เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 36
- Home
- เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]
- เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 36
“ไปที่ใด”
“พักผ่อนสักหน่อย”
คราวนี้ตามหาถ้ำแห่งหนึ่งจนพบ เหมือนจะเป็นถ้ำแห่งนั้นที่นางมองเห็นในตอนแรก กลิ่นเหม็นสาบเหม็นสางโชยมาแต่ไกล ที่ปากถ้ำมีกระดูกสัตว์เกลื่อนพื้น ท่าทางคงจะเป็นรังเดิมของเสือดาวตัวนั้น
กงอิ้นหยุดฝีเท้าลงโดยพลัน จากนั้นเศษกระดูกชิ้นหนึ่งก็พุ่งออกมาจากปากถ้ำดุจฟ้าผ่า ตามมาด้วยเสียงต่อสู้ดิ้นรนระลอกหนึ่ง ขนหลายหย่อมค่อยๆ ลอยออกมาร่วงหล่นบนนิ้วมือของจิ่งเหิงปัว
จิ่งเหิงปัวคว้าขนนั้นไว้แล้วเหลือบมอง มีขนเสือดาวสีเหลืองดำ ขนสีขาวบางส่วนและขนยุ่งเหยิงรกรุงรังบางส่วน เสียงฮือๆ ที่แว่วมาจากส่วนลึกในถ้ำดังกังวาน คล้ายมีเสียงหายใจหอบและคล้ายมีตัวอะไรสักฝูงกำลังวิวาทกลิ้งเกลือก
จิ่งเหิงปัวเดินออกมาด้านนอกทันที นางไม่อยากเผชิญหน้ากับเสือดาวตีกัน
ทว่ากงอิ้นไม่ขยับ สายตาของเขายังคล้ายเจือความสนใจอยู่หลายส่วน ยามนั้นเองก็พลันมีเสียงกรีดร้องโหยหวนเสียงหนึ่ง ที่ปากถ้ำมีแสงสีเหลืองกะพริบวูบพร้อมมีเสือดาวตัวหนึ่งพุ่งออกมา
จิ่งเหิงปัวตกอกตกใจจนถอยหลังออกไปก้าวหนึ่งจนเกือบจะเหยียบโดนเท้าของกงอิ้น กงอิ้นยื่นแขนข้างหนึ่งมาคว้าคอเสื้อของนางไว้พลางเอ่ยว่า “เงียบ! กระต่ายยังหนักแน่นกว่าเจ้าอีก!”
“เจ้าสิกระต่าย! เจ้ามันเทพกระต่าย!” จิ่งเหิงปัวแค่นเสียงเฮอะออกมา ตอนนี้จึงพบว่าเสือดาวตัวนั้นรูปร่างเล็กกระจ้อย ซ้ำยังเป็นเพียงเสือดาวเยาว์วัยตัวหนึ่ง
แสงรุ่งโรจน์หลายสายกะพริบผ่านอีกครั้ง จิ่งเหิงปัวมองเห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นกระต่ายตัวหนึ่ง นางเบิกตากว้างมองเห็นฟันหน้าของกระต่ายที่สว่างวูบกัดก้นของเสือดาวอย่างรุนแรง กัดจนเสือดาวน้อยนั้นตะเบ็งร้องดังโฮก
จิ่งเหิงปัวขยี้ตาแล้วขยี้ตาอีก…ฝันไปเหรอเนี่ย? กระต่ายกัดเสือดาวงั้นหรอ?
แสงสีเทากะพริบวูบ กวางโร[1]หลายตัวกระโดดออกมาจากในถ้ำ สัตว์ทุกตัวเป็นสัตว์กินพืชขนาดเล็กอ่อนแอไร้อันตราย แต่กลับรุมโจมตีเสือดาวน้อยตัวนั้นขึ้นมาต่อหน้าต่อตาพวกเขา พวกมันกลิ้งไปทะยานมา ไอสังหารเต็มไปทั่วทุกสารทิศ คางของจิ่งเหิงปัวยิ่งก้มลงเรื่อยๆ นัยน์ตากวาดมองทั่วพื้นและออกมาไม่ได้
กงอิ้นเอ่ยโดยพลันว่า “ดู!”
