เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 41.2
- Home
- เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]
- เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 41.2
“นี่มันอะไรกันเถ้าแก่เนี้ย?” จิ่งเหิงปัวกุมจมูกที่ถูกลวกจนแดง ปากถามฮูหยินที่เร่งร้อนเดินออกมา
ฮูหยินชะงักไปน้อยๆ จากนั้นก็ฟื้นคืนสีหน้าสุขุม ยิ้มแย้มพลางยกชามขึ้นมาเอ่ยว่า “ที่แห่งนี้ลมแรง อาจจะเป็นก้อนหินที่ลมพัดตกลงมา ถ้าอย่างนั้นข้าจะเปลี่ยนชามใหม่ให้แม่นางนะเจ้าคะ”
แม้ว่ารูปโฉมของฮูหยินนางนี้จะธรรมดา อายุอานามก็ไม่น้อย แต่ว่าน้ำเสียงกลับสดใสนุ่มนวล ท่าทีสุขุมเยือกเย็น อุปนิสัยสง่าผ่าเผยยวดยิ่ง ฟังนางเอ่ยวาจาด้วยเสียงนุ่มนวลอ่อนหวานขนาดนี้แล้ว จิ่งเหิงปัวก็ไม่กล้าจะไปทำให้นางลำบากใจ พยักหน้ามองนางยกชามเข้าไป ผ่านไปไม่นานก็ยกชามหนึ่งออกมาอีกครั้ง
“ข้าใส่วัตถุดิบและเคี่ยวให้แม่นางใหม่อีกครั้งจ้าค่ะ” นางยิ้มแย้มด้วยใจจริง
จิ่งเหิงปัวขอบใจนางแล้วยกชามขึ้นอีกครั้ง
เพี้ยะ!
จู่ๆ ก็มีวัตถุหนึ่งลอยมาตามแนวนอน อ้อมเอวของจิ่งเหิงปัวไปได้ ก่อนจะปะทะกับชามของจิ่งเหิงปัวดังเพี้ยะ
วัตถุนี้มีพลังสังหารยิ่งกว่าก้อนหินก่อนหน้านี้ ชามดังกร๊อบคราหนึ่งก็ร้าวไปครึ่งซีก น้ำแกงมันวาวสีแดงสาดรดบนกระโปรงของจิ่งเหิงปัว
ขนขาวตั้งชูชัน เฟยเฟยกระโดดออกไปหลบลี้น้ำแกงมันวาวที่บุกโจมตีได้ทันเวลา ในปากยังคาบซาลาเปาเนื้อก้อนหนึ่งไว้
จิ่งเหิงปัวกระโดดขึ้นมาสะบัดน้ำมันบนกระโปรงสุดชีวิต มือสั่นใจสะท้าน พบว่าสิ่งที่ปะทะกับชามครั้งนี้แม่งเป็นขี้หมาก้อนหนึ่ง
ลมพัดจนกระทั่งขี้หมามาถึงชามได้เลยเหรอ?
