เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] - ตอนที่ 394 ผ่านไปอีกหนึ่งปีแล้ว
- Home
- เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零]
- ตอนที่ 394 ผ่านไปอีกหนึ่งปีแล้ว
ตอนที่ 394 ผ่านไปอีกหนึ่งปีแล้ว
ตอนที่ 394 ผ่านไปอีกหนึ่งปีแล้ว
“แม่ ตอนพ่อไปสู่ขอแม่ พ่อให้ข้าวฟ่างแม่แค่สองกระสอบเองเหรอ?” ต้าหยาพูดแทรก
พี่สะใภ้รองจ้าวตอบ “ก็ใช่น่ะสิ พ่อของเธอมีพี่น้องเยอะ บ้านก็จน ข้าวฟ่างสองกระสอบนี้ยังไปยืมมาจากทีมผลิตด้วยนะ!”
พี่รองจ้าวแอบไม่เป็นตัวของตัวเอง “แต่ก็ไม่ได้ทำให้คุณหิวสักหน่อย ตอนนี้ลูก ๆ ของพวกเราก็โตกันขนาดนี้แล้ว”
“ไม่หิวเหรอ? ตอนฉันตั้งท้องต้าหยาได้กินผักเละ ๆ หิวจนฉันต้องไปจับหนูมากิน!”
คำพูดนี้ทำให้ลูกชายทั้งสองคนถึงกับตกใจ “แม่ แม่เคยกินหนูด้วยเหรอ!”
“แม่ต้องกินหนูถึงจะคลอดพี่สาวของเธอออกมาได้ อย่างน้อย ๆ ก็มีเนื้อให้กิน!” พี่สะใภ้รองจ้าวนึกถึงชีวิตที่ยากจนแร้นแค้นของตัวเองก็รู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก พูดกับพี่รองจ้าวว่า “หรือว่าคุณอยากให้ลูกของพวกเราใช้ชีวิตแบบนั้น?”
พี่รองจ้าวพูด “ใช้ชีวิตแบบนั้นอะไรกัน นั่นเป็นอดีตไปแล้ว ตอนนี้คุณยังกินเนื้อหนูอยู่รึไง? พอแล้ว เธออย่าหาเรื่องเลย รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องนึ่งอาหารแห้งอีกไม่ใช่เหรอ”
พี่สะใภ้รองจ้าวโมโหมาก สามีหล่อนคนนี้ไร้อนาคตจริง ๆ! ใช่ ตอนนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว ได้กินอิ่มแล้ว ไม่ต้องกินเนื้อหนูแล้ว แต่สิ่งที่สำคัญคือชีวิตของทุกคนดีขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขากลับทำได้แค่กินพออิ่ม จะให้เป็นแบบนี้ได้อย่างไรกัน?
หล่อนยังอยากพูดต่อ แต่พี่รองจ้าวกลับส่งเสียงกรนนอนหลับไปแล้ว
“พ่อหลับเร็วจัง!” ต้าหยาพูด
ความโกรธของพี่สะใภ้รองจ้าวหายไปแล้ว หล่อนรู้ดีว่าพี่รองจ้าวคงเหนื่อยมาก จึงถอนหายใจและพูดว่า “พ่อของเธอเหนื่อยแล้ว ให้เขานอนไปเถอะ พวกเธอก็รีบนอนกันได้แล้ว ตอนเช้าเล่นกันทั้งวันเพิ่งจะมาขยันทำการบ้านกันตอนค่ำ!”
พวกเด็ก ๆ รีบเก็บการบ้านและดินสอ เตรียมตัวเข้านอน
เถี่ยต้านพูดว่า “แม่ นี่ก็ใกล้จะข้ามปีแล้ว ทำไมพ่อถึงยังไปทำเต้าหู้ให้อาสามอยู่ล่ะ!”