เมื่อมองตามทิศทางที่เขาชี้ ตอนนี้จิ่งเหิงปัวจึงมองเห็นสัตว์เล็กขนสีขาวตัวหนึ่งหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ด้านหลังกระต่ายและกวางโรที่เดือดดาลเหล่านั้น รูปร่างปราดเปรียวท่าทางลับๆ ล่อๆ ยิ่งนัก มันไม่ได้ไปสู้รบปรบมืออยู่ข้างหน้า แต่กลับแวบพุ่งออกมากัดเป็นครั้งๆ ตลอดเวลา หลังจากหลายครั้งหลายครา แม้แต่จิ่งเหิงปัวที่ไม่เข้าใจวรยุทธ์นี้ยังพบว่า ทุกครั้งที่สัตว์เล็กตัวนี้ลงมือ พวกมันต้องให้เสือดาวเข้าสู่มุมอับหรือให้เสือดาวอยู่ในท่าทางเดิมเสียก่อน และในโอกาสที่ไร้หนทางโจมตีกลับนั้นมันจึงฝังเขี้ยวเด็ดเดี่ยวท่วงท่าแม่นยำ อีกทั้งกระต่ายและกวางโรเหล่านั้นดวงตาแดงฉาน ท่าทางดุร้ายแต่ร่างกายแข็งทื่อ แม้มีบาดแผลทั่วร่าง แต่ดุร้ายไม่ยอมสิ้นชีพ รู้เพียงว่าต้องบุกโจมตีอย่างต่อเนื่อง ท่าทางดูแปลกประหลาดเอาการ คล้ายว่าถูกอะไรควบคุมไว้อย่างนั้น
การวิวาทครั้งนี้แม้เป็นระดับวัยเยาว์แต่ก็วิวาทจนกลิ้งไปพลิกมาขนกระจายว่อน จิ่งเหิงปัวร้องว่ายอดเยี่ยมออกมาอย่างต่อเนื่อง เสียดายแต่ไม่ได้พกโทรศัพท์มือถือมาด้วย ไม่อย่างนั้นนางจะต้องถ่ายวิดีโอโพสต์ลงเวยป๋อ[2]ให้โด่งดังสักครั้งจะได้เก็บซินลั่งวี[3]สักอัน
เสือดาวสูญสิ้นอำนาจถูกกระต่ายรังแกพร้อมถูกฝูงสัตว์อ่อนแอรุมโจมตี สัตว์เล็กขนสีขาวนั้นคำรามเสียงแหลมออกมาเสียงหนึ่งโดยพลัน ก่อนพุ่งออกไปกัดท้ายทอยของเสือดาวอีกครั้งหนึ่งดุจสายฟ้า เสือดาวน้อยคำรามออกมาอย่างน่าเวทนาไม่หยุด พลางสะบัดหัวสุดชีวิต แต่สัตว์เล็กนั้นมีท่าทางดุร้าย ปากของมันกัดไว้ไม่ยอมปล่อย ร่างเล็กกระจ้อยถูกสะบัดพ้นความอึมครึมดุจกระสอบเปื่อยยุ่ย จิ่งเหิงปัวมองจนเวียนศีรษะ
เสือดาวร้องโหยไห้ด้วยท่าทางน่าสงสา พลางสะบัดหัวอย่างแรง สัตว์เล็กถูกสะบัดออกไปดังสวบ อีกไม่นานคงจะกระแทกหน้าผาขระขระ…
พลั่ก! ไม่ใช่เสียงกังวานของเลือดเนื้อแหลกสลาย ทว่าเป็นเสียงทึบของเนื้อนุ่มชนกับเนื้อเนียน
ในนัยน์ตาสัตว์เล็กโผล่ระลอกคลื่นสีดำออกมา ร่างกายทั้งร่างสั่นไหว ล้มลงบนหน้าอกของจิ่งเหิงปัวแล้วแน่นิ่งไม่ขยับเขยื้อน
จิ่งเหิงปัวหิ้วเจ้าตัวนี้ขึ้นมาหัวเราะคิกคัก เมื่อครู่นางหายตัวไปขวางยังเบื้องหน้าของหน้าผา ช่วยของเล่นอัศจรรย์นี้เอาไว้ ตอนนี้มองดูทั่วตัวหัวจรดเท้า ก็อดจะ “เอ๋” ออกมาเสียงหนึ่งไม่ได้
“ทำไมขนเป็นสีม่วง?”
