เขยที่โดนทิ้ง (แท้จริงแล้วเป็นประธานบริษัท!?) - ตอนที่ 383 เสียงร้องไห้ของลูกสาว
- Home
- เขยที่โดนทิ้ง (แท้จริงแล้วเป็นประธานบริษัท!?)
- ตอนที่ 383 เสียงร้องไห้ของลูกสาว
ตอนที่ 383 เสียงร้องไห้ของลูกสาว!
ครั้งนี้เย่เฉินมาอยู่ที่เมืองหลวงครึ่งเดือน จะได้เจอซือซือตลอด ซือซือจึงยิ่งติดพ่อมากขึ้นกว่าเดิมเรื่อยๆ
ดังนั้นในตอนที่หลี่เฉิงเจี๋ยด่าเย่เฉินเป็นขยะ ซืซือจึงร้องไห้และแผดเสียงใส่อีกฝ่าย หล่อนไม่ยอมให้คนอื่นมาว่าพ่อตนเองแบบนี้!
ถึงแม้ว่าซือซือจะอายุยังน้อย แต่เป็นคนหัวแข็งมากทีเดียว เพื่อที่จะไม่ให้คนอื่นด่าพ่อตนเอง และไม่ให้พ่อต้องขายหน้า
เด็กหญิงที่เดิมไร้เรี่ยวแรง ก็บังคับให้ตนเองยืนให้มั่นคงต่อไป
แล้วพร่ำบอกตนเอง “ฉันเป็นลูกคุณพ่อ ฉันต้องทำได้แน่ๆ! ฉันจะไม่ทำให้พ่อขายหน้า!”
ส่วนหลี่เฉิงเจี๋ยแค่นเสียงอย่างเยียดหยาม
เวลาแต่ละนาทีผ่านไปช้าๆ แต่ซือซือยืนนิ่งไม่ไหวติงด้วยท่าทางที่ถูกต้องสิบกว่านาที แต่ขาสองข้างกลับสั่นระริกไม่หยุด แต่ว่าเด็กหญิงยังคงพยายามต่อไป
เพียงเพราะหล่อนเป็นลูกสาวของเย่เฉิน! หล่อนไม่อยากให้พวกเขาดูถูกตนเองและพ่อของตนเอง!
แต่ว่าอย่างไรเสียซือซือก็เป็นเด็กหญิงตัวน้อยๆ ไม่รู้ว่าเวลาดำเนินไปนานเท่าไหร่ จู่ๆ ซือซือก็สมองขาวโพลนแล้วเด็กหญิงก็ล้มลงบนพื้น!
โครม!
ซือซือหกล้มลงไปกองกับพื้น
“ลูกขยะเป็นขยะจริงๆ ด้วย แค่นั่งเก้าอี้ลมก็เป็นลมแล้ว! ใครก็ได้มานี่หน่อย!”
หลี่เฉิงเจี๋ยตะโกน
ป้าแม่บ้านเดินมาเขย่าซือซือ เพื่อปลุกเด็กหญิง และในเวลานี้เองเด็กหญิงก็ลุกขึ้นยืนไม่ไหว ขาสองข้างไร้เรี่ยวแรง แค่พยายามจะยืนก็ล้มลง
ซือซือร่ำไห้ ชีวิตน้อยๆ ของเด็กหญิงถูกทะนุถนอมไปด้วยความรักจากมารดา จะเคยทุกข์ทนแบบนี้ที่ไหนกัน?
“หนูอยากกลับบ้าน หนูจะหาแม่ หนูจะไปหาพ่อ”
ซือซือร้องไห้พลางตะโกนโหวกเหวก
หลี่เฉิงเจี๋ยหัวเสีย “เลิกร้องได้แล้ว กลับไปอยู่ในห้องไป! แล้วก็ต่อไปที่นี่คือบ้านของเธอ!”
จากนั้นก็กล่าวกับหญิงชรา “พาเด็กนี่กลับห้องไป”
“ค่ะ!”
ซือซือไม่ยอมเดินไป และเด็กหญิงก็เดินไปไม่ไหว หญิงชรารู้ว่าเด็กน้อยคนนี้เป็นมารหัวขนที่คุณนายน้อยและชายอื่น หล่อนจึงไม่เป็นมิตรกับเด็กหญิงนัก หล่อนลากตัวเด็กน้อยไปกับพื้น
ซือซือที่โดนลากนั้นดูไม่ค่อยยินยอม เด็กหญิงกรีดร้องพร้อมตะโกน“คุณแม่! คุณแม่!”