“ก็เพราะช่วงข้ามปีเต้าหู้ถึงจะขายดี เต้าหู้ขายดีพ่อของเธอถึงจะหาเงินได้ จะได้เอามาเลี้ยงพวกเธอไง!” พี่สะใภ้รองจ้าวขึ้นเตียงมาปูผ้าปูที่นอนและผ้าห่ม
เถี่ยต้านพูด “โตขึ้นผมจะไม่เป็นแบบพ่อ ผมจะเรียนรู้จากอาเล็กของผม ตอนนี้อาเล็กไม่ต้องขับรถออกไปข้างนอกแล้ว ได้ทำของอร่อยกินอยู่ที่บ้านทุกวันเลย!”
พี่สะใภ้รองจ้าวรู้สึกขบขัน “เธอไม่เรียนรู้จากพ่อ แต่ไปเรียนรู้จากอาเล็ก เธอดวงดีเหมือนอาเล็กของเธอรึไง? ถ้าดวงไม่ดีเหมือนเขาก็ต้องเป็นเหมือนพ่อเธอนี่แหละ!”
“อาเล็กบอกผมว่าให้ตั้งใจเรียนหนังสือ สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ก็ไม่ต้องทำงานแล้ว!” เถี่ยต้านพูด
“ยังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีก เธอนี่คิดไว้ซะสวยหรูเชียวนะ!” พี่สะใภ้รองจ้าวขำพรืด
เด็กเข้าเรียนก็เพื่อให้รู้จักตัวหนังสือ ไม่ให้เป็นเหมือนคนตาบอดที่ไม่รู้อะไร อีกอย่างก็มีกฎระเบียบข้อบังคับว่าเด็กต้องไปเรียนหนังสือด้วย ส่วนสอบเข้ามหาวิทยาลัยอะไรนั่น พี่สะใภ้รองจ้าวไม่เคยเก็บมาใส่ใจ เรื่องนั้นอยู่ไกลเกินไป ไกลเสียจนไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเขา ที่สำคัญคือตอนนี้การสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ยังไม่เป็นที่นิยมด้วย
ปี 1977 มีการฟื้นฟูการสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีกครั้ง ตอนนี้เพิ่งจะผ่านไปได้ 5-6 ปี อย่าพูดถึงชนบทเลย แม้แต่ในเมืองก็ไม่ได้เห็นด้วยกับการเรียนหนังสือเท่าไรนัก อิทธิพลของยุคพิเศษไม่ได้กำจัดออกไปได้ง่ายดายขนาดนั้น ทุกคนต่างก็เป็นห่วงเรื่องปากท้องกันทั้งนั้น ในบ้านยังต้องกักตุนอาหารอย่างหนัก ใครจะไปคิดอยากสอบเข้ามหาวิทยาลัย แม้แต่จ้าวเหวินเทาที่มีความคิดแบบนี้สาเหตุก็เป็นเพราะโจวหมิ่น
“ถึงยังไงผมก็จะเชื่อฟังที่อาเล็กบอก อาเล็กบอกว่าสอบเข้ามหาวิทยาลัยเป็นเรื่องที่ดี งั้นผมก็จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ อาเล็กยังบอกอีกว่าให้ผมไปสอบที่ในเมืองหลวงด้วย!” เถี่ยต้านยืดอกพูด “รอให้ผมกลายเป็นคนในเมืองหลวงก่อนเถอะ ผมจะรับแม่กับพ่อไปอยู่ด้วยกัน ไม่ต้องทำงานอีกแล้ว แถมยังได้กินของอร่อย ๆ ทุกวันด้วย!”
พี่สะใภ้รองจ้าวหัวเราะออกมา รู้สึกพอใจอย่างมาก “ลูกชายของแม่กตัญญูจริง ๆ ก็ได้ แม่กับพ่อจะรอวันนั้นนะ!”