ตอนนี้ถึงเพิ่งพบว่าสัตว์เล็กมีเพียงหางสั้นๆ ที่เป็นสีขาว ขนบนร่างกายเปล่งแสงสีเงินเหลือบม่วงออกมา ทั้งร่างคล้ายกับแมวดาวอ้วนสั้นตัวหนึ่ง นัยน์ตากลมโตจนคล้ายสวมด้วยลูกตาดำงดงาม หากตัดกรงเล็บแหลมคมยวดยิ่งทิ้งไปย่อมเป็นสัตว์น้อยน่ารักตัวหนึ่งแน่นอนร้อยเปอร์เซ็น
จิ่งเหิงปัวขมวดคิ้ว นางจำได้ว่าก่อนหน้านี้มองเห็นเจ้าตัวเล็กเป็นก้อนสีขาวอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง แต่ทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็นสีนี้ได้?
เสือดาวที่โชคร้ายบนพื้นสิ้นชีพลงแล้ว รวมถึงกระต่ายและกวางโรบ้าคลั่งหลายตัวนั้นด้วย หลังจากสู้รบอย่างดุเดือดรุนแรงครั้งหนึ่งก็ล้วนสิ้นชีพด้วยสูญสิ้นเรี่ยวแรง ตอนสิ้นชีพนั้นก็เดินโซเซสองก้าวแล้วล้มลงพื้นด้วยท่าทางแผ่ออกไป จิ่งเหิงปัวชำเลืองมองสัตว์เล็กเหล่านั้นอย่างไม่แน่ใจ แต่รู้สึกว่าพวกมันกำลังยิ้มแย้ม
ความรู้สึกนี้ช่างแปลกประหลาดเกินไป นางอดที่จะหนาวสะท้านไม่ได้ แต่ไม่รู้ทำไมพออุ้มสัตว์เล็กแปลกประหลาดนี้เอาไว้อารมณ์ของนางก็ดีขึ้นมาในทันที มีความรู้สึกทั้งเคลิบเคลิ้มทั้งฮึกเหิมอย่างมากคล้ายอยากจะไล่จับอะไรสักอย่างมากัดสักคำ
นางหันหน้ากลับมาจ้องลูกกระเดือกของกงอิ้นแล้วกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก
สภาพของกงอิ้นนั้นคล้ายยังอยากนำก้านใบไม้สักก้านมาร้อยคอเสื้อเพื่อรักษาพรหมจรรย์แล้ว
แต่ว่าสายตาของเขากลับจ้องมองมาที่สัตว์เล็กในอ้อมแขนของจิ่งเหิงปัวโดยตลอด สัตว์เล็กยังคงสลบไสลต่อไป ใบหน้าที่เต็มไปด้วยขนสั้นๆ แนบเข้ากับเนินโค้งเว้าของนางสนิทแน่นอย่างสบายอกสบายใจ
สายตาของกงอิ้นจ้องเขม็งเกินไป จิ่งเหิงปัวจึงยืดอกขึ้นมาถามเขาอย่างตั้งตารอว่า “ลึกไหม”
สายตาของกงอิ้นเบนออกไปจ้องมองบนยอดของต้นไม้ที่อยู่ห่างไกลโดยพลัน
จิ่งเหิงปัวก็พลันอารมณ์ดีขึ้นมา อุ้มสัตว์เล็กไว้แล้วยืดอกเดินผ่านไป ตอนที่เฉียดกายผ่านนั้นได้ยินมหาเทพกงเอ่ยกับต้นไม้นั้นแผ่วเบาว่า “มิเพียงลึก ทั้งยังหย่อนยานดุจเลขแปด[4]เสียแล้ว”
จิ่งเหิงปัวนิ่งงัน “!”
