เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] - ตอนที่ 373 ความชอบของคนรวย
- Home
- เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零]
- ตอนที่ 373 ความชอบของคนรวย
ตอนที่ 373 ความชอบของคนรวย
ตอนที่ 373 ความชอบของคนรวย
“นี่เป็นผลการทดลองในช่วงแรก รอให้ผลตอบรับออกมาฉันจะมาเซ็นสัญญาเพื่อร่วมงานกับพี่นะ แน่นอนว่าในช่วงแรกไม่ว่าจะได้เงินหรือไม่ได้ พี่ก็จะได้เงินเดือนด้วย ส่วนจำนวนเท่าไรพวกเราสามารถคุยราคากันได้” โจวหมิ่นกล่าว
เย่หมิงเป่ยมองพี่สี่จ้าว
พี่สี่จ้าวแอบรู้สึกเกรงใจ “ฉันทั้งกินทั้งอยู่ที่นี่ รบกวนพวกเธอก็ไม่น้อย ให้เท่าไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ อย่าลืมหักค่ากินค่าอยู่ของฉันด้วยนะ”
หากเป็นเมื่อก่อน พี่สี่จ้าวคงไม่พูดแบบนี้ออกมา แต่หลังจากที่เขาเดินทางไปขนข้าวสารกับจ้าวเหวินเทา และมีความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ข้างนอกมาอย่างลึกซึ้งแล้ว การที่เงินหายครั้งนี้ยิ่งทำให้เขาเข้าใจถึงชีวิตในเมืองมากยิ่งขึ้น หาเงินยากแต่จ่ายเงินง่าย เย่หมิงเป่ยและโจวหมิ่นยอมช่วยเขาขายของก็ทำให้เขาซึ้งใจมากแล้ว อยากจะให้เขาเท่าไรก็ได้ทั้งนั้น ขอแค่ได้เงินที่ทำหายไปกลับคืนมาก็พอ
ส่วนเรื่องหลังจากนี้ พี่สี่จ้าวก็ไม่ได้คิดอะไรยุ่งยาก ถึงเวลานั้นเมื่อได้เงินที่ทำหายกลับมา เขาก็จะเย็บไว้ด้านในกางเกงและเดินทางไปทางใต้ต่อ!
เย่หมิงเป่ยและโจวหมิ่นไม่รู้ว่าเขาคิดแบบนี้ หากรู้คงหมดคำพูดแน่ ๆ อันที่จริงที่พี่สี่จ้าวคิดง่าย ๆ แบบนี้ก็เป็นเพราะไม่อยากติดหนี้บุญคุณใครเกินความพอดี ถึงอย่างไรเย่หมิงเป่ยก็ไม่ใช่พี่ภรรยาของเขา เมื่อคิดว่าต้องเป็นหนี้บุญคุณเขาจึงเกิดอาการกระสับกระส่ายขึ้นมา
“พี่สี่ไม่ต้องคิดมากหรอกค่ะ แม้ว่าพวกเราจะเป็นญาติกัน แต่การค้าขายก็คือการค้าขาย ต้องคำนวณยังไงก็คำนวณตามนั้น” โจวหมิ่นแย้มยิ้ม
พี่สี่จ้าวพยักหน้า “ฉันเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้ เอาตามที่พวกเธอตัดสินใจนั่นแหละ”
โจวหมิ่นไม่ได้พูดถึงเงินเดือนของพี่สี่จ้าวว่าจะให้เท่าไรในทันที แต่กลับพูดถึงความต้องการของของที่จะให้เขาทำงานหัตถกรรม รวมถึงการโปรโมทหลังจากนี้ พี่สี่จ้าวคิดไม่ถึงว่าเขาต้องถ่ายรูปและอัดวิดีโอด้วย สิ่งนี้ทำให้เขาแอบทำตัวไม่ถูก
