ่ายรูปอีก ไหนจะเรียนกับท่องหนังสืออีกสารพัดสารเพ พี่สี่ พี่คงไม่รู้ว่าตอนนี้ผมต้องตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างทุกวันเลย กว่าจะได้นอนก็ห้าทุ่มเที่ยงคืนนู่นแหละ เหนื่อยชะมัด!” เสี่ยวหม่าถอนหายใจ ยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม “ที่สำคัญคือไม่ให้กินอิ่มท้องด้วย”
“หา!” พี่สี่จ้าวพูดด้วยความประหลาดใจ “ไม่ให้กินอิ่มท้อง? ทำไมล่ะ?”
เสี่ยวหม่าชี้รูปร่างตัวเอง “กลัวอ้วนน่ะสิ ทุกวันนี้ผมไม่สามารถกินตามใจปากตัวเองได้เลย จะกินจะดื่มอะไร หรือจะกินตอนไหนก็มีคนมาจัดตารางให้โดยเฉพาะ”
พี่สี่จ้าวตกตะลึงอย่างมาก เขาได้ยินแม่ม่ายหม่าบอกว่าเสี่ยวหม่าต้องรักษาหุ่น ถ้าอ้วนจะถ่ายรูปไม่ได้ ตอนนั้นเขาก็ไม่ได้คิดอะไร คนที่อยู่ในหมู่บ้านก็ไม่ได้คิดอะไรเช่นกัน คิดว่าแม่ม่ายหม่าคงพูดโอ้อวดไปงั้น ๆ ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรจึงพูดไปแบบนั้น คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเรื่องจริง!
“แล้ว…ในแต่ละวันนายกินอะไรล่ะ?” พี่สี่จ้าวมองรูปร่างของเสี่ยวหม่า ไม่รู้ว่าเป็นเพราะจิตใจของเขาหรือไม่ เขาถึงได้รู้สึกว่าอีกฝ่ายดูผอมกว่าก่อนหน้านี้จริง ๆ
“ตอนเช้ากินไข่ไก่กับข้าวต้ม ถ้ามีเวลาก็น้ำเต้าหู้กับแป้งจี่ข้าวโพด ตอนเช้าก็ทำให้ผมอิ่มได้แล้ว ส่วนตอนบ่ายกินเนื้อสัตว์ ผักและผลไม้ก็ทำให้อิ่มได้เหมือนกัน แต่ห้ามกินจนแน่น ส่วนตอนค่ำมีของให้กินน้อยมาก บะหมี่น้ำใสแบบซุปจืด ๆ หรือไม่ก็โจ๊กผัก บางครั้งก็ไข่ไก่” เสี่ยวหม่าส่ายหน้า “กินน้ำมัน เกลือ เผ็ดหรือหวานมาก ๆ ไม่ได้ พี่โจวบอกว่า ไม่เพียงแต่ต้องรักษาหุ่น แต่ต้องรักษาผิวพรรณด้วย ไม่ว่าจะแต่งหน้าหรือไม่ได้แต่งหน้าก็ต้องดูดีไว้ก่อน จริงสิ ต้องออกกำลังกายทุกเช้าด้วยนะ ส่วนตอนค่ำต้องไปฝึกเดินแคทวอล์ค เวลาไหนทำอะไรก็มีกฎเกณฑ์ระบุไว้”
เมื่อครู่เขาไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ตอนนี้พี่สี่จ้าวรู้สึกแล้วว่าการพูดการจาของเสี่ยวหม่าแตกต่างจากเมื่อก่อน ส่วนจะต่างตรงไหนนั้นเขาเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนเดิมแน่นอน คล้ายกับที่เย่หมิงเป่ยและโจวหมิ่นพูดไว้ บางอย่างเขาอาจจะฟังไม่เข้าใจ แต่สิ่งที่เขาพอจะฟังออกก็คือเสี่ยวหม่ากำลังบ่น
“ถ้านายไม่อยากทำก็กลับบ้านสิ” พี่สี่จ้าวครุ่นคิดก่อนจะตอบกลับไป
“กลับบ้าน?” เสี่ยวหม่าส่ายหน้า “ผมกลับไปไม่ได้แล้ว”
“ทำไมล่ะ? เป็นเพราะ…มีคนไม่ให้นายกลับไปเหรอ?” พี่สี่จ้าวถามอย่างระมัดระวัง
