เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] - ตอนที่ 388 ทำไมไม่หาภรรยาสักคน
- Home
- เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零]
- ตอนที่ 388 ทำไมไม่หาภรรยาสักคน
ตอนที่ 388 ทำไมไม่หาภรรยาสักคน
ตอนที่ 388 ทำไมไม่หาภรรยาสักคน
“เป็นอะไรไปคะ?” โจวหมิ่นเห็นเย่หมิงเป่ยดูเหมือนไม่ค่อยเต็มใจเท่าไรนัก จึงพูดไปว่า “คุณไม่อยากไปเหรอ? ไม่อยากไปแล้วจะตกปากรับคำไปทำไม”
เย่หมิงเป่ยแอบลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “เปล่าหรอก ตอนหลังผมดันไปได้ยินเสี่ยวหม่าพูดคำพูดพวกนั้นก็เลยไม่ค่อยสบายใจ”
“เสี่ยวหม่า?” โจวหมิ่นพูดด้วยความประหลาดใจ “เสี่ยวหม่าพูดอะไรคะ? อย่าบอกนะว่าเสี่ยวหม่าชอบคุณเฉิงเข้าแล้ว”
เย่หมิงเป่ยชะงัก ก่อนจะยิ้มออกมา เสี่ยวหม่าชอบคุณเฉิงคนนั้นเนี่ยนะ ความคิดนี้ของโจวหมิ่นก้าวกระโดดมากจริง ๆ
เมื่อพูดถึงเสี่ยวหม่า หล่อนจึงพูดต่อไปว่า “เสี่ยวหม่าอายุยี่สิบแล้วใช่ไหม?”
“หา…ใช่…ปีใหม่ก็ยี่สิบพอดี” เย่หมิงเป่ยตอบ
โจวหมิ่นเอ่ย “ในชนบทอายุเท่านี้ก็ถือว่าโตมากแล้วนะ เป็นช่วงอายุที่น่าจะหาภรรยาไม่ได้แล้วใช่ไหม?”
เย่หมิงเป่ยพยักหน้า เป็นเช่นนี้จริง ๆ เด็กในชนบทถ้าหากไม่เรียนหนังสืออายุ 16-17 ก็หมั้นหมายแล้ว พออายุ 18-19 ก็แต่งงาน อายุ 20 ก็มีลูกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ในยุคพิเศษที่อยากจะเรียนหนังสือแต่ก็ไม่มีที่ให้เรียน จะให้ทำอะไร ก็ต้องแต่งงานมีลูกอย่างไรล่ะ
“แต่ดูเสี่ยวหม่าไม่ได้รีบร้อนอะไรเลยนะ ฉันเองก็หานางแบบมาตั้งหลายคน แต่เขาก็ไม่เห็นจะสนใจเลย” โจวหมิ่นแอบไม่เข้าใจ “หรือว่าเขาไม่อยากมีความรัก ไม่อยากหาภรรยา? ฉันได้ยินคนในสตูดิโอพูดกันว่า นางแบบต่างก็เดากันว่าเสี่ยวหม่ามีภูมิหลังทางครอบครัวที่ดี ดังนั้นเขาก็เลยตั้งเงื่อนไขไว้สูงขนาดนี้ ตอนที่ฉันได้ยินถึงกับตกใจเลยนะ นึกว่าเสี่ยวหม่าไปคุยโวโอ้อวดเอง แต่หลังจากได้ถามถึงรู้ว่าที่แท้ก็เป็นการคาดเดาของนางแบบพวกนี้”
เย่หมิงเป่ยถึงกับขำกลิ้ง “คิดไปถึงไหนกันแล้วเนี่ย นางแบบพวกนี้ช่างกล้าคิดนะ!”
“แล้วเกิดอะไรขึ้นคะ? ทำไมเสี่ยวหม่าถึงไม่ชอบล่ะ ตอนแรกฉันเองก็เป็นกังวลอยู่เลย อายุมากขนาดนั้นแล้ว แถมยังเป็นนายแบบอีก ถ้าคบกับคนอื่นไปทั่ว คงได้วุ่นวายแน่!”