“ฉัน…ฉันทำไม่ได้หรอก”
พี่สี่จ้าวไม่รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าวิดีโอ แต่รู้จักการถ่ายรูป เขาไม่อยากเป็นเหมือนเสี่ยวหม่า ที่ต้องเผยหน้าตาลงบนนิตยสาร เขาไม่ได้หน้าตาดีเหมือนเสี่ยวหม่า อีกอย่างต้องใส่เสื้อผ้าแบบนั้นถ่ายลงบนนิตยสารมันน่าอายจะตายไป
“พี่สี่ พี่กับเสี่ยวหม่าไม่เหมือนกัน พี่แค่นั่งถักอยู่ตรงนั้นก็พอแล้วค่ะ” โจวหมิ่นพูดโน้มน้าวใจ
พี่สี่จ้าวยังไม่ยอม เย่หมิงเป่ยจึงพูดว่า “งั้นก็อย่าถ่ายเลย พี่สี่ไม่ใช่นายแบบสักหน่อย ไม่ต้องถ่ายหรอก”
“ใช่ ๆ ฉันเป็นคนทำงาน จะถ่ายทำไมล่ะ!” พี่สี่จ้าวรีบพูด
โจวหมิ่นหันมองเย่หมิงเป่ย จึงพยักหน้าเห็นด้วย
“ก็ได้ พี่สี่ งั้นพี่ถักต่อเถอะ ถ้าเหนื่อยก็พักสักหน่อย พวกเราไปทำธุระต่อแล้ว”
“ได้เลย พวกเธอไปเถอะ”
โจวหมิ่นและเย่หมิงเป่ยเดินออกมาเพื่อไปที่ห้องทำงาน เย่หมิงเป่ยพูด “พี่สี่ไม่คุ้นชินกับการถ่ายรูป ถ้าคุณอยากได้ พวกเราก็แอบถ่ายได้นะ ถ่ายเสร็จค่อยให้เขาดู ถ้าเขายินยอมพวกเราค่อยเอาไปใช้”
โจวหมิ่นยิ้ม “ฉันเองก็คิดแบบนี้เหมือนกันค่ะ สิ่งที่ฉันต้องการคือความเป็นธรรมชาติ ถ้าพี่สี่ไม่ให้ความร่วมมือ ถ่ายออกมาคงแข็งทื่อสุด ๆ แถมดูไม่ดีด้วย”
“หมินหมิ่น คุณแน่ใจจริง ๆ เหรอว่าของเหล่านั้นที่พี่สี่ถักออกมาจะขายได้เงินเยอะขนาดนั้น?” เย่หมิงเป่ยไม่ค่อยมั่นใจ
ก่อนหน้านี้ก็เคยขายเครื่องประดับมาก่อน เป็นฝีมือการออกแบบของเย่ฉูฉู่ แต่ทั้งหมดนั้นผลิตออกมาโดยโรงงานที่มีความเป็นมืออาชีพเฉพาะทาง ฝีมือจึงประณีต สีสันสวยงาม งานฝีมือที่เขาทำก็ต้องหยาบกว่าอยู่แล้ว
โจวหมิ่นตอบ “ก็ต้องดูว่าจะขายให้ใคร ถ้าเป็นคนธรรมดา ของที่ผลิตจากเครื่องจักรจนมีความประณีตต้องได้รับความนิยมอยู่แล้ว แต่คนที่สามารถจ่ายเงินในราคาหลักร้อยได้ไม่ได้เหมือนกับคนพวกนั้น ก่อนหน้านี้ฉันเคยบอกคุณไปแล้วนี่คะว่าคนมีเงินไม่ได้จะซื้อของ แต่ซื้อรสนิยม ความน่าสนใจ กระแส แฟชั่นและความเป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร ตอนนี้ฉันสามารถบอกคุณเพิ่มได้อีกหนึ่งอย่างก็คือ คนมีเงินจะซื้อของต้นฉบับ”
“ต้นฉบับ?” เย่หมิงเป่ยไม่เข้าใจ “ทำไมล่ะ?”
