เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 39
- Home
- เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]
- เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 39
พอจิ่งเหิงปัวคิดว่าจะออกไปจากที่นี่ได้ก็ดีอกดีใจเป็นธรรมดา แต่ยังมีความผิดหวังเจือจางอยู่บ้าง วันเวลาที่เดินทางมาในป่าทึบนี้ นอกจากตอนเริ่มแรกที่พบเจอเสือดาวตัวหนึ่งภายหลังก็ไม่เกิดอะไรน่าหวาดเสียวขึ้น ทุกวันตอนเย็นกงอิ้นจะเลือกสถานที่ที่เหมาะแก่การนอนหลับสักแห่งให้นาง ส่วนตนเองก็พักผ่อนอยู่บริเวณใกล้เคียงทั้งเสื้อผ้าเต็มยศ บางครั้งแม้ว่านางมองไม่เห็นว่าเขาอยู่ที่ใด แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของเขา ในอากาศมีลมหายใจของเขาดำรงอยู่ ทั้งสงบเงียบและเยือกเย็นสุขุม ทอดยาวเชื่องช้า แผ่วเบาคล้ายบรรยากาศเงียบสงบที่ซ่อนเร้นนางไว้ชั้นหนึ่ง ด้วยเหตุนี้นางจึงหลับลึกหลับสนิทไร้ความฝันตลอดคืน
ยามตื่นนอนตอนเช้ามองจ้องยิ้มให้กันท่ามกลางแสงอรุณมัวสลัว แสงโปร่งในป่าไม้ดุจผ้าโปร่งเขียวขจี ทั้งเขาและนางรู้สึกว่ารอยยิ้มของอีกฝ่ายนั้นบริสุทธิ์สะท้านใจคน แม้ว่าหลังจากนั้นไม่นานนักจะเริ่มโต้เถียงกันด้วยวาจาเราะร้าย ทว่ายามอรุณรุ่งเพิ่งพ้นนิทรา ความนึกคิดรางเลือน อารมณ์ที่แสดงออกมากลางใจที่สว่างไสวชั่วครู่หนึ่งนั้นถึงเป็นสิ่งจริงแท้
นางค่อยๆ เรียนรู้การถลกหนังกระต่ายจากเขา จากแรกเริ่มที่ตะโกนโหวกเหวกด้วยความรังเกียจว่าสกปรกแลขยะแขยง จนในบัดนี้ทำเสร็จแคล่วคล่องเพียงนาทีเดียว เขาเองก็เรียนรู้การแยกแยะหญ้าเซียงเหมาและหาหญ้าหนิวจื้อ[1]เจอภายใต้การชี้นำของนาง สิ่งหลังนางมักเอ่ยว่ามีรสชาติของพิซซ่า ส่วนพิซซ่าคือสิ่งใดนั้นนางมิเอ่ยถึง เขาเองยิ้มแย้มทว่ามิเอ่ยวาจา…อย่างไรเสียการเดาสุ่มเรื่อยไปและดูจากสถานการณ์ที่เอ่ยวาจา ย่อมคาดเดาความหมายในวาจานางได้มากกว่าครึ่ง วาจามั่วซั่วไม่คล้ายผู้ใดของนางจึงเป็นฉากม่านหนึ่งซึ่งสว่างงามงดสดใสที่สุดในพงไพรนี้ เหตุใดจึงต้องสืบสาวราวเรื่องจนกระจ่างแจ้งด้วยเล่า?