ซูมู่ชิงที่อยู่ในห้องได้ยินเสียงร้องตะโกนของลูกสาวก็รีบเดินออกมาจากห้อง “ซือซือ!”
แต่ว่าเพิ่งจะออกมาก็โดนชายสองคนปราดเข้ามาขวาง
“คุณนายน้อย คุณต้องทำตามคำสั่งของคุณนายก่อน ไม่อย่างนั้นคุณห้ามออกไปข้างนอก”
ซูมู่ชิงหัวเสีย “ไสหัวไป ฉันจะไปหาลูกสาวฉัน!”
แต่ยามที่เฝ้าหน้าห้องก็ยังคงไม่ยอมขยับ “อย่าทำให้เราลำบากเลยครับ”
ซูมู่ชิงสงสารบุตรสาว อยากจะดึงดันพุ่งออกไป แต่ก็โดนชายทั้งสองคนลากหล่อนเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูขังหล่อนเอาไว้
สี่ปีมานี้ซูมู่ชิงออกมาใช้ชีวิตลำพังคนเดียวก็มีแค่ลูกสาวอยู่เคียงข้าง ลูกสาวเป็นดังแก้วตาดวงใจของหล่อน!!
หล่อนสามารถสงบสติอารมณ์เย็นชาได้ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ใดๆ ก็ตามแต่ มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้หล่อนเสียการควบคุมก็คือลูกสาว!
เพื่อลูกสาวหล่อนทำได้ทุกอย่าง!
และในเวลานี้เองซูมู่ชิงหัวเสียจัด หล่อนเป็นถึงคุณหนูใหญ่ของตระกูลซู แต่คนตระกูลหลี่กลับกล้าทำกับหล่อนแบบนี้!
ซูมู่ชิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาคุณปู่ อยากจะฟ้องปู่เพื่อให้เขาทวงความยุติธรรมให้ตนเอง
เพราะสถานะของคุณปู่ในเมืองหลวง แค่เพียงประโยคเดียวของเขา ตระกูลหลี่ก็ต้องก้มหัวขอโทษหล่อนแล้ว!
แต่ซูเจิ้นหางกลับไม่รับสาย
หญิงสาวรู้ดีว่าพ่อแม่ของหล่อนรักน้องชายหล่อนอย่างมาก ตอนนี้ยังน่าจะโกรธตนเองอยู่ ดังนั้นหล่อนจึงไม่โทรหาพวกเขา
หญิงสาวนึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมา เย่เฉินบิดาของซือซือ ลูกสาวโดนรังแก หล่อนควรจะนึกถึงเขาเป็นคนแรก
แต่ว่าหญิงสาวก็โทรหาเขาไม่ได้
เพราะหล่อนรับรู้ถึงสถานการณ์ของเย่เฉิน เขาคนเดียวเอาชนะตระกูลหลี่ไม่ได้ ให้เขามาที่นี่ก็เหมือนทำร้ายเขา
ดังนั้นซูมู่ชิงถึงโทรหาซูมู่หลินน้องชายสุดที่รักผู้ซึ่งไม่กลัวหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งสิ้นของหล่อน
ในตอนนี้ซูมู่ชิงยังคงนอนพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล
ทันทีที่รับสาย ซูมู่ชิงก็รีบร้อนกล่าว “มู่หลิน นายรีบส่งคนมาช่วยฉันกับซือซือที่ตระกูลหลี่เลยนะ ฉันโดนคนบ้านนี้ตีแล้วโดานขังไว้ในห้อง ส่วนซือซือก็เอาแต่ร้องไห้ ไม่รู้ว่าพวกเขาทำอะไรซือซือ ฉันเป็นห่วงซือซือ แกไม่เคยลำบากมาก่อน””
พอได้ยินเช่นนี้ซูมู่ชิงก็ระเบิดโทสะออกมา “อะไรนะ? คนตระกูลหลี่ไปกินดีหมีมาหรือไง! คิดไม่ถึงว่าจะกล้าตีพี่กับซือซือ เดี๋ยวผมจะส่งคนไปจัดการลูกชายพวกแม่งเลย!”
ซูมู่หลินดูถูกตระกูลหลี่อย่างมาก ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีอำนาจแต่ว่าซูมู่ชิงก็ไม่เห็นหัวพวกเขาอยู่ดี
และยิ่งในตอนนี้คนบ้านนี้กล้าทำร้ายพี่สาวเขาขนาดนี้ อีกทั้งยังเป็นตอนที่หญิงสาวยังไม่ได้แต่งงานเป็นสะใภ้พวกเขาด้วยซ้ำ ถ้าแต่งงานกันไปแล้วพวกเขาไม่ทารุณสองคนแม่ลูกหนักกว่านี้อีกหรือ!