ก่อนหน้านี้โจวหมิ่นเป็นกังวลเรื่องนี้ จึงหาผู้ช่วยมาประกบเสี่ยวหม่า บอกไปว่าช่วยติวให้เสี่ยวหม่า แต่ก็แอบจับตามองเขาด้วย เพราะกลัวว่าเขาจะทำเรื่องที่ไม่สมควร ใครจะไปคิดว่าเสี่ยวหม่าไม่ได้สนใจใครเลย
“คุณเฉิงสวยมาก เขาจะชอบก็ไม่ใช่เรื่องแปลก” โจวหมิ่นกล่าว “แต่ คุณเฉิงคนนั้นแค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นคนตั้งมาตรฐานสูง หล่อนไม่มีทางชอบเขาหรอก”
เย่หมิงเป่ยกลับไม่ได้คิดมากมายขนาดนี้ ได้ยินโจวหมิ่นพูดแบบนี้ ก็รู้สึกได้ว่าเสี่ยวหม่าจะเป็นแบบนี้จริง ๆ แต่เขาเองก็ไม่เคยเอ่ยปากถาม จึงไม่รู้เรื่องนี้ ได้ยินโจวหมิ่นพูดแบบนี้ก็ถามด้วยความสงสัยว่า “คุณรู้ได้ยังไงว่าคุณเฉิงตั้งมาตรฐานไว้สูง?”
“ก็มองจากสายตาและการวางตัว ฉันเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน” โจวหมิ่นตอบ “ก็เป็นแค่ความรู้สึกน่ะ บางทีความรู้สึกของฉันอาจไม่ถูกก็ได้ ถ้าเสี่ยวหม่าสนใจจริง ๆ คุณก็บอกให้เขารีบคว้าไว้นะ”
“เปล่า” เย่หมิงเป่ยรีบตอบ “เสี่ยวหม่ากับคุณเฉิงไม่ได้สนิทกัน เมื่อคืนน่าจะเจอกันครั้งแรกมั้ง คิดว่าใช่นะ เขาจะไปชอบคุณเฉิงได้ไง”
“แล้วเสี่ยวหม่าพูดว่าอะไรล่ะ?” โจวหมิ่นกล่าวถึงอีกครั้ง
เมื่อครู่เย่หมิงเป่ยอยากพูด ทว่าตอนนี้ไม่อยากพูดแล้ว “ไม่มีอะไรหรอก แค่ดื่มไปนิดหน่อยก็เลยบ่นจู้จี้จุกจิกออกมาน่ะ”
โจวหมิ่นไม่ได้สนใจ “ใช่ว่าเขาไม่เคยบ่นจู้จี้จุกจิกสักหน่อย คุณจะไปสนใจเขาทำไม ปล่อยให้เขาบ่นไปสิ!”
เย่หมิงเป่ยแอบรู้สึกหงุดหงิด เสี่ยวหม่าจะไปเข้าใจอะไร พูดแค่ไม่กี่ประโยคก็คิดเป็นตุเป็นตะแล้ว นี่ไม่เท่ากับหาเหาใส่หัวเหรอ! เขาจึงผ่อนคลายในทันที และคุยเรื่องอื่นกับโจวหมิ่นต่อ
เสี่ยวหม่าในตอนนี้กำลังนั่งอยู่ตรงข้ามกับพี่สี่จ้าว ระหว่างที่นั่งแทะน่องไก่คำเล็ก ๆ ก็พูดไปพลางว่า “ครั้งนี้ดูเหมือนว่าการประชาสัมพันธ์จะประสบความสำเร็จมากเลยนะ ของของพี่สี่น่าจะขายได้เยอะเลย!”