วันนี้เดินทางถึงริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง เมื่อถึงที่นี่ลำธารน้อยนับไม่ถ้วนก่อนหน้าไหลรวมเป็นแม่น้ำไหลหลากรินหลั่งลงไป กงอิ้นมองดูทิศทางการไหลของแม่น้ำแล้วเอ่ยว่า “หากเดินทางพ้นแม่น้ำสายนี้ ก็คงจะออกไปจากที่นี่ได้แล้ว”
จิ่งเหิงปัวหายใจออกมายาวๆ เฮือกหนึ่งอย่างสบายใจ
กงอิ้นนำกวางโรบนบ่าลงมา มันคืออาหารของวันนี้ จิ่งเหิงปัวกลับนำหนังสัตว์กองหนึ่งบนบ่าลงมาปูบนพื้นยืดเหยียดขาเรียวยาวอย่างเหนื่อยล้า หนังสัตว์นี้ได้มาจากการที่กงอิ้นล่าสัตว์เก็บสะสมไว้ตลอดทาง ใช้ปูคลุมตอนกลางคืน หลีกเลี่ยงการถูกไอหนาวบนภูเขาซึมแทรกโจมตี ก่อนหน้านี้เขาเป็นคนแบกมาตลอด เริ่มตั้งแต่เมื่อวาน หญิงเกียจคร้านเช่นจิ่งเหิงปัวกลับตัวกลับใจกะทันหัน แย่งหนังสัตว์หลายผืนมาแบกไว้ ฉะนั้นท่าทางของนางตอนนี้คล้ายว่านอนแล้วนอนเลยไม่อยากขยับเขยื้อน
“มิได้เดินทางมากเท่าไร เหตุใดเจ้าจึงง่วงอีกแล้ว?” กงอิ้นขมวดคิ้วมองนาง
“เจ้านอนกรนเสียงดังจนข้านอนไม่หลับ”
“อ้อ?” กงอิ้นเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “ข้ากรนหรือไม่ข้าไม่รู้ ทว่าคิดแล้วข้าไม่อาจนอนละเมอเอ่ยวาจา ยิ่งไม่อาจตะโกนก้องยามวิกาลว่า ‘คุณโทมินจุนฉันรักคุณ คุณโทมินจุนรีบเข้านอนเถอะค่ะ’ โทมินจุนคือผู้ใดหรือ”
“เป็นไปได้อย่างไร!” จิ่งเหิงปัวลุกขึ้นพรวดพราดกล่าวอย่างตกตะลึงว่า “วาจาที่ข้าตะโกนน่าจะเป็น ‘โทมินจุนชิ คุณไม่ต้องอบอุ่นเป็นมิตรขนาดนี้ก็ได้ ฉันยังไม่ได้คิดให้ดีเลยค่ะ’!”
“โทมินจุนคือผู้ใด” กงอิ้นยังคงตามติดคำถามนี้อย่างยวดยิ่ง
“ข้าฝันถึงเขาหรือ? เหตุใดจึงจำไม่ได้” จิ่งเหิงปัวหงุดหงิดมากกล่าวว่า “โอ๊ย โอกาสดีงามครั้งยิ่งใหญ่ขนาดนี้…”
“โอกาสเช่นนี้ของเจ้ายังมีอีกมาก” กงอิ้นก่อไฟด้วยสีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์เอ่ยว่า “บางคราวเจ้ายังเอ่ยว่า ‘เบคแฮมคุณหล่อจัง หย่ากับวิคตอเรียเถอะ ฉันหุ่นดีกว่าเธอตั้งเยอะ!’ บางคราเจ้าเอ่ยว่า ‘โอปาขายาว ขาคุณยาวจัง ให้ฉันลูบคลำหน่อยได้ไหม?’ บางคราเจ้าเอ่ยว่า ‘เจวี่ยนฝู[2]ทำไมคุณยิ่งมองยิ่งหล่อล่ะ? มายิ้มให้พี่สักทีสิ’ บางคราเจ้าเอ่ยว่า ‘ว้าว! เสี่ยววา[3]! วาๆๆ วาๆ…’ ”
“ว้าว…” สายตาของจิ่งเหิงปัวเหม่อลอยกล่าวว่า “เรื่องนี้ก็ฝันถึงด้วยหรือ?”