จิ่งเหิงปัวพุ่งออกไปจากเพิง กวาดสายตามองรอบด้าน บนถนนมีผู้คนเดินไปมา ทุกคนนั้นดูท่าทางน่าสงสัย ไม่มีใครที่ไม่ต้องสงสัยเลย
แสงขาวกะพริบวูบ เฟยเฟยกระโดดกลับมาดังสวบ ไม่มีซาลาเปาเนื้อในปาก นัยน์ตางามกลมโตสีม่วงเข้มยิ่งกลอกอย่างเชื่องช้าคล้ายดวงตาสองมิติ
จิ่งเหิงปัวถามมันว่า “พบเป้าหมายน่าสงสัยหรือไม่”
เฟยเฟยกะพริบตากลมใส่นางอย่างเชื่องช้า จิ่งเหิงปัวปากอ้าตาค้างมองเห็นมันล้วงซาลาเปาเนื้อก้อนหนึ่งจากในหางมาคาบไว้แล้วชี้ไปที่แผงซาลาเปาอีกครั้ง
จิ่งเหิงปัวได้แต่เบียดกายไปยังปากประตูแผงซาลาเปา ซื้อซาลาเปาลูกหนึ่งเพื่อติดสินบนสัตว์ประหลาดตัวน้อยตีสองหน้า จอมละโมบตัวนั้น เมื่อซาลาเปามาถึงกรงเล็บของสัตว์ประหลาดตัวน้อยก็หายไปแล้ว ไม่ต้องเดาจิ่งเหิงปัวก็รู้ว่ามันเก็บซาลาเปาเอาไว้ในหาง น่ามหัศจรรย์ที่ว่ามองภายนอกไม่เห็น แล้วซาลาเปาก็ไม่ได้ร่วงหล่น
จิ่งเหิงปัวนึกสาปแช่งอย่างชั่วร้ายอยู่ในใจว่าขอให้ซาลาเปาร้อนลวกรูทวารมัน ก่อนจะยิ้มตาหยีพลางถามเฟยเฟยว่า “พบอะไรไหมที่รัก”
เฟยเฟยประคองกินซาลาเปาแล้วเรอออกมาเสียงแผ่วเบา ลูบหน้าท้องแล้วสบสายตาที่เฝ้ารอคอยของจิ่งเหิงปัว พลางส่ายหัวให้นางอย่างน่ารักน่าชัง มุมปากพยักพเยิดขึ้นไป ดูไปดูมาใบหน้ายิ้มแย้มงดงามดุจมวลผกา
“ฉิบ!” จิ่งเหิงปัวสะบัดมือเพียงครั้งก็กลับมายังเพิง คนอื่นกินเสร็จกันนานแล้วกำลังมองนางไอ้คนดวงซวยคนนี้ จิ่งเหิงปัวเกาศีรษะกล่าวอย่างกลัดกลุ้มว่า “ดูท่าทางร้านนี้คงไม่ถูกกับข้า ข้าเปลี่ยนร้านกินก็แล้วกัน เถ้าแก่เนี้ยคิดเงิน”
“ทั้งหมดหกสิบเหรียญเจ้าค่ะ” ฮูหยินยิ้มแย้ม
จิ่งเหิงปัวยื่นมือไปลูบถุงเงิน ตอนที่พวกนางออกเดินทาง กงอิ้นก็อนุญาตให้ไปเก็บกวาดทรัพย์สินของมีค่า ชุ่ยเจี่ยเองช่วยจิ่งเหิงปัวเก็บถุงเงิน ชุ่ยเจี่ยที่พกถุงเงินติดกายตลอดเวลา เมื่อครู่จึงคืนให้จิ่งเหิงปัว
มือยื่นเข้าไปคล้ายจมลงไปในปลักโคลน ดึงออกมาไม่ได้แล้ว
สีหน้าบนใบหน้าของจิ่งเหิงปัวหลากหลายสีสัน
“ไอ้เวรเอ๊ย…” นางกล่าวเสียงเบาว่า “เช่นนี้เรียกว่าผีซ้ำด้ำพลอยหรือ?!”
“อะไรหรือ” ชุ่ยเจี่ยเห็นว่าผิดปกติจึงถามนางขึ้น
“ถุงเงินหายไปแล้ว” จิ่งเหิงปัวสายตาเลื่อนลอยลมหายใจขาดห้วง
ตอนซื้อซาลาเปาเมื่อครู่ก็ยังอยู่ บางทีคงจะเป็นตอนเบียดเสียดฝูงชนซื้อซาลาเปา ถูกหัวขโมยถือโอกาสหยิบฉวยติดมือไป
“ที่ข้ามี” ชุ่ยเจี่ยควานหาถุงเงินของตนเอง จิ้งอวิ๋นล้วงเงินเช่นกัน แต่จากนั้นสองคนล้วนหยุดมือแล้วมองหน้ากันและกัน
“เอ่อนี่…” จิ่งเหิงปัวมองสีหน้าของพวกนาง ก็พลันมีลางสังหรณ์ไม่ดีพวยพุ่งขึ้นในใจ จึงกล่าวเสียงเบาว่า “เงินของพวกเจ้าคงไม่ได้หายไปเหมือนกันใช่หรือไม่?”