เขาย่อมรู้ดีว่าต้นฉบับที่โจวหมิ่นพูดถึงหมายความว่าอย่างไร ก็คือของที่เป็นงานฝีมือ เพียงแต่ที่เขาไม่เข้าใจก็คือเขามองไม่ออกว่าของต้นฉบับมีดีอย่างไร
“ของที่ยิ่งหายากก็ยิ่งแพงไง” โจวหมิ่นยิ้ม “คนเราก็เป็นแบบนี้แหละ ของทั้งหมดบนโลกใบนี้ก็เป็นงานที่ทำด้วยฝีมือทั้งนั้นแหละ ถ้าของที่ทำออกมาจากเครื่องจักรมีแค่ชิ้นเดียว ราคาก็แพงเหมือนกัน ตอนนี้งานทุกอย่างแทบจะใช้เครื่องจักรผลิตหมดแล้ว งานฝีมือก็น้อยลงเรื่อย ๆ หลังจากนี้ก็จะน้อยกว่านี้อีก ดังนั้นของที่เป็นงานฝีมือก็จะมีราคาสูง”
แม้ว่าตอนนี้จะไม่สามารถนำไปเทียบกับยี่สิบปีต่อจากนี้ได้ แต่งานฝีมือก็สู้งานเครื่องจักรไม่ได้จริง ๆ และฝีมือของมนุษย์ก็เริ่มถดถอยลงอย่างเห็นได้ชัด แม้จะไม่ได้มีราคาแพงอย่างที่หล่อนพูดไว้ทั้งหมด แต่ก็ต้องดูด้วยว่าของชิ้นนั้นจะนำไปขายให้ใคร
“พวกเราจะขายให้กับคนรวย” โจวหมิ่นพูดอย่างภาคภูมิใจ
เป็นอีกครั้งที่เย่หมิงเป่ยรู้สึกว่าการเป็นคนรวยไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เงินที่อยู่ในกระเป๋าของพวกเขามักจะถูกภรรยาของเขาสนใจอยู่เสมอ
“จริงสิ คุณคิดว่าให้เงินพี่สี่เท่าไรดีคะถึงจะเหมาะสม หลังจากนี้ถ้าขายจำนวนมาก จะแบ่งให้พี่สี่ยังไง?” โจวหมิ่นพูดถึงประเด็นที่มีความละเอียดอ่อนอย่างมาก
เย่หมิงเป่ยก็แอบรู้สึกลำบากใจเช่นกัน “เรื่องนี้…พี่สี่เองก็ลำบากเหมือนกันนะ แถมยังเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของเหวินเทาด้วย คุณให้พี่เขาเยอะสักหน่อยได้ไหม?”
“เยอะที่ว่าคือเท่าไรล่ะ?” โจวหมิ่นมองเขา
“ยี่สิบ?” เย่หมิงเป่ยถามหยั่งเชิง
“ยี่สิบ? ต่อหนึ่งเดือน?” โจวหมิ่นถาม
“อื้อ ใช่”
“เยอะเกินไปแล้ว” โจวหมิ่นตอบ “คุณอย่าลืมว่ายังมีค่ากินค่าอยู่ด้วยนะ สิบหยวนก็แล้วกัน แค่นี้ก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว”
เย่หมิงเป่ยอ้าปากค้าง พูดด้วยความลังเล “จ้าวเหวินเทาฝั่งนั้นล่ะ?”