กงอิ้นจ้องมองนางครู่ใหญ่ นางประคองดวงใจในดวงจิตล่องลอยหมื่นลี้นั้น ทั้งดีใจกับความฝันของตนเองและทั้งหงุดหงิดที่เหตุใดตนเองจึงจดจำความฝันเหล่านี้ไม่ได้ สีหน้าบนใบหน้าประเดี๋ยวดีใจประเดี๋ยวเศร้าซึม ประเดี๋ยวกลัดกลุ้มประเดี๋ยวโอ้อวด เปลี่ยนแปลงร้อยพันดาษดาจนคล้ายกระบอกสลับลาย น่าชมย่อมน่าชม ทว่าผู้จ้องมองเริ่มรู้สึกว่ากลัดกลุ้มเสียแล้ว
ผู้ด้อยปัญญายังมองรู้ว่าชั่วขณะนี้นางทัศนาจรอยู่ในมหาสมุทรแห่งชายงาม กงอิ้นเอย เฟยเฟยเอย เหยียลี่ว์ฉีเอย และต้าฮวงเอยล้วนยืนอยู่ชายขอบจนสิ้น
“ข้าถามเจ้าว่า…” สีหน้าของกงอิ้นออกสีเขียว เอ่ยถามอย่างเหลืออดเหลือทนว่า “โทมินจุนคือผู้ใด เบคแฮมคือผู้ใด โอปาขายาวคือผู้ใด เจวี่ยนฝูคือผู้ใด เสี่ยววาคือผู้ใด…”
“ล้วนเป็นพ่อรูปงาม…” สายตาของจิ่งเหิงปัวจับจ้องมองเหม่อ มือโบกไปมากลางอากาศราวกับเรียกวิญญาณพลางเอ่ยว่า “พ่อรูปงาม มาให้ข้าจัดการเสียดีๆ…”
กงอิ้นลุกขึ้นยืน กวางโรบนบ่าสะบัดออกมาชนกับบ่าของจิ่งเหิงปัว
สาวงามแซ่จิ่งผู้จิตใจล่องลอยล้มลงไปตามเสียงดังเพี้ยะเสียงหนึ่ง
นางนอนอ้าแผ่ขาสองข้างแลดูไม่เรียบร้อยอย่างมาก ปกติแล้วท่าทางแบบนี้ทั้งไม่สง่างามและน่าเกลียดอย่างยิ่ง แต่ซ่อนเร้นรูปร่างงดงามของนางไว้ไม่ได้ กลับจะยิ่งผุดเผยขาเรียวยาวข้อเท้าเรียวบางเอวราวรัดไว้ ทรวดทรงโค้งเว้างามอัศจรรย์ นางคล้ายไม่ได้รับรู้ว่าตนลักลอบโจมตีกงอิ้นแม้แต่น้อย พลิกเรือนร่างหันศีรษะครั้งหนึ่งยิ้มหวานอย่างเหม่อลอย ท่าทางยังคงกลัดกลุ้มว่าจะเลือกใครดี ระหว่างโทมินจุน อีมินโฮ เบคแฮม เจวี่ยนฝูหรือจงฮั่นเหลียง ตอนพลิกตัวกระโปรงกลับถลกขึ้นมา ขาเรียวยาวคล้ายซ่อนเร้นและคล้ายผลุบโผล่ ผิวพรรณผืนหนึ่งเกลี้ยงเกลาราวเทียนไขแลคล้ายหิมะขาวโพลนบนยอดผาห่างไกล
เฟยเฟยนั่งน่าเอ็นดูอยู่ด้านหนึ่ง ท่าทางเฉลียวฉลาดและท่าทีระมัดระวัง สีหน้าเรียบร้อยยิ่งนัก เพียงแต่นัยน์ตางามเพ่งไปในร่องขาไม่หยุดหย่อน
สายตาของกงอิ้นลอยผ่าน ลอยออกมา ลอยผ่านขาของนางอีกคราแล้วมองดูเฟยเฟย ครึ่งเค่อต่อมา เขาก็เดินผ่านไปข้างกายนาง พลางหอบเชื้อฟืนที่หามาได้กองหนึ่ง กิ่งไม้ก้านยาวห้อยลงมาเกี่ยวกระโปรงของจิ่งเหิงปัวไว้ ข้อมือกงอิ้นลากขึ้นเพียงครั้งก็พากระโปรงคลุมลงมาแล้ว