…
ในถ้ำนั้นเต็มไปด้วยคราบเลือดไม่อาจอาศัย ทั้งสองคนจึงได้แต่พักผ่อนอยู่ด้านนอก จิ่งเหิงปัวยังโกรธแค้นในวาจา ‘หย่อนยานดุจเลขแปด’ ประโยคนั้นของเขา จึงทำเป็นไม่สนใจกงอิ้น กงอิ้นก็คล้ายมีท่าทางไม่สนใจพลางกินผลไม้ป่าลูกหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้าสิ่งนี้นามว่าเฝยเฝย”
วาจาเพียงประโยคเดียวดึงดูดความสนใจใคร่รู้ของจิ่งเหิงปัวได้สำเร็จ นางหลงลืมความโกรธที่มีเมื่อครู่ทันที พร้อมชะเง้อหน้าเข้ามาเถียงว่า “เฟ่ยเฟ่ย[5]หรือ? เจ้าหลอกข้าหรืออย่างไร เฟ่ยเฟ่ยมิได้เหมือนเจ้าสิ่งนี้สักหน่อย”
“คัมภีร์ซานไห่ว่าด้วยสัตว์อัศจรรย์บันทึกไว้ว่า บรรพตว่ามีสัตว์กายดุจแมวดาว ทว่าหางขาวมีแผงคอ นามเอ่ยเฝยเฝย เลี้ยงไว้ขจัดทุกข์”
“ฟังไม่รู้ความ เอ่ยภาษามนุษย์สิ!”
“เฝยเฝยคล้ายแมวดาว หางขาวใต้คอ มีขนยาวสีขาวดั่งแผงคออาชา เลี้ยงมันไว้ขจัดความทุกข์โศกได้” ยากนักที่กงอิ้นจะมานั่งแปลอย่างอดทนเช่นนี้
“เพ้อเจ้อ” จิ่งเหิงปัวลูบไล้ขนของเฝยเฝยที่ยังสลบไสลอยู่กล่าวว่า “เลี้ยงมันไว้ขจัดความทุกข์โศกได้อย่างไรกัน? มีวิธีขจัดอย่างไรหรือ”
“คัมภีร์ซานไห่เอ่ยเอาไว้คลุมเครือ บางคราบอกใบ้ถึงพลังมหัศจรรย์ของสัตว์นี้ อย่างไรเสียก่อนหน้านี้ก็ไม่มีผู้ใดเคยเห็นเจ้าสิ่งนี้มาก่อน” กงอิ้นมองดูซากกระต่ายและกวางโรทั้งสี่ด้านเอ่ยว่า “กระต่ายและกวางโรพวกนี้เดิมทีบนร่างมีบาดแผล แต่คาดว่าคงถูกแม่เสือดาวจับมาใช้ไล่กวดหยอกเล่น ฝึกฝนกรงเล็บให้เสือดาวน้อย พอเล่นเบื่อแล้วจึงค่อยจับกิน ผู้ใดจะรู้ว่าในนี้มีเฝยเฝยปนมาด้วยตัวหนึ่ง เฝยเฝยตัวนี้ฉวยโอกาสที่แม่เสือดาวไม่อยู่มอมเมากระต่ายและกวางโรให้เคลื่อนไหวโจมตีเสือดาวน้อย ส่วนตนเองหลบซุ่มโจมตีอยู่ด้านหลัง…เจ้าตัวเล็กร้ายกาจเช่นนี้”
“เอ่ยเสียจนวิเศษวิโศ นี่มันแมวมิใช่มนุษย์” จิ่งเหิงปัวแบะปาก หิ้วเฝยเฝยขึ้นมามองหัวจรดเท้าไม่อยากจะเชื่อ