“ถ้าคุณไม่กล้าพูดเดี๋ยวฉันพูดเอง” โจวหมิ่นตอบ “หมิงเป่ย พวกเราทำธุรกิจนะคะ ก็ต้องคิดในฐานะของคนทำธุรกิจ ช่วยเหลือญาติพี่น้องได้ แต่ห้ามทำให้ตัวเองเสียเปรียบ”
โจวหมิ่นคิดว่าที่ช่วยหางานให้พี่สี่ก็เป็นเพราะเขาเป็นญาติ เมื่อเห็นความสามารถของพี่สี่จึงเต็มใจที่จะร่วมมือกันเพื่อหาเงิน นี่คือการทำงาน สถานการณ์ที่แตกต่างกัน ย่อมต้องปฏิบัติต่อกันแตกต่างจากปกติ
หล่อนไม่ชอบความคลุมเครือระหว่างญาติพี่น้อง เพราะท้ายที่สุดก็คงมีปัญหาต่อกันในช่วงท้าย ซึ่งหล่อนเชื่อว่าจ้าวเหวินเทาก็คงคิดแบบนี้
เย่หมิงเป่ยไม่เหมือนกับพวกหล่อน เขารู้สึกว่าการเอาเงินมาจากญาติเป็นเรื่องไม่เหมาะสม คุยเรื่องเงินกับญาติก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี เพราะพี่สี่จ้าวและเสี่ยวหม่าแตกต่างกัน ที่สำคัญคือเขาเห็นแก่หน้าจ้าวเหวินเทา
“เดี๋ยวฉันไปคุยเอง” เย่หมิงเป่ยตอบ
“อย่าทำท่าทางลำบากใจขนาดนี้สิคะ” โจวหมิ่นมองเขา
“ไม่ได้ลำบากใจหรอก” เย่หมิงเป่ยตอบ “ผมเข้าใจความหมายของคุณนะ นี่เป็นเรื่องธุรกิจ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจ”
“ไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจสิคะ เกี่ยวอะไรกับพวกเราล่ะ?” โจวหมิ่นคิดแบบเปิดกว้าง
ญาติพี่น้องก็เป็นแบบนี้ บางครั้งก็ขยับเข้าใกล้กันได้ แต่บางครั้งอยู่ห่างกันสักหน่อยก็ดี ไม่มีใครบังคับใคร อีกอย่างออกห่างจากกันก็ไม่ได้ทำให้ใครตาย
เย่หมิงเป่ยครุ่นคิดและตัดสินใจโทรหาเย่ฉูฉู่น้องสาวของเขาก่อน เพื่อเล่าถึงเงินเดือนของพี่สี่
เย่ฉูฉู่ได้ฟังก็เข้าใจความหมายของพี่ชายทันที เงินเดือนของพี่สี่จ้าวคงเป็นการตัดสินใจของพี่สะใภ้ พี่ชายคงเป็นกังวลว่าจ้าวเหวินเทาจะรู้สึกว่าน้อยเกินไป เขาจึงโทรมาบอกให้ทราบล่วงหน้า
“พี่สาม พวกพี่ยังไม่ได้บอกพี่สี่ใช่ไหมคะ?” เย่ฉูฉู่ถาม
“ยังไม่ได้บอก พี่กับพี่สะใภ้สามเธอคุยกันเสร็จ ก็โทรมาหาเธอเลย เพราะอยากบอกเรื่องนี้กับเธอและเหวินเทาก่อน”
เย่ฉูฉู่กล่าว “ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันไปบอกเขาให้เอง พี่สาม ของที่พี่สี่ถักออกมาขายได้จริง ๆ เหรอ?”
เย่ฉูฉู่แอบเกิดความสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้
“พี่สะใภ้สามของเธอบอกว่าขายได้” เย่หมิงเป่ยแย้มยิ้ม “เธอเองก็รู้ดีว่าการขายของของพี่สะใภ้สามเธอไม่เหมือนกับคนทั่วไป”
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
บางทีการร่วมงานกับคนที่เป็นญาติสนิทมิตรสหายนี่ก็ลำบากใจเหมือนกันนะคะ คิดหนักกว่าร่วมงานกับคนอื่นที่ไม่รู้จักเสียอีก เป็นต้นว่าจะแบ่งผลประโยชน์ยังไงให้ลงตัวและยังรักษาความสัมพันธ์ต่อไปได้
ไหหม่า(海馬)