ยังมีกิ่งไม้มีหนามอีกกิ่งหนึ่งที่ร่วงลงมากระแทกลงบนหัวของเฟยเฟย
แม่นางแซ่จิ่งจอมสะเพร่าไม่ได้สังเกตเห็นการชิงไหวชิงพริบในชั่วครู่นี้เลยแม้แต่น้อย นางยังคงครุ่นคิดไปไกลโพ้นไม่จบสิ้น ถ้ารู้มาก่อนว่าตนเองมีความสามารถในการฝันถึงชายงาม ก่อนมาถึงที่นี่ควรจะพกรูปภาพชายงามมาเยอะกว่านี้ถึงจะถูก
นางนึกถึงปัญหาสำคัญได้ปัญหาหนึ่งในทันที เหยียลี่ว์ฉีกับกงอิ้นก็อยู่ในมาตรฐานชายงามของนาง แต่นางได้เคยฝันถึงพวกเขาบ้างไหมนะ? ได้ตะโกนพูดอะไรออกมาหรือเปล่า
แต่ดูจากสีหน้าอัปลักษณ์ ราวกับมีอาการวัยทองก่อนวัยอันควรของกงอิ้นแล้ว ดูท่าคงจะไม่มีหรอกมั้ง
อืม ที่เขาไม่ดีใจคงจะด้วยรู้สึกว่า เขาหล่อเหลาขนาดนี้ แต่ไม่อาจเข้าสู่ความฝันของนางได้สินะ นี่ทำลายความหยิ่งยโสและหยิ่งในศักดิ์ศรีของเขาอย่างมหาศาล พาให้พฤติกรรมของเขาผิดแผกไปจากปกติ
อืม ต้องใช่แน่นอน
พอจะเข้าใจได้ ยินยอมให้อภัย
พี่คือน้องนางใจกว้างคนหนึ่งนี่นะ
“มาถลกหนัง” กงอิ้นเรียกนางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จิ่งเหิงปัวรู้สึกไปเองว่าตนได้ทำเรื่องผิดพลาดเล็กน้อย คลานขึ้นไปถลกหนังของกวางโรอย่างกระตือรือร้นมาก หลังจากรับเฟยเฟยไว้ดูแล กงอิ้นเจ้าคนใจร้ายคนนี้ก็เอ่ยว่าเขาไม่ได้มีหน้าที่เลี้ยงดูซากของเสียสองตัว จิ่งเหิงปัวจำต้องอุทิศตนใช้แรงงาน งานจัดการซากสัตว์ถูกโยนให้นางโดยบังคับ เขามอบกริชคมกริบเล่มหนึ่งให้จิ่งเหิงปัวพร้อมสอนนางว่าลงมืออย่างไรด้วยมือตนเอง ซ้ำยังตรวจตราท่วงท่าของจิ่งเหิงปัว ขอให้จิ่งเหิงปัวต้องทำตามเงื่อนไขขั้นตอนของเขาอย่างเคร่งครัด มีครั้งหนึ่งจิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าวิธีที่เขาสอนนั้นยุ่งยากจึงจงใจอู้งานแต่ถูกเขาพบเข้า วันนั้นกงอิ้นจับพวกสัตว์ต่างๆ เช่น กระต่าย กวางโรและตัวฮวน[4] ทั้งหมดสามสิบตัว บังคับให้นางจัดการอยู่ทั้งวันหนึ่ง เมื่อถึงตอนเย็น แม้แต่ข้อมือนางก็ยังยกขึ้นไม่ได้ อาหารยังต้องให้กงอิ้นยัดเข้าไปในปากนาง
จิ่งเหิงปัวยืนหยัดคิดว่ากงอิ้นคือพวกโรคจิตหวาดระแวงคนหนึ่ง ท่าไม่ดีอาจจะราศีกันย์? ถ้าไม่ได้ทำตามลำดับขั้นตอนถูกต้อง เขาคงจะเป็นทุกข์เหมือนมีเหาทั่วร่างล่ะมั้ง?