สองคนพยักหน้างงงวย
จิ่งเหิงปัวตบศีรษะครั้งหนึ่งด้วยความหงุดหงิด เรื่องนี้แม่ง!
ตนเองเคยออกไปนอกเพิงจะเงินหายก็ไม่แปลก แต่ชุ่ยเจี่ยกับจิ้งอวิ๋นแทบจะไม่ได้ขยับแล้วเงินหายไปตอนไหน? เข้าเมืองเหรอ? ตอนเข้าเมืองเหรอ? หรือว่าก่อนหน้านั้น?
ไม่ว่าอย่างไรหากไม่มีเงินแล้วย่างก้าวเดียวยังลำบาก การคิดหาวิธีแก้ไขไปก่อนในตอนนี้สำคัญกว่า ยงเสวี่ยไม่มีเงินติดตัว ในกระเป๋าหนังของจิ่งเหิงปัวแม้ว่าจะมีของดีแต่ไม่อาจหยิบออกมาขายกินได้เรื่อยเปื่อย อีกทั้งนางเองก็เสียดายว่านี่น่ะเป็นดรรชนีทองคำของจริงที่ช่วยนางเผชิญโลกกว้าง จะมาขายมั่วซั่วที่เมืองเล็กริมชายแดนได้อย่างไร? จะมีคนที่ตาถึงหรือไม่ล้วนเป็นปัญหาทั้งนั้น
จิ่งเหิงปัวมองเถ้าแก่เนี้ยคราหนึ่ง นางกำลังยุ่งจึงหันหลังให้ทางนี้คล้ายไม่ได้สังเกตความผิดปกติของหลายคน
“ข้าจะไปหาวิธีหาเงินมาสักหน่อย” นางกล่าวกับจิ้งอวิ๋นเสียงแผ่วเบา เรียกเฟยเฟยหันกายเพียงครั้งออกมาจากเพิง
ยังดีที่เถ้าแก่เนี้ยกับเถ้าแก่มองไม่เห็น
จิ่งเหิงปัวถอนหายใจดังเฮ้อ ยืนอยู่บนถนนใหญ่กำลังครุ่นคิดว่าจะหาเงินอย่างไรดี พลันมองเห็นว่าไม่ไกลจากข้างหน้ามีเรือนแแห่งหนึ่ง ภายนอกเรียบง่ายไม่สะดุดตาแต่ใช้ธงสีแดงเลือดหมูตั้งเป็นอักษรว่า ‘พนัน’ ขนาดใหญ่มหึมา เช่นนั้นนัยน์ตาจึงอดที่จะสว่างวูบไม่ได้
การพนันได้เงินไวที่สุดแล้ว! ไม่ว่าจะไพ่นกกระจอก ไพโกว[1] ทอยลูกเต๋าหรือทายนับนิ้ว พี่เล่นได้เชี่ยวชาญทุกอย่าง!