“นี่ ข้าเรียกเจ้าว่าเฟยเฟย[6]ที่แปลว่ามิใช่ดีหรือไม่ หรือเฟยเฟยที่แปลว่าสวยงามหรูหรา หรือเฟยเฟยที่แปลว่าหมอก เจ้าเป็นตัวผู้หรือเป็นตัวเมียนะ? หากเป็นตัวผู้เรียกว่าเฟยเฟยที่แปลว่ามิใช่ก็แล้วกัน หากเป็นตัวเมียเรียกว่าเฟยเฟยที่แปลว่าหมอกดีหรือไม่” นางคว้าสัตว์เล็กหงายท้องเหลียวซ้ายแลขวากล่าวว่า “ตัวผู้หรือตัวเมียนะ? เฮ้อ กงอิ้นเจ้าช่วยข้าดูหน่อยสิ ข้าดูไม่ออกว่านี่ใช่เจ้าน้องชายของมันหรือไม่”
“ความอัปยศอดสูแห่งสตรีเพศ” กงอิ้นนั่งอยู่ทางหนึ่ง หยิบกระต่ายตัวหนึ่งขึ้นมาถลกหนัง
“ทางที่ดีเจ้าควรห่างจากมันสักหน่อย สัตว์มหัศจรรย์ชนิดนี้ไม่อาจปราบให้เชื่องได้”
“ข้าช่วยชีวิตมันครั้งหนึ่งเชียวนะ!” จิ่งเหิงปัวหัวเราะเยาะเสียงขึ้นจมูกกล่าวว่า “เจ้าอิจฉาที่ข้าเก็บของดีได้ ก็เลยหวังให้ข้าถอดใจเองใช่หรือไม่? ไม่มีทาง!”
กงอิ้นใช้สายตาแบบที่มองพวกด้อยปัญญามองนางปราดหนึ่ง ก่อนจะลงมือถลกหนังกระต่ายอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น แล้ววางหนังกระต่ายสมบูรณ์สองผืนไว้ที่ด้านหนึ่ง ล้างสะอาดและผึ่งลมให้แห้ง ส่วนตนเองเด็ดก้านไม้อ่อนนุ่มพวกหนึ่งมาสานเป็นอะไรสักอย่าง
จิ่งเหิงปัวมองนิ้วมือของเขาที่คล่องแคล่วดุจเล่นสานเชือก ดูแล้วก็งดงามยิ่งนัก แม้ว่าไม่กล้าเข้าใกล้ แต่หางตายังแอบชำเลืองมองอยู่หลายครั้ง
ผ่านไปไม่นานของสิ่งนั้นก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นในมือของกงอิ้น ที่แท้ก็เป็นรองเท้าฟางคู่หนึ่ง จิ่งเหิงปัวไม่เคยเห็นรองเท้าฟางมาก่อน แต่ก็ยังรู้สึกว่ารองเท้าคู่นี้ก็สานได้อย่างงดงามประณีตและแข็งแรงมาก
นางอยากจะหัวเราะขึ้นมา นึกไม่ถึงว่าเจ้าคนบริสุทธิ์สูงส่งสุดชีวิตเช่นกงอิ้นนี้จะทำงานฝีมือของชาวชนบทเช่นนี้ก็เป็นด้วย
เมื่อนางมองเห็นกงอิ้นตัดแบ่งหนังกระต่ายสองผืนที่ตากลมจนแห้งแล้วพลิกด้านที่มีขนด้านหนึ่งนั้นขึ้นมาปูรองในรองเท้า นางก็ยิ่งอยากจะหัวเราะมากขึ้น
คราวนี้เขาก็กลายเป็นยายแก่จุกจิกเสียแล้ว
เมื่อยายแก่จุกจิกแซ่กงที่ถูกหัวเราะเยาะยื่นรองเท้าฟางที่สานเสร็จแล้วมายังเบื้องหน้าของนาง สุดท้ายแล้วนางจึงหัวเราะไม่ออก
“เอ่อ…ให้ข้าหรือ?”