คำพูดของลูกชายทำให้ความโกรธที่มีต่อพี่รองจ้าวของหล่อนหายไปอย่างสมบูรณ์
หลังจากนั้นไม่กี่วันก็ใช้เวลาไปกับการนึ่งอาหารแห้ง ทำความสะอาดครั้งใหญ่ ซักเสื้อผ้า พี่สะใภ้รองจ้าวและลูก ๆ ทั้งสามทำงานยุ่งวันต่อวัน หากไม่ใช่วันข้ามปี ก็ต้องทำงานกันต่อไป มีแค่วันข้ามปีเท่านั้นกว่างานจะเสร็จ
ในที่สุดเสียงประทัดของการข้ามปีในปี 1983 ก็ดังขึ้นภายในหมู่บ้านบนภูเขาเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เสียงดังยาวนานกว่าปีก่อน ๆ อย่างเห็นได้ชัด นี่แสดงให้เห็นว่าการใช้ชีวิตดีขึ้นแล้ว จึงซื้อประทัดได้เยอะขึ้นด้วย
จ้าวเหวินเทาซื้อประทัดไว้ไม่มาก แต่ซื้อพลุไว้จำนวนไม่น้อย เป็นพลุที่มีเสียงไม่ดัง นั่นก็เป็นเพราะอยากให้ลูกชายของเขาได้ดู
“เสี่ยวไป๋หยาง ดูบนฟ้าสิลูก!” เย่ฉูฉู่อุ้มเสี่ยวไป๋หยางยืนอยู่ด้านหน้าประตูบ้าน เรียกให้เขาดูพลุ
สองแม่ลูกสวมใส่ชุดคล้ายกับก้อนสำลี เพราะช่วงข้ามปีเป็นช่วงเวลาที่อากาศหนาวที่สุด เสี่ยวไป๋หยางออกแรงยกแขนเล็ก ๆ ขึ้นมาชี้บนท้องฟ้า พูดว่า “พ่อ!”
“ถูกต้อง พ่อเป็นคนจุดพลุ สวยไหมลูก?”
เสี่ยวไป๋หยางคงยังไม่เข้าใจคำว่า ‘สวย’ จึงได้แต่ใช้ดวงตากลมโตจ้องมองด้วยความสงสัย มองดูพลุที่เบ่งบานอยู่บนท้องฟ้าและหายไป
เจ้าลูกลิงย่อมซ่อนตัวอีกครั้ง การจุดประทัดเป็นเรื่องที่มันกลัวมากที่สุด
จ้าวเหวินเทาจุดพลุไม่กี่นัดเสร็จก็กลับมาที่บ้าน “เรียบร้อยแล้ว วันนี้จุดแค่นี้ก่อน ส่วนที่เหลือเอาไว้จุดหลังจากนี้ เสี่ยวไป๋หยาง ชอบไหมลูก?”
เสี่ยวไป๋หยางเห็นจ้าวเหวินเทาถือแท่งพลุ จึงยื่นมือออกไปเพราะอยากได้ จ้าวเหวินเทาให้เขาและอุ้มเขาขึ้นมา “ไปเถอะ พวกเราไปกินเกี๊ยวกันนะ!”
เย่ฉูฉู่พูดเคล้ารอยยิ้ม “สวัสดีวันปีใหม่นะ!”
“สวัสดีวันปีใหม่นะภรรยา!” จ้าวเหวินเทาก้มหน้าหอมภรรยา
เย่ฉูฉู่มองลูกชายปราดหนึ่ง ก็พบว่าเสี่ยวไป๋หยางไม่ได้สนใจ แต่จดจ่ออยู่กับแท่งพลุที่อยู่ในมือ เธอจึงเบาใจลงและเดินเข้าไปต้มเกี๊ยว
เกี๊ยวที่แบ่งไว้ให้เสี่ยวไป๋หยางโดยเฉพาะยังคงไม่ใส่เกลืออีกตามเคย ส่วนที่เหลือของพวกเขาทั้งสองคนมีการห่อเหรียญไว้หกเหรียญ มีความหมายว่าราบรื่นในทุกสิ่ง
แน่นอนว่าเป็นเกี๊ยวผักไส้ผักดองผสมเต้าหู้ อาหารอีกจานหนึ่งเป็นเต้าหู้คลุกซีอิ๊วไม่ใส่ต้นหอม ส่วนอีกจานคือผลไม้รวมกระป๋อง รวมเข้ากับเกี๊ยวน้ำอีกสองถ้วย นี่คืออาหารค่ำของวันส่งท้ายปีเก่า
จ้าวเหวินเทาป้อนลูกไปพลางตักใส่ปากตัวเองไปพลาง พยักหน้าพูด “ภรรยา ไส้ที่คุณคลุกเคล้ามันอร่อยจริง ๆ!”