พี่สี่จ้าวตอบ “มันจะเร็วขนาดนั้นได้ไงล่ะ ยังไงก็ต้องรอหลังปีใหม่นู่นแหละ”
“ไม่หรอก ก่อนปีใหม่ก็ได้รับข่าวแล้ว” เสี่ยวหม่าพูด “ถ้าพี่ไม่เชื่อ พี่ก็ฟังเสียงโทรศัพท์ช่วงนี้ดูสิ ถ้าโทรศัพท์ดังบ่อย ก็แปลว่าของของพี่ขายดีแน่นอน!”
“อาจเป็นเสื้อผ้าก็ได้นะ?” พี่สี่จ้าวได้ยินเรื่องนี้ก็แอบเกิดอาการกระสับกระส่าย “พอนายพูดฉันก็ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงแล้วเนี่ย ตอนที่อยู่บ้าน ฉันรู้สึกว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่ต้องตื่นตระหนกไม่ต้องรีบร้อน แต่พอมาอยู่ที่นี่สงบจิตสงบใจไม่ได้เลย อย่าว่าแต่ลืมตาเลย ขนาดหลับตานอนยังนอนไม่หลับ คล้ายกับมีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ทำ!”
“พี่สี่ ความรู้สึกแบบนี้ใคร ๆ ก็มีกันทั้งนั้นแหละ พี่โจวบอกว่าจังหวะชีวิตในเมืองรวดเร็วเกินไป”
“หา นายเองก็เป็นเหรอ?”
“เป็นสิ ตอนนี้ดีขึ้นหน่อยแล้ว แต่ก็ไม่เหมือนกับตอนที่อยู่บ้านอยู่ดี ตอนที่อยู่บ้านนอกจากคนในบ้านที่บ่นว่าผมไม่ยอมทำการทำงาน อันที่จริงผมก็ใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจสุด ๆ เลย แถมยังคิดอยากมาในเมืองเพื่อหาเงิน หาบ้านไว้อยู่สักหลัง ไม่ต้องฟังใครบ่น ดีจะตายไป ผลลัพธ์ที่ได้ผมก็ได้มาในเมืองจริง ๆ แถมยังเป็นเมืองใหญ่ด้วย คนที่บ่นมีเยอะยิ่งกว่าอีก จะกินหรือทำอะไรก็มีคนมาดูแลทั้งหมด” เสี่ยวหม่ายกน่องไก่ที่อยู่ในมือ “ก่อนหน้านี้ผมกินแค่คำเล็ก ๆ เพราะไม่มีให้กิน ตอนนี้มีปัญญาซื้อแต่ก็ต้องกินคำเล็ก ๆอยู่ดี เพราะทำใจไม่ได้”
“นายพอเถอะ คำพูดนี้นายพูดมารอบที่แปดร้อยหกสิบแล้ว” พี่สี่จ้าวพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ฉันฟังจนเอียนแล้ว นายพูดไม่รู้สึกเบื่อบ้างเลยเหรอ?”
“ไม่เลย พี่สี่ ผมจำได้ว่าก่อนหน้านี้ตอนที่พี่อยู่บ้านก็ไม่ค่อยชอบพูด แล้วทำไมพอมาอยู่ที่นี่ถึงชอบพูดขนาดนี้ล่ะ?” เสี่ยวหม่าหัวเราะหึๆ
แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาและพี่สี่จ้าวจะไปมาหาสู่กันไม่บ่อย แต่เป็นเพราะจ้าวเหวินเทา จึงทำให้เสี่ยวหม่าได้ยินเรื่องของพวกพี่ ๆ จ้าวเหวินเทาอยู่ไม่น้อย หนึ่งในนั้นคือพี่สี่จ้าวคนนี้ คนที่ไม่ค่อยพูดและเป็นคนซื่อที่สุด ทว่าตอนนี้เขากลับไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย
พี่สี่จ้าวตอบ “อยู่ที่บ้านมีอะไรให้พูดล่ะ ฉันเองก็ขี้เกียจจะพูดด้วย พี่สะใภ้ของนายคนนั้นพูดเป็นต่อยหอยได้ทั้งวัน ยังต้องให้ฉันพูดอีกเหรอ พอได้ออกมา ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พอไม่ได้พูดแล้วมันอึดอัด โดยเฉพาะกับนายนี่แหละที่พูดเยอะ กับพี่เย่ของนายก็ไม่ได้เป็นแบบนี้”
“นั่นก็เพราะพวกเราสนิทกันไง!” เสี่ยวหม่าหัวเราะหึๆ “แม้ว่าพี่เย่จะเป็นญาติกับพี่ แต่ตอนนี้เขาเป็นเถ้าแก่แล้ว จะไปพูดจาเหลวไหลได้ไงล่ะ จริงไหมพี่สี่?”