“รองเท้าหนังโด่งดังล้ำค่าของข้า มิอาจสวมใส่บนเท้าพวกด้อยปัญญาเช่นเจ้าได้”
มีคนบางประเภทที่ต่อให้กระทำเรื่องดีเพียงใด เจ้าก็ยังไร้หนทางยอมรับน้ำใจของเขา นางก็อยากจะยัดรองเท้าฟางเข้าไปในปากเขายิ่งนัก
กงอิ้นก็เช่นกัน
จิ่งเหิงปัวอดทนอดกลั้นไว้แล้วจึงรับรองเท้าฟางมา รองเท้าของกงอิ้นคืนให้เขาไปแล้ว อย่างไรเสียรองเท้านั้นก็ใหญ่ไปหน่อย สวมแล้วไม่สะดวกอยู่บ้าง ส่วนรองเท้าส้นสูงของนางก็ยังไร้หนทางต่อสู้กับเส้นทางป่าเขาที่รกชัฏเช่นนี้ เพราะอย่างนั้นนางจึงต้องการรองเท้าคู่นี้จึงทำใจแข็งขึ้นมาไม่ไหว
รองเท้าขนาดกำลังพอดี หนังกระต่ายนั้นอ่อนนุ่ม นางลุกยืนขึ้นมาแล้วลองเดินหลายก้าวก็รู้สึกเบาสบายทั่วร่าง
แต่ไหนแต่ไรมาจิ่งเหิงปัวก็ไม่ใช่คนที่จิตใจคับแคบ นางแยกแยะเรื่องราวเป็นเรื่องๆ ไป นางยังหัวเราะคิกคิกกล่าวขอบคุณเขาว่า “รองเท้านี้แม้ว่าจะอัปลักษณ์ไปบ้าง แต่ว่าก็สานได้อย่างสบายยิ่งนัก คุณชายตระกูลผู้ดีผู้หนึ่งเช่นเจ้าเหตุใดจึงทำสิ่งนี้ได้”
“ผู้ใดบอกเจ้าว่าข้าเป็นคุณชายตระกูลผู้ดี?” กงอิ้นเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “ชาวต้าฮวงล้วนรู้ว่าข้ามาจากตระกูลยากจนข้นแค้น”
“อ้อ” จิ่งเหิงปัวแอบชำเลืองมองเขา ในใจคิดว่าไอ้หน้ามนจากตระกูลยากจนข้นแค้นคนนี้อายุยังน้อย กลับไต่เต้าจนถึงตำแหน่งสูงอย่างทุกวันนี้ได้อย่างไร?
นางคิดอยู่เนิ่นนาน ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามา เข้าใจขึ้นมาโดยฉับพลันจนต้องปรบมือครั้งหนึ่ง
นี่ยังต้องคิดอีกเหรอ?
ก็เกาะผู้หญิงกินน่ะสิ!
ต้องเป็นเพราะราชินีองค์ก่อนถูกรูปโฉมงดงามของเขามอมเมา เพื่อเขาแล้วจึงขับขานลำนำทุกค่ำคืนจนไม่ออกว่าราชกิจยามเช้า กระทั่งส่งมอบอำนาจใหญ่โตในแคว้นให้เขา เขาจึงได้มีตำแหน่งเหมือนยึดอำนาจฮุบแคว้นในวันนี้…ในนิยายเขียนไว้แบบนี้แหละ!
อื้อหือ โฉมงามล่มแคว้นสินะ
จิ่งเหิงปัวคาดเดาเรียบร้อยแล้วก็ยืนงงงวยอยู่ชั่วครู่ ไม่รู้ว่าทำไมในใจคล้ายยังติดขัดอยู่บ้าง จนกระทั่งจมูกได้กลิ่นเหม็นไหม้สายหนึ่งจึงรู้สึกตัวขึ้นมา
“เฮ้ย! เจ้าย่างกระต่ายไหม้แล้ว!”