นางกดกวางโรไว้อย่างเชี่ยวชาญ ข้อมือเดี๋ยวปาดเดี๋ยวขึ้น หมุนผ่านแนวโค้งเรียบลื่นและแปลกประหลาดหลายแนว เสียงดังฉับๆๆ ระลอกหนึ่งดังแผ่วเบา กระดูกแยกออกมาจากขนและหนังก่อน ปลายมีดหมุนอีกเพียงครั้ง หนังเต็มผืนผืนหนึ่งคว้านออกมาอย่างสมบูรณ์ ขั้นตอนทั้งหมดนี้ใช้เวลาไม่เกินหนึ่งนาที นายพรานที่เก่งกาจที่สุดมองแล้วยังต้องนึกว่านางอยู่ในพงไพรมายี่สิบปีแล้ว
ลึกไปในดวงตาของกงอิ้นเผยให้เห็นแววตาพอใจเล็กน้อย
“ข้าไปล้างมีดหน่อยแล้ว เดี๋ยวแวะไปปลดทุกข์นะ” จิ่งเหิงปัวพาดหนังสัตว์ไว้บนไหล่เดินลากขาไปทางแม่น้ำ
กงอิ้นหันกายใช้หญ้าเซียงเหมาห่อหุ้มกวางโรแล้วนำเกลือหินที่ตากแดดไว้เมื่อหลายวันก่อนออกมาทาจนทั่ว เฟยเฟยกระโดดเข้าไปในอ้อมแขนนาง
จิ่งเหิงปัวเลี้ยวโค้งครั้งหนึ่ง เข้าไปหลังต้นไม้ใหญ่ที่พอจะบดบังทัศนวิสัย แล้วคว้าหนังสัตว์บนหัวไหล่มาพลิกออกทันที ในนั้นคือวัตถุที่ใช้หนังสัตว์เย็บติดกันเป็นเส้นยาวเส้นหนึ่งต่อกันเป็นวงกลม ดูลักษณะคล้ายกับลำไส้ขนาดมหึมา
จิ่งเหิงปัวตบๆ ของสิ่งนั้น ท่าทางอ่อนเพลียจู่โจมเข้ามาจนกลั้นหาวครั้งหนึ่งไว้ไม่ได้ ของสิ่งนี้นางลับๆ ล่อๆ อดหลับอดนอนอยู่หลายคืนจึงทำออกมาได้
‘ลำไส้’ รูปร่างวงกลมปลายบนสุดเหลือรูสำหรับเป่าลมเเอาไว้ จิ่งเหิงปัวมองไปทางด้านนั้นอย่างกังวล พลางเขย่งเท้าเป่าลมไปในนั้นจนแก้มโป่ง เป่าไปสักพักใหญ่เกือบจะเป่าจนเจ็บหน้าท้องจึงฝืนเป่าของสิ่งนี้จนพองขึ้นมา ตอนนี้สามารถมองเห็นเค้าร่างสมบูรณ์ออกแล้ว…ห่วงยางหนังสัตว์
จิ่งเหิงปัวสวมห่วงยางบนเอวของตนเอง เขยิบเข้าไปกล่าวกับเฟยเฟยอย่างแผ่วเบาว่า “ยามนี้ เจ้าจะหาวิธีช่วยข้าหลบหนีได้หรือไม่”
…