เซียนไพ่นกกระจอกครุ่นคิดยิ้มตาหยี
แต่ในเมืองนี้บ่อนพนันคล้ายจะมีระดับเป็นพิเศษ โดยปกติแล้วน้อยนักที่บ่อนพนันจะตั้งป้ายออกมาอย่างเปิดเผย
จิ่งเหิงปัวก้าวเท้าไปทางบ่อนพนันนั้น ทว่าถูกขวางไว้ไกลๆ ที่ปากประตู กฎระเบียบแห่งแดนนี้มีอยู่ว่า สตรีและเด็กเล็กห้ามเข้าไปในบ่อนพนัน โดยเฉพาะสตรี
ว่ากันว่าคือธรรมเนียมของที่นี่ การเล่นพนันกับสตรีจะทำลายโชคลาภในการเล่นการพนันตลอดชาติ
จิ่งเหิงปัวถูกขวางกลับมา แต่นางไม่ได้สูญเสียกกำลังใจ เดินเตร่อยู่ในตรอกเล็กใกล้บ่อนพนันนั้น
มองเห็นไกลๆ ว่ามีผู้อ่อนวัยคนหนึ่งเดินเอนไปเอียงมาออกมาจากบ่อนพนันนั้น แล้วเดินเข้ามาในตรอกเล็กสายนี้ นางรีบตามเข้าไปขวางอยู่ด้านหน้าเขา
ผู้อ่อนวัยนั้นเมื่อถูกขวางทางจึงเงยหน้าอย่างรำคาญใจ กำลังจะตะคอกด่า แต่มองเห็นว่าเบื้องหน้ามีสตรีงามเพริศพริ้งนางหนึ่งโผล่มาก็อดจะนัยน์ตาสว่างวูบมิได้
“พี่ชาย ข้าขอตกลงกับท่านสักเรื่องสิ…” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้ม วางแขนไว้บนไหล่ของผู้อ่อนวัยนั้น เป่าลมหอมกรุ่นดุจดอกกล้วยไม้รดต้นคอของเขา พลางเกล่าวว่า“ข้าอยากยืม…”
เฟยเฟยวูบกายออกมาจากอีกด้านหนึ่งอย่างเงียบเชียบ เตรียมแสดงฝีมือ
วิญญาณของผู้อ่อนวัยนั้นเกือบจะลอยออกไปแล้ว ดวงตาเต็มไปด้วยนัยน์ตางามปานดอกท้อและริมฝีปากแดงฉ่ำของจิ่งเหิงปัว เขาหงายมือโอบเอวของจิ่งเหิงปัวไว้ในครั้งเดียว ทำหน้าหนายิ้มพลางเอ่ยว่า “แม่นางน้อยพราวเสน่ห์จากที่ใดกัน มาอยู่เป็นเพื่อนพี่ชายหรือ? ยามปกติพี่ชายไม่ได้ชอบเรื่องเช่นนี้นัก ทว่า เจ้าหรือ…อืม คืนหนึ่งคิดเท่าใด”
เพี้ยะ!
วันนี้จิ่งเหิงปัวก็ได้ยินเสียงนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว
สำหรับนางร่างกายนั้นตอบโต้ด้วยการถอยไปข้างหลัง ค่อยๆ หลบลี้ลมประหลาดอัศจรรย์สายหนึ่ง
จากนั้นนางก็มองเห็นลมประหลาดนั้นชนเข้ากับผู้อ่อนวัยดังเพี้ยะ จนเขาล้มลงแล้วม้วนผู้อ่อนวัยนั้นไว้กลิ้งไปตลอดทาง กลิ้งคลุกคลักชนเข้ากับมุมกำแพงเอย ก้อนหินเอย กองขี้วัวเอย บ่อเลนเอยมากมายไปตลอดทาง
“ไอ้เวรเอ๊ย! นี่มันอะไรกันวะเนี่ย” จิ่งเหิงปัวอมนิ้วมือไว้กล่าวกับเฟยเฟยที่จู่ๆ ม้วนหางขึ้นมาว่า “วันนี้ก่อนออกมาได้อ่านหนังสือโป๊หรือเปล่า เจอผีเข้าแล้วมั้งเนี่ย”
เฟยเฟยส่ายหางล้วงซาลาเปาครึ่งลูกออกมากิน
จิ่งเหิงปัวพลันมองเห็นว่าในตรอกมีเป้าหมายเพิ่มขึ้นมาอีกคน
ผู้อ่อนเยาว์ผิวคล้ำรูปร่างสูงคนหนึ่งก้มหน้าลงเล็กน้อยคล้ายร่ำสุราจนเมามาย เดินโซซัดโซเซเข้ามา
จิ่งเหิงปัวพยายามเข้าไปขวางไว้อย่างไม่ลดละ
นางไม่อยากปล้นจี้และไม่อยากใช้หน้าตาทำมาหากิน นางแค่อยากจะยืมเสื้อผ้าบุรุษจากเขาสักชุดเท่านั้นจริงๆ
“พี่ชาย…” นางยื้มแย้มตามเข้าไปยังไม่ทันเอ่ยปาก ผู้อ่อนเยาว์นั่นสั่นสะท้านสองครั้งร่างกายโน้มเอนไปด้านหน้า
พลั่ก!