เสี่ยวหม่ายิ้มด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ใครไม่ให้ผมกลับกันล่ะ พี่สี่ พี่คงไม่รู้ มีคนจำนวนมากที่อยากทำงานเป็นนายแบบแต่ก็ทำไม่ได้นะ! คนที่อยากจะลัดคิวเข้ามาก็ยังเข้ามาไม่ได้เลย ผมโชคดีได้เข้ามาอยู่ในนี้แล้ว ผมจะไม่ทำได้เหรอ? ไม่ได้หรอก! อีกอย่าง กลับไปก็ไม่สามารถปล่อยวางจิตวิญญาณของผมได้อยู่ดี”
“หมายความว่ายังไง?” พี่สี่จ้าวได้ยินก็ถึงกับมึนงง
“นี่เป็นสิ่งที่พี่โจวบอก พี่โจวบอกว่าอยู่ในเมืองหลวงไม่สามารถปล่อยร่างกายได้ กลับชนบทก็ไม่สามารถปล่อยวางจิตวิญญาณได้เช่นกัน” เสี่ยวหม่าอธิบาย
“หมายความว่ายังไง?” พี่สี่จ้าวยังไม่เข้าใจ
“หมายความว่า…ถ้าผมกลับไปตอนนี้ก็คงไม่คุ้นชินกับชีวิตในชนบทแล้ว พี่สี่ รอให้พี่อยู่ที่นี่สักสองสามเดือนพี่ก็จะเข้าใจเอง พี่ก็คงไม่อยากกลับไปเหมือนกันนั่นแหละ” เสี่ยวหม่าตอบ
พี่สี่จ้าวนึกถึงบ้านหลังเล็กเบียดเสียดที่เย่หมิงเป่ยอาศัยอยู่แล้วถึงกับส่ายหน้า เขาอยากอยู่บ้านหลังใหญ่ในชนบทมากกว่า แต่เมื่อเห็นของที่ตนเองถักออกมาก็พยักหน้าอีกครั้ง เพราะของเหล่านี้ไม่สามารถขายแลกเป็นเงินได้หากอยู่ในชนบท
“พี่ดูสิ ตอนนี้พี่ก็ไม่อยากกลับไปแล้วใช่ไหมล่ะ” เสี่ยวหม่ายิ้ม
“ตอนนี้ที่ฉันยังไม่อยากกลับไปเพราะฉันอยากหาเงินให้ได้สักหน่อย” พี่สี่จ้าวพูดเยาะเย้ยตัวเอง “เงินของฉันหายหมดเกลี้ยงเลย เงินที่ได้มาตอนแยกบ้านก็หายไปด้วย ฉันจะมีหน้ากลับไปได้ยังไงล่ะ!”
“พี่สี่ ผมได้ยินเรื่องที่พี่ทำเงินหายแล้ว พี่ทำหายได้ไงเนี่ย?” เสี่ยวหม่าเริ่มเกิดความสนใจ
“ฉันก็ยังไม่รู้เลยว่าหายได้ไง ไม่รู้ด้วยว่าหายไปตอนไหน ตอนที่ฉันล้วงกระเป๋าหาเงินก็หายไปแล้ว” พี่สี่จ้าวนึกถึงก็รู้สึกเสียใจอย่างมาก “ถ้าตอนนั้นฉันเย็บไว้ด้านในกางเกงก็คงจะดี แต่กลับใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ เพราะคิดว่ากระเป๋าอยู่ด้านในเสื้อก็คงไม่เป็นอะไร ผลลัพธ์ที่ได้กลับถูกล้วงไปหมดเลย!”
เสี่ยวหม่ายิ้ม “พี่สี่ พี่นี่จริง ๆ เลยนะ เงินนั่นใส่ได้แค่ด้านในกางเกงเท่านั้นแหละ! ตอนที่ผมมาที่นี่ ผมเหลือเศษเงินไม่กี่เหมาไว้ข้างนอก แต่แค่นั้นก็ทำให้ผมเป็นกังวลแล้ว จากบ้านมาถึงเมืองหลวง รถเบียดเสียดเป็นพิเศษเลย ต่อให้มีคนขโมยเงินไปก็ไม่รู้สึกตัวหรอก”
“ก็นั่นน่ะสิ เบียดจริง ๆ นั่นแหละ ฉันยังไม่เคยเห็นคนเยอะขนาดนั้นมาก่อนเลย! ตอนที่ฉันขึ้นรถมีคนผลักฉันขึ้นมา ฉันเห็นว่ามีคนที่พาลูกมาด้วยกัน ไหนจะข้าวของอีก โอ๊ย โคตรทรมาน อย่าไปพูดถึงเลย” ครั้นพี่สี่จ้าวย้อนนึกถึงตอนที่ขึ้นรถไฟเขาก็ยังรู้สึกกลัวไม่หาย “พอมาถึงถนนหนทางที่นี่ก็ค่อยยังชั่วหน่อย ฉันคิดว่าเงินคงถูกล้วงตอนที่ยืนเบียดกับคนอื่นบนรถไฟนั่นแหละ”
“ใช่ คนที่ขโมยเงินก็จะขโมยจากตอนนั้นนั่นแหละ” เสี่ยวหม่าพูดพลางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “พี่สี่ พี่โจวหางานอะไรให้พี่ทำเหรอ?”
