เขยที่โดนทิ้ง (แท้จริงแล้วเป็นประธานบริษัท!?) - ตอนที่ 473 โลกนี้ไม่มีหลิ่วอวี่เจ๋ออีกต่อไป
- Home
- เขยที่โดนทิ้ง (แท้จริงแล้วเป็นประธานบริษัท!?)
- ตอนที่ 473 โลกนี้ไม่มีหลิ่วอวี่เจ๋ออีกต่อไป
ตอนที่ 473 โลกนี้ไม่มีหลิ่วอวี่เจ๋ออีกต่อไป!
เห็นหลิ่วอวี่เจ๋อร้องไห้เว้าวอน จางเชี่ยนจือก็ทำใจไม่ได้ หล่อนเองก็ชอบเด็กคนนี้มาก แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นคนที่คิดจะทำร้ายเย่เฉิน
จางเชี่ยนจือรู้จักนิสัยของซูเจิ้นหางเป็นอย่างดี ไม่มีทางจะยอมเลิกราง่ายๆ แบบนี้แน่
ส่วนซูหมิงเจ๋อที่เห็นเหตุการณ์กลับเตะหลิ่วอวี่เจ๋อออกแล้วตะคอก “กล้าแตะต้องลูกเขยฉัน ฉันว่านายไม่ได้เห็นหัวตระกูลซูด้วยซ้ำ!”
ซูเจิ้นหางถลึงตามองหลิ่วอวี่เจ๋ออย่างไม่ค่อยจะพอใจนัก ด้วยสถานะของเขาไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกับคนรุ่นหลัง
เขาหันมองเย่เฉินแล้วกล่าว“เย่เฉิน ฉันรู้ว่าเธอคงต้องอยากฆ่าเขาเพื่อระบายความโกรธที่มี แต่ว่าถ้าเธอลงมือเอง เรื่องนี้จะต้องยุ่งยากแน่ ไม่งั้นยกให้ฉันจัดการเองดีไหมล่ะ?”
เย่เฉินพยักหน้ารับ เขาให้ซูมู่ชิงเรียกซูเจิ้นหางมาก็เพราะอยากรู้ว่าซูเจิ้นหางจะจัดการยังไง
ถ้าหากว่าซูเจิ้นหางมีเมตตาและเห็นอกเห็นใจคนที่ทำร้ายตัวเองเหมือนจางเชี่ยนจือ อาจจะถึงขนาดที่อยากจะให้เขากลายมาเป็นเขยตระกูลซูอีก
งั้นคงต้องขอโทษด้วยทีต่อไปคนตระกูลซูสำหรับผมคงจะมีแค่ซูมู่ชิงเท่านั้น ส่วนคนแซ่ซูคนอื่นๆ เขาเห็นทีคงจะไม่ขอยอมรับใคร!
ทั้งหมดต้องไสหัวไป!
จางเชี่ยนจือเห็นซูเจิ้นหางจัดการแบบนี้ หลิ่วอวี่เจ๋อก็คุกเข่าอ้อนวอนตนเอง จึงออกตัวขอร้องแทนอีกฝ่าย
“พ่อคะ หลิ่วอวี่เจ๋อทำร้ายเย่ฉินก็เพราะเรื่องหวังเจียเหยา เป็นลูกหลานกันทั้งนั้น อย่าทำร้ายเขารุนแรงเกินไปเลยนะคะ”
แต่ซูเจิ้นหางกลับหันไปตวาดจางเชี่ยนจือ “หุบปาก! เย่เฉินแต่งเข้าตระกูลซูเราเขาก็เป็นคนตระกูซูเหมือนกัน! ฉันไม่สนใจหรอกว่าก่อนหน้านี้เขาสองคนจะมีบุญคุณความแค้นอะไรกัน ในเมื่อหลิ่วอวี่เจ๋อไม่เห็นหัวตระกูลซู กล้าลงมือทำร้ายหลานเขยของฉัน งั้นก็เท่ากับว่าเป็นการระกาศศึกกับตระกูลซู กับฉัน!”
หลิ่วอวี่เจ๋ออ้อนวอน “อย่าเลยนะครับ! ไม่กล้าอีกแล้วครับ! ท่านซูครับ! ไม่ได้มีเจตนาอยากจะท้าทายตระกูลซูเลยนะครับ!”
ซูเจิ้นหางหันไปกล่าวกับซูหมิงเจ๋อ “แจ้งหัวหน้าจางที่เป็นนักสืบ ให้เขาส่งคนมาให้เอาหนังสือยินยอมเป็นหนูทดลองมาด้วย”
“ครับ!”