ยามนี้แผ่นดินใหญ่ผืนนี้เข้าสู่กลางคิมหันต์แล้ว พระอาทิตย์สีแดงเพลิงทอประกายจากสุดปลายทิศตะวันออกของแคว้นต้าเยียนจวบจนถึงที่ราบสูงอวิ๋นเหลย ทว่าหยุดฝีก้าวที่หน้าบ่อน้ำเบื้องหลังที่ราบสูงอวิ๋นเหลยผืนหนึ่งนั้น บ่อน้ำสีดำไร้ขอบเขตตัดขาดสายตาและคล้ายตัดขาดแสงทิวา ต้าฮวงที่ลึกลับและอุดมสมบูรณ์สงบเงียบราวกำลังเฝ้ารอคอยอยู่ด้านหลังบ่อน้ำ
เมืองหลวงตี้เกอแห่งต้าฮวง นครายิ่งใหญ่อันดับแรกตั้งตระหง่านใจกลางแคว้น ชั่วยามนี้ปกคลุมด้วยบรรยากาศลึกลับ เบื้องลึกความเงียบสงบคลื่นใต้น้ำพวยพุ่งเคลื่อนไหวเสียงดังเลือนลั่น
ภายในเรือนพักขุนนางแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ผ้าม่านทึบหนักเงาผกาพุ่มหนา สายลมพัดมาจากผิวทะเลสาบถึงที่แห่งนี้วนเวียนแผ่วเบาไม่กล้าเร่งร้อน พื้นหินขัดสีหยกครามที่แสงพินิจคนได้สะท้อนเงาร่างองครักษ์ก้มหน้าเคร่งขรึม ทุกผู้คนสวมรองเท้าพื้นนุ่มเดินไปมา เดินฝีเท้าแผ่วเบากระชั้นดุจแมวเยื้องย่องท่ามความมืดมิดทีละตัว
เสียงสนทนาเบาบ้างดังบ้าง ดังขึ้นท่ามกลางเสียงกระทบของม่านมุกและหยกงาม
“พวกเขาหายสาบสูญไปในหุบเขาไร้นามเขตหลู่หนันภาคเหนือของแคว้นต้าเยียน จนบัดนี้ผ่านไปครึ่งเดือนกว่าแล้ว”
“หรือว่าพวกเขา…สิ้นชีพแล้ว?”
“เจ้าช่างกล้าคิด! ข้าว่า กงอิ้นเป็นถึงผู้ใด การลอบสังหารไม่กี่ครั้งนอกแคว้นจะทำให้เขาทิ้งชีวิตไว้ต่างแคว้นได้หรือ? ข้าดูแผนที่ภูเขาแม่น้ำของแคว้นต้าเยียน เทือกเขาผืนนั้นที่พวกเขาอยู่ทอดยาวกว้างใหญ่ ทว่าทางออกประชิดภาคเหนือของแคว้นต้าเยียนพอดี หากกงอิ้นเดินทางอย่างรวดเร็ว ไม่แน่ว่ายามนี้อาจจะเดินทางออกจากภูเขาใหญ่แล้ว เข้าใกล้อาณาเขตแคว้นต้าเยียนหรือเขตซีเอ้อ”
“น่าเสียดายนัก! โอกาสดีเยี่ยงนี้ เหยียลี่ว์ฉีและเผ่าจั๋นอวี่สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงมหาศาลปานนั้น ทว่ากลับหยุดยั้งไอ้เจ้ากงอิ้นนั่นไว้ไม่ได้ พาให้ผู้คนเสียดายยิ่งนัก!”