ซูมู่หลินสั่ง “รีบส่งคนไป รับซือซือกับพี่สาวฉันมาจากบ้านตระกูลหลี่เลย! บ้าเอ้ย ถ้าฉันไม่ขาเจ็บ ต้องไปด้วยตัวเองแล้วซัดหน้าไอ้บ้านั่นให้เละแน่!”
แล้วลูกน้องของซูมู่หลินก็ส่งคนในไปที่บ้านตระกูลหลี่อย่างรวดเร็ว
แต่ว่าไม่นานนักพวกเขาก็กลับมา
ซูมู่หลินตกตะลึง “เกิดอะไรขึ้น? ฉันให้นายไปเองไม่ใช่หรือไง? กลับมาทำไม? หรือว่าคนตระกูลหลี่ไม่ปล่อยพวกเขากลับมาใช่ไหม?”
ลูกน้องเขาตอบ“ไม่ครับ คุณชาย ผมยังไม่ทันถึงบ้านตระกูลหลี่เลย ก็ไปเจอหน้าหน้าหลวี่ระหว่างทาง เขาขวางเราเอาไว้”
แล้วชายอายุประมาณ 40 ปีก็เดินตรงเข้ามา เขาก็คือลูกน้องที่ใช้ได้ที่สุดของซูเจิ้นหาง หลวี่ปู้
ยอดคนคือหลวี่ปู้ ยอดม้าคือเซ็กเธาว์ นี่เป็นคำที่ใช้บรรยายถึงยอดขุนพลในอดีต และเป็นคำที่ซูเจิ้นหางมักจะใช้ยามเล่าถึงลูกน้องตนเอง
ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นลูกน้องของซูเจิ้นหาง และทำงานให้อีกฝ่าย แต่เขาก็ยังเป็นคนที่เดินทางสายกลางไม่ว่าจะดำหรือขาวเขาล้วนแต่มีอิทธิพลทั้งสิ้น
“หลวี่ปู้เหรอ? คุณห้ามลูกน้องผมทำไม?” ซูมู่ชิงถามอย่างคลางแคลงใจ
หลวี่ปู้ยิ้มขณะมองซูมู่หลินแล้วถามต่อ “คุณชายซู นี่คือคำสั่งคุณปู่คุณครับ”
ซูมู่หลินงุนงง “ทำไมคุณปู่ถึงต้องห้ามฉันด้วย! หรือว่าจะปล่อยให้คนตระกูลหลี่รังแกพี่สาวฉันงั้นเหรอ?!”
หลวี่ปู้กล่าว “นายท่านสั่งเอาไว้ คุณห้ามส่งคนไปตระกูลหลี่ ไม่อย่างนั้นจะเท่ากับว่าคุณกำลังท้าทายพวกเขา ตอนนี้งานแต่งงานกำลังจะเกิดขึ้น นายท่านไม่สามารถปล่อยให้คุณทำให้ทั้งสองตระกูลขัดแย้งกัน”
ซูมู่หลินหัวเสีย “งั้นผมขอสั่งคุณ ให้ไปตระกูลหลี่รับพี่สาวผมและซือซือกลับมาคนเดียว! คุณปู่ชอบเปรียบคุณเป็นขุนพลโบราณมากไม่ใช่เหรอ! ผมให้รถถังคุณคันหนึ่ง คุณถือว่ามันเป็นม้าเซ็กเธาว์ของคุณแล้วกัน”
หลวี่ปู้หัวเราะ “ขอโทษด้วยครับคุณชาย ผมฟังคำสั่งของคุณปู่คุณแค่คนเดียว คุณสั่งผมไม่ได้ อีกทั้งคุณชายก็ชมผมเกินไป ตระกูลหลี่มีอิทธิพลทรงอำนาจ จะให้ผมบุกเข้าไปที่ตระกูลหลี่คนเดียว เกรงว่าผมน่าจะเข้าประตูบ้านพวกเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ ผมมาเพื่อบอกคุณชายให้พักผ่อน รักษาตัวในโรงพยาบาล ตระกูลหลี่ไม่กล้าทำอะไรคุณหนูหรอก สบายใจเถอะครับ”
“สบายใจบ้าอะไร!” ซูมู่หลินสบถ
ร่องรอยความไม่พอใจพาดผ่านใบหน้าหลวี่ปู้!