พอได้ยินแบบนี้หลิ่วอวี่เจ๋อก็ตกใจจนตัวสั่นเทิ้ม “อาสาสมัครทดลองเหรอ! ไม่ ไม่เอา! ผมไม่อยากเป็นอาสาสมัครทดลองอะไรทั้งนั้น ผมไม่อยากเป็นหนูทดลอง! ผมอยากจะมีชีวิตที่สมบูรณ์แข็งแรง ท่านซู ส่งผมเข้าคุกเถอะนะครับ ผมขอร้องท่านเลยนะครับ ผมอยู่คุก 20 ปีก็ได้ ไม่สิ ตลอดชีวิตยังได้เลยครับ!”
ซูเจิ้นหางไม่สนใจเขา
ส่วนแย่เฉินพยักหน้าอย่างพอใจ วิธีจัดการของตาเฒ่านี่ถือได้ว่าเป็นที่น่าพอใจ
เพราะหลิ่วอวี่เจ๋อทำเย่เฉินเกือบตาบอด ดังนั้นคนที่อาจทำร้ายเขาได้ถึงชีวิตแบบนี้จะเก็บเอาไว้ไม่ได้!
ดังนั้นเย่เฉินถึงได้หวังว่าเส้นตายในการลงโทษของตระกูลซูจะทำให้หลิ่วอวี่เจ๋อไม่มีปัญญาทำร้ายตนเองได้อีก
ดังนั้นวิธีการนี้ของซูเจิ้นหางจึงเหมาะสมมาก
แล้วมีคนประหลาดสองคนมาถึงอย่างรวดเร็ว บีบให้หลิ่วอวี่เจ๋อปั๊มนิ้ว เซ็นสัญญาแล้วโดนลากตัวเอาไป
“ไม่นะ! ซูเจิ้นหาง ไอ้คนสารเลว ไอ้ชาติชั่ว! คนตระกูลซูเป็นเดียรัจฉาน! ซูมู่ชิงแกมมันเป็นโสเภณีมีร้อยผัว นังแพศยา! เย่เฉินต่อให้ฉันกลายเป็นผีก็จะไม่ปล่อยแกไป! ฉันจะวางยาแกให้ตาย จะหั่นแกเป็นชิ้นๆ ตอนแก! แล้วจะแย่งผู้หญิงทุกคนที่แกชอบให้หมดเลย!”
ในตอนที่หลิ่วอวี่เจ๋อโดนคนลากตัวไปก็ผรุสวาทคำด่าออกมาเต็มไปหมด
บางทีเย่เฉินอาจจะได้ยินคำพูดสุดท้าย
หลังจากที่หลิ่วอวี่เจ๋อโดนลากตัวไปแล้ว ซูเจิ้นหางก็กล่าวกับเย่เฉิน “ส่วนทางตระกูลหลิ่วฉันจะแจ้งพวกเขาด้วยตัวเอง ต่อให้พวกเขาไม่พอใจไปก็ไร้ประโยชน์ จากความเข้าใจที่มีในตัวของหลิ่วหย่วนหางแล้ว เขาไม่กล้ามีเรื่องกับพวกเราหรอก หลิ่วอวี่เจ๋อมีพี่ชายคนโตอยู่หนึ่งคนไม่ใช่เหรอ? เธอสบายใจเถอะนะ เดี๋ยวฉันจะให้คนไปตามหาตัวเด็กนั่น ไม่ให้เขาได้มีโอกาสได้ทำร้ายเธออีก”
ซูเจิ้นหางคิดได้ละเอียดรอบคอบดี เย่เฉินพอใจในเรื่องนี้มากทีเดียว
“ขอบคุณครับ” เย่เฉินกล่าว
ทว่าในตอนนี้เองแม่ยายกลับกลอกตาใส่เย่เฉิน
เย่เฉินเห็นแววตาของแม่ยายก็เกิดรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาจึงเอ่ยถาม “มองหน้าผมทำไม?”
จางเชี่ยนจือหัวเสีย ไม่ทันได้คิดว่าทำไมเย่เฉินถึงได้มองเห็น ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“ฉันจ้องแก! แกมันเป็นลูกเขยที่ไร้ปรโยชน์หาแต่เรื่องให้เรา! เพราะเรื่องของแกทำให้ตระกูลหลิ่วเราต้องมีศัตรู! ถึงแม้ว่าตระกูลหลิ่วจะไม่กล้าทำอะไรพวกเรา แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นตระกูลที่มีทรัพย์สินแสนล้าน ถ้าหากว่าพวกเขาอยากจะทำอะไรขึ้นมา คนในตระกูลเราตั้งมากมายจจะระวังยังไง? ตัวแกเองเก่งมากไม่ใช่หรือไง? มีลูกน้องเยอะแยะไม่ใช่เหรอ? จัดการศัตรูตัวเองไปสิ เรียกเรามาทำไม!”