พี่สี่จ้าวชี้ไปที่วัสดุในการถักร้อยแต่ละชนิดที่วางอยู่บนโต๊ะและบนพื้น “นี่แหละงานของฉัน”
เสี่ยวหม่ากวาดตามอง “งานถักเชือกเหรอ? แล้วพี่ได้เงินเท่าไรล่ะ?”
“ไม่ได้บอก บอกให้ฉันถักไปก่อน” พี่สี่จ้าวพูดพลางถอนหายใจ “ของพวกนี้ตอนที่อยู่ในชนบทก็ขายได้ไม่กี่เฟินเอง ถักตะกร้าหนึ่งใบได้แค่ไม่เท่าไรเอง อย่าพูดถึงของเล็ก ๆ แบบนี้เลย นี่ฉันยังไม่รู้เลยว่าจะหาเงินที่ทำหายไปกลับคืนมาได้เมื่อไร เสี่ยวหม่า ตอนนี้นายคงได้เงินเยอะมากเลยสินะ?”
เสี่ยวหม่าที่กำลังเหม่อลอยขณะนั่งฟัง เมื่อได้ยินพี่สี่จ้าวถามโพล่งขึ้นมา จึงรีบตอบว่า “ของผมก็ไม่เยอะเหมือนกัน พี่โจวบอกว่าจ่ายเงินให้อาจารย์จ้าวไปไม่น้อยเลย เลยให้เงินเดือนผมเยอะ ๆ ไม่ได้ พี่โจวบอกให้ผมทำแบบนี้ไปก่อน รอให้มีชื่อเสียงเมื่อไรค่อยว่ากัน”
“ชื่อเสียง?” พี่สี่จ้าวถึงกับมึนงงอีกครั้ง
“เป็นนายแบบจำเป็นต้องมีชื่อเสียง พอมีชื่อเสียงก็จะทำให้ได้เงินมากขึ้น แต่ถ้าไม่มีชื่อเสียงก็คงได้เงินไม่เยอะ” เสี่ยวหม่าถอนหายใจ “อีกอย่างนะ งานสายนี้เป็นอาชีพที่ต้องพึ่งความเป็นหนุ่มสาวเพื่อทำงานหาเงิน ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้จะไปทำอะไร”
“อาชีพที่ต้องพึ่งความเป็นหนุ่มสาวเพื่อทำงานหาเงินคืออะไร?” พี่สี่จ้าวให้อีกฝ่ายช่วยสอนอีกครั้ง
เสี่ยวหม่ายิ้ม “ก็หมายความว่ามีแค่คนหนุ่มสาวเท่านั้นที่จะทำได้ พออายุมากขึ้นก็ทำงานนี้ไม่ได้แล้ว”
“มีแบบนี้ด้วยเหรอ?” พี่สี่จ้าวตกตะลึง
“ใช่…พี่สี่ ในเมืองกับชนบทของพวกเราไม่เหมือนกันเลย ไม่มีอะไรเหมือนสักอย่าง หลังจากนี้เดี๋ยวพี่ก็จะเข้าใจเอง” เสี่ยวหม่าพูด
พี่สี่จ้าวเข้าใจแล้ว “งานนี้เป็นงานที่มีแค่คนหนุ่มสาวที่สามารถทำได้ อันที่จริงชนบทก็เหมือนกันนะ พอแก่ตัวไปก็ทำงานกันไม่ไหวแล้ว”
“พี่สาวผมเป็นยังไงบ้าง?” เสี่ยวหม่าถามถึงแม่ม่ายหม่า
คำพูดประโยคนี้ทำให้พี่สี่จ้าวรู้สึกได้ว่าเสี่ยวหม่าเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรมากกว่าเมื่อก่อนแล้ว ทั้งยังรู้จักถามถึงคนในครอบครัวด้วย
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
มาอยู่ในเมืองก็ได้อย่างเสียอย่างล่ะนะ แต่ถ้ามีโอกาสได้มาหาเงินในเมืองก็หาให้เต็มที่เถอะ
ไหหม่า(海馬)