“ไม่เพียงเท่านี้ เหยียลี่ว์ฉียังถูกบีบบังคับให้แตกหักกับเผ่าจั๋นอวี่ กษัตริย์แห่งเผ่าจั๋นอวี่ปฏิญาณว่าหากเขาไม่สิ้นชีพก็ไม่ยอมเลิกรากำลังส่งคนตามสังหารเขา ไม่กี่วันก่อนต้าซือโค่ว[5]แห่งเผ่าจั๋นอวี่ยังฝากคนส่งยาสูตรลับของล้ำค่าของเผ่าให้ผู้ชราอย่างลับๆ ด้วยหวังจะผูกสัมพันธ์เป็นพันธมิตรกับผู้ชรา”
“เช่นนั้นท่านหมายความว่า…”
“คราแรกพวกข้าเคยให้คำมั่นสัญญาว่าไม่ล่วงเกินนายท่านแห่งตำหนักอวี้จ้าวชั่วนิรันด์ ยิ่งกว่านั้นสายสืบ ‘ใยแมงมุม’ ใต้บัญชากงอิ้นร้ายกาจยวดยิ่ง ฉะนั้นการเคลื่อนไหวเปิดเผยใดๆ พวกข้าย่อมไม่อาจทำได้”
“เวลาเปลี่ยนผ่านเรื่องราวเปลี่ยนผัน ตำหนักอวี้จ้าวยามนี้ยังถูกผู้อื่นบังคับครอบครองเปลี่ยนผู้เป็นนาย เหตุใดพวกข้าต้องยังปฏิบัติตามคำมั่นสัญญายามแรกเริ่ม อีกทั้งสิ่งใดเรียกว่ามิล่วงเกินชั่วนิรันด์ เรื่องที่พวกเรากระทำต่อพระองค์นั้นในยามนั้น…”
“หุบปาก!”
ภายในห้องเงียบสงบชั่วครู่ มีผู้ไอกระแอมขึ้นมาเสียงหนึ่ง
“เอ่ยถึงตรงนี้ มีข่าวดีเรื่องหนึ่งจะรายงานแก่ทุกท่านว่าตามหาราชินีองค์ใหม่เจอแล้ว”
“…เฮ้อ รู้ตั้งนานแล้ว นี่นับเป็นข่าวดีหรือ…”
“เรื่องนี้ย่อมไม่นับว่าเป็นข่าวดีแน่ ข้ายังเอ่ยไม่จบ ได้ยินว่ารูปโฉมของราชินีองค์ใหม่ยังคล้ายคลึงกับพระองค์ก่อนหลายส่วน”
“หา?”
“พวกเจ้าดูสิ เอ่ยว่ากลับชาติมาเกิดนี้ย่อมมีเหตุผลหลายส่วนจริงแท้” มีผู้หัวเราะเหอะๆ ขึ้นมาด้วยรื่นรมย์ยิ่งนัก พร้อมเอ่ยว่า “กงอิ้นกุมอำนาจใหญ่เพียงผู้เดียว หงายมือควบเมฆคว่ำมือคุมฝน ทว่าไม่ใช่ว่าเขาจะไม่มีจุดอ่อน หากเขารู้ความจริงในยามนั้น…”
“หากพวกเราตระเตรียมแต่เนิ่นๆ ตั้งใจบ่มเพาะราชินีองค์ใหม่…” มีผู้อมยิ้มเอ่ยสืบต่อว่า “บางคราในภายภาคหน้า ไม่ต้องให้พวกเราลงมือ ตำหนักอวี้จ้าวก็อาจระเบิดประกายไฟแห่งทะเลโลหิตออกมาเสียเอง”
“ย่อมได้!” คล้ายคนกลุ่มหนึ่งหัวเราะอย่างสบายอกสบายใจ
“ในเมื่อนางสืบทอดตำแหน่งของพระองค์นั้น ซ้ำยังสืบทอดรูปโฉมของนาง เช่นนั้นบุญคุณความแค้นยุ่งเหยิงพัวพันกันมิสิ้นของพระองค์ก่อน วางแผนเช่นไรก็เชิญนางสืบทอดต่อไป!”
“พวกเราก็เตรียมตนให้พร้อม ต้อนรับการมาถึงของราชินีองค์ใหม่ให้เต็มที่เถิด!”
——