จางเชี่ยนจือรู้สึกว่าเดี๋ยวเย่เฉินก็จะหย่าากับซูมู่ชิง อีกเดี๋ยวเขาก็จะโดนไล่ออกจากบ้าน แล้วจะให้ล่วงเกินตระกูลใหญ่เพียงเพื่อคนแบบนี้ไม่คุ้มค่าเลยจริงๆ
ทว่าพูดไปพูดมาหน้าของจางเชี่ยนจือก็เปลี่ยนสีไป
“เดี๋ยวนะ เย่เฉิน…แก…ทำไมแกถึงได้รู้ว่าฉันจ้องแกล่ะ?”
ประโยคนี้ของจางเชี่ยนจือทำให้ซูเจิ้นหางและซูหมิงเจ๋อก็ตกใจกันหมด และสังเกตเห็นเรื่องนี้เช่นกัน!
เย่เฉินส่งยิ้มให้จางเชี่ยนจือกล่าว “ผมไม่เพียงแต่รู้ว่าคุณจ้องหน้าผม แต่ยังรู้ด้วยว่าวันนี้คุณสวมเสื้อสีสดอีกทั้งยังใส่กางเกงรัดรูปด้วยนะ ชิ เป็นผู้หญิงอายุตั้ง 40 กว่าแล้วยังแต่งตัวเหมือนสาววัย 20 เอง คุณคิดว่าหุ่นคุณดีมากสินะ”
เย่เฉินเหน็บแนมแม่ยายตัวเองต่อหน้าพ่อตาและคนอื่นๆ กลับไม่มีผู้ใหญ่คนไหนตำหนิเขา
กลับกัน ซูเจิ้นหางและซูหมิงเจ๋อล้วนแต่มองด้วยแววตาเปี่ยมสุข!
ซูเจิ้นหางผลักจางเชี่ยนจือออก มือสองข้างของเขากอดเย่เฉินเอาไว้ “เย่เฉิน ตาเธอหายแล้วเหรอ? เธอมองเห็นแล้วเหรอ?”
ซูมู่หลินเม้มปาก “ผมว่านะ เขาไม่ได้ตาบอดด้วยซ้ำ ตาบอดขนาดนั้นใครจะเล่นเปียโน ดังก์บาสได้กันล่ะ! ผมรู้ตั้งนานแล้วว่าเขาแกล้งตาบอด!”
งานเลี้ยงเมื่อสองวันก่อน เย่เฉินกระโดดลอยตัวขึ้นไปดังก์บาสสร้างความตกใจให้ซูมู่หลินไม่น้อย
เพราะถ้าเป็นเรื่องจริง ซูมู่หลินคงต้องนับถือกราบไหว้เย่เฉินเป็นเทพเสียแล้ว!
เย่เฉินเองก็ตอบตามตรง “ตอนอยู่เมืองเสินเฉิงผมตาบอดจริงๆ แต่ระหว่างทางกลับมาผมกินยาทำให้หาย แล้วผมจำจใจต้องแกล้งตาบอดเพื่อหาตัวคนที่วางยาผม”
จางเชี่ยนจือหัวเสีย “ดีนี่ เย่เฉิน หลอกคนอื่นก็ได้ แต่กระทั่งเมียตัวเอง พ่อตา แม่ยายแกก็ยังหลอกลวง! แกไม่เห็นฉันเป็นแม่ยายแกเลยสินะ!”
เย่เฉินเองก็ตอบตามตรง “ก็ไม่นะครับ”
จางเชี่ยนจือตัวแข็งค้างไป รู้สึกเสียหน้าอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าเย่เฉินจะพูดอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้!
ซูมู่ชิงเห็นทั้งสองคนทะเลาะกันก็ยิ้มแล้วกอดจางเชี่ยนจือพลางปลอบ “คุณแม่คะ เย่เฉินไม่ได้หลอกหนูนะคะ เขาบอกหนูตั้งแต่ตอนแรกเลยค่ะ”
หลังจากที่จางเชี่ยนจือได้ยินก็โกรธกว่าเดิม บิดหูลูกสาวแล้วกล่าว “ดีนี่ แกเป็นลูกฉันแต่ร่วมมือกับเย่เฉินหลอกฉัน ให้ฉันต้องลำบากลำบนหาผัวใหม่ให้แก”
ซูหมิงเจ๋อรีบยื่นมือเข้าไปขวางจางเชี่ยนจือ ถึงจะรู้แก่ใจว่าภรรยาไม่ได้ออกแรงอะไรนักหนา
เขาปัดมือภรรยาทิ้งแล้วกล่าว “พอได้แล้วน่า ป่านนี้แล้ว คุณยังมีแก่ใจมาคิดเล็กคิดน้อยเรื่องไร้สาระแบบนี้อยู่อีก!”
ซูเจิ้นหางพยักหน้าอย่างพอออกพอใจ ถือว่าลูกชายเข้าใจเขา
ซูหมิงเจ๋อหันมองเย่เฉินแล้วถาม “เย่เฉินเอ้ย ในเมื่อเธอไม่ได้ตาบอด งั้นก็แปลว่าเธอไปอังกฤษได้แล้วใช่ไหมล่ะ?!”