“อื้อ…ฉันกินโดนเหรียญแล้ว!” เย่ฉูฉู่ส่งเสียงด้วยความประหลาดใจ
กินเกี๊ยวคำแรกก็กัดโดนเงินแล้ว เย่ฉูฉู่จึงตื่นเต้นมาก คายเหรียญออกมาให้จ้าวเหวินเทาดู ทั้งยังเป็นเหรียญห้าเฟินด้วย
“ภรรยา คุณโชคดีเกินไปแล้วนะ!” จ้าวเหวินเทาพูดเคล้ารอยยิ้ม “โชคดีมากเลย!”
“แน่นอนอยู่แล้วค่ะ ฉันเป็นคนมีโชค!” เย่ฉูฉู่ดีใจมาก
เสี่ยวไป๋หยางเห็นเหรียญนั้น จึงยื่นมือออกไปจับ เย่ฉูฉู่รีบดึงเหรียญไปไว้ข้าง ๆ “อันนี้เล่นไม่ได้นะลูก”
“ลูกชาย มา พ่อก็จะกัดโดนเหรียญด้วยเหมือนกัน!” จ้าวเหวินเทาพูดกับลูกชายไปพลางพูดไปพลาง “เงิน พ่อกัดโดนเงินแล้ว!”
จ้าวเหวินเทาส่งเสียงเกินจริง
“ไหน ๆ!” เย่ฉูฉู่รีบถาม
“อยู่นี่ไง!” จ้าวเหวินเทาคายออกมา ยังคงเป็นเหรียญห้าเฟิน
“โดนจริงด้วย!” เย่ฉูฉู่หัวเราะ
เสี่ยวไป๋หยางเห็นพ่อกับแม่มีความสุขขนาดนี้ เขาก็ตบมืออย่างมีความสุขเช่นเดียวกัน ส่งเสียงว่า “โชคดี! โชคดี!”
“ว้าว ลูกชายของพ่อพูดว่าโชคดีได้แล้ว!”
สองพ่อลูกพากันชื่นชมยกย่อง
ปีที่แล้วมีกันแค่สองคน ปีนี้มีเพิ่มมาอีกหนึ่งคน ชีวิตก็ดีกว่าเมื่อก่อนมาก นี่แหละที่เรียกว่ามนุษย์เจริญรุ่งเรือง ชีวิตก็เจริญรุ่งเรืองไปด้วย!
วันที่หนึ่งเดือนหนึ่ง เย่ฉูฉู่ห่อตัวเสี่ยวไป๋หยางไว้หนา ๆ และเดินทางไปที่ฟาร์มกระต่ายเพื่อสวัสดีปีใหม่คุณพ่อจ้าวและคุณแม่จ้าวพร้อมกับจ้าวเหวินเทา
“อากาศหนาวขนาดนี้ สวัสดีปีใหม่ผ่านโทรศัพท์ก็ได้แล้ว จะมากันทำไมเนี่ย! เอาลูกมาทรมานถ้าเป็นหวัดขึ้นมาจะทำยังไง!” แม้ว่าคุณแม่จ้าวจะพูดแบบนี้ แต่ในความเป็นจริงย่อมมีความสุข นางอุ้มเสี่ยวไป๋หยางด้วยความเอ็นดู
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
เป็นการข้ามปีที่มีความสุขจริงๆ ค่ะ
พรุ่งนี้เจอกันอีกสามตอนสุดท้ายนะคะ รู้สึกเศร้าหน่อย ๆ แฮะ
ไหหม่า(海馬)