ยังดีที่ยังมีกระต่ายอีกตัวหนึ่ง จิ่งเหิงปัวหยิบเอามาย่างบนไฟอย่างเชี่ยวชาญ อีกทั้งควานคลำในพงหญ้าข้างเคียง สายตาทอประกายวูบทันทีกล่าวอย่างยินดีว่า “มีหญ้าเซียงเหมา[7]ด้วยแฮะ!”
หญ้าเซียงเหมาถือเป็นเครื่องปรุงรสสำหรับการปิ้งย่าง เป็นหนึ่งในเครื่องปรุงปิ้งย่างที่ชาวไทลื้อ[8]และชาวไทยชื่นชอบที่สุด แม้ว่าจิ่งเหิงปัวจะไม่รู้เรื่องการทำอาหารเลย แต่จากการขลุกอยู่กับเหวินเจินมานาน อีกทั้งนางแอบกินอาหารไปเยอะมาก อย่างน้อยยังต้องรู้เรื่องพวกนี้ นางเด็ดใบหญ้าเซียงเหมาเรียวบางนั้นมา ใบหญ้าชนิดนี้ส่งกลิ่นหอมดุจมะนาวเข้มข้นตามธรรมชาติชนิดหนึ่ง จิ่งเหิงปัวใช้หญ้าเซียงเหมามัดกระต่ายไว้แล้วย่างไฟอ่อน กลิ่นหอมมะนาวที่เป็นเอกลักษณ์อบอวลออกมา จมูกนางสูดกลิ่นอย่างตะกละตะกลาม แล้วกล่าวอย่างเสียดายเล็กน้อยว่า “เสียดายที่ไม่มีเกลือ…”
กงอิ้นมองท่าทางของนางอย่างเงียบเชียบมาโดยตลอด นัยน์ตาดำขลับใสสะสาดทอดยาวไกลคล้ายท้องฟ้าสว่างสะอาดบนยอดป่าไม้
“เหตุใดเจ้าจึงย่างกระต่ายเป็น”
“เหตุใดเจ้าจึงย่างกระต่ายไม่เป็น”
สองเสียงเปล่งออกมาเป็นเสียงเดียว จากนั้นสองคนล้วนปิดปากชะงักงัน มองกันและกันอีกครั้ง จิ่งเหิงปัวก็หัวเราะ “ฮึ!” ออกมาเสียงหนึ่ง กงอิ้นแม้ว่าไม่ได้หัวเราะ แต่สีหน้ากลับละมุนละไมขึ้นมาไม่น้อย
นี่ยังเป็นช่วงเวลาหนึ่งตั้งแต่พบกันมา ที่สองคนสามัคคีกลมเกลียวเข้าบรรยากาศกันที่สุด ไม่มีการเผชิญหน้าโต้เถียงเสียดแทงกัน แต่เกิดเป็นความรู้ใจเงียบเชียบ อากาศสงบเงียบจนแม้แต่แสงเพลิงยังมีท่วงท่าอ่อนโยน
จิ่งเหิงปัวพลิกย่างกระต่ายอยู่เช่นนั้น ใจคิดว่าไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม พอผ่านพ้นความเป็นความตายด้วยกันครั้งหนึ่ง ในที่สุดเจ้าคนนี้ก็มีความเป็นมนุษย์ขึ้นมาสักหน่อย
“เจ้า…”
“ข้า…”
เปล่งเสียงหนึ่งในเวลาเดียวกันอีกครั้ง สองคนชะงักไปอีกคราว
“เจ้าก่อน…”
“เจ้าก่อน…”
จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมาหน้าหงายหลังคว่ำ กระต่ายในมือเกือบทิ่มไปบนหน้ากงอิ้น กงอิ้นยื่นมือมาจับไว้ จ้องมองนางที่ยิ้มงามเฉินฉันจากนัยน์ตาจรดหางคิ้ว ในใจสะท้านน้อยๆ ขึ้นมาโดยพลัน
——