พี่สี่จ้าวครุ่นคิดก็รู้สึกได้ว่าจะเป็นแบบนี้จริง ๆ จึงด่าเคล้ารอยยิ้มไปว่า “ไอ้หนูคนนี้นี่มันฉลาดจริง ๆ!”
“มันก็แหงอยู่แล้ว ผมจะบอกอะไรให้นะ พี่สี่ ในเมืองใหญ่แบบนี้ทำให้คนฉลาดได้ แถมยังเร็วมากด้วย” เสี่ยวหม่ากล่าว
พี่สี่จ้าวพูด “นายฉลาดขนาดนี้ ทำไมยังไม่หาภรรยาสักคนล่ะ? นายเองก็อายุไม่ใช่น้อย ๆ แล้วนะ ถ้านายไม่เอาแต่กินกับขี้เกียจสันหลังยาว เด็กแบบนายก็น่าจะมีภรรยาไปแล้ว”
เสี่ยวหม่ารีบส่ายหน้า “ผมไม่หาหรอก! ตอนนี้สบายจะตาย อยู่ตัวคนเดียวได้กินอิ่มทั้งครอบครัวก็ไม่หิว ให้ไปหาภรรยา แถมยังมีลูกอีก ก็คล้ายกับสัตว์เลี้ยงบ้านเราที่ทำงานแบบนั้นแหละ!”
พี่สี่จ้าวเบิกตาโต “นายไม่หาภรรยา ชีวิตนี้ก็จะไม่หาแล้ว?”
“แบบนั้นไม่ได้หรอก จะไม่หาได้ไงล่ะ หลังจากนี้ค่อยหาก็ได้ พี่สี่ พี่เห็นคนในเมืองไหม มีใครบ้างที่แต่งงานกันเร็ว อายุสามสิบกว่าปีกันทั้งนั้นแหละ พวกเขาคิดแบบเปิดกว้างว่าแต่งงานเร็วมีลูกเร็วก็เหนื่อยเร็ว!”
“แต่ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็ต้องแต่งงานมีลูกอยู่ดีไม่ใช่เหรอ?” พี่สี่จ้าวกล่าว “ต่างกันตรงไหน?”
“ต่างสิพี่ ก็ได้ขี้เกียจเพิ่มอีกวันหนึ่งไง” เสี่ยวหม่าพูดอย่างพึงพอใจ “รอวันที่ผมขี้เกียจจนหนำใจเมื่อไรค่อยหา ถึงเวลานั้นผมก็คงมีเงินแล้ว ซื้อบ้านที่นี่สักหลังแล้วค่อยมีลูก สมบูรณ์แบบ!”
พี่สี่จ้าวหัวเราะพรืด “นายค่อยหาภรรยาตอนสามสิบ นายจะอธิบายกับพ่อแม่ยังไง? พวกเขาจะยอมเหรอ?”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
อย่าพูดเรื่องคุณเฉิงต่อหน้าภรรยาเลยค่ะ อันตราย
จะว่าไปแล้วเสี่ยวหม่าก็มีความคิดดีเหมือนกันนะ อยู่ในเมืองนานจนโดนหล่อหลอมมาเป็นแบบนี้ด้วยล่ะมั้ง
ไหหม่า(海馬)