ฝุ่นธุลีตลบอบอวล จิ่งเหิงปัวที่ถูกทับอยู่ข้างใต้ท่ามกลางละอองฝุ่นตลบอบอวลร้องไห้เสียแล้ว
“ฮือๆๆ วันนี้ทำไมมันซวยขนาดนี้วะ…”
ผู้ที่อยู่บนร่างกลิ่นสุราไม่รุนแรงแต่ตัวหนักมาก ทับนางไว้อย่างพอดิบพอดี แขนยาวคู่หนึ่งและปลายศอกดันคอหอยของนาง หากเขาใช้แรงอีกเล็กน้อยจิ่งเหิงปัวคงจะล้มหายตายจากได้เลย
“นี่! นี่ๆ ลุกขึ้นมา! ลุกขึ้นมาเร็วเข้า!” จิ่งเหิงปัวอยากตบหน้าเจ้าคนนี้แต่ยื่นมือไปไม่ถึง จึงได้แต่ตบหลังของเขา ใครจะรู้ว่าพอมือนางขยับ มือขวาที่ห้อยอยู่อีกด้านของชายขี้เมานั้นก็พลันแกว่งออกมาข้างหน้าเป็นวงกลม ฟาดลงบนใบหน้านางเบาๆ แขนที่เปื้อนเต็มไปด้วยฝุ่นร่วงลงเต็มหน้านางในทันใด
“ถุยๆๆ” จิ่งเหิงปัวถุยฝุ่นที่อยู่เต็มปากออกไป รู้สึกว่าสถานการณ์เช่นนี้คล้ายจะคุ้นเคยอยู่บ้างอย่างเลือนราง แต่เอียงคอนึกไปนึกมาก็นึกไม่ออก พอผลักเจ้าผู้นั้นอีกครั้ง ใครจะรู้ว่าเจ้าผู้นั้นพลันพลิกตัวครั้งหนึ่งบนร่างนาง มือและข้อศอกร่วงลงอีกครั้งบริเวณเอวของนาง นางถูกทับจนแทบหายใจไม่ออก สูดฝุ่นเต็มปากที่ถุยออกมากลับเข้าไปอีกครั้ง
จิ่งเหิงปัวยังไม่ทันได้ร้องเสียงดัง เจ้าคนผู้นั้นก็โซซัดโซเซคล้ายจะยืนขึ้น จิ่งเหิงปัวจิตใจเบิกบานเปี่ยมสุขกำลังจะคลานขึ้นมา เสียงพลั่กครั้งหนึ่งเจ้าผู้นั้นล้มลงอีกครั้ง แผ่นหลังทับอยู่บนหน้าอกนาง ท้ายทอยชนเข้ากับจมูกของนางพอดี จิ่งเหิงปัวรู้สึกเพียงว่าเบื้องหน้ามีเสียงดัง ฟึ่บ! ครั้งหนึ่ง ดอกไม้เพลิงปะทุโชติช่วง
ดวงดาวมากมายลอยเอยล่องเอย ดวงดาวน้อยเต็มทั่วผืนฟ้า…
เมื่อนางถูกทับไว้บนพื้นด้วยฝุ่นเปรอะทั่วร่างอีกครั้ง นางอยากร้องไห้จริงๆ แล้ว
วันนี้นางกวนใครแหย่ใครไปนะ!
มีแวบหนึ่งที่นางสงสัยว่ากงอิ้นกลั่นแกล้ง แต่ว่าเจ้าคนนี้หากอยากจะจับนาง เหตุใดต้องใช้ลูกไม้อะไรนี่ด้วย นี่ไม่เหมือนกับนิสัยของเขาเลย!
นางหยีตาขึ้นมาด้วยความสงสัย มองดูผู้อ่อนเยาว์นี้หัวจรดเท้า แต่ในมุมของนางมองไม่เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย สายตานางทอดลงบนฝุ่นละอองทั่วร่างของอีกฝ่ายแล้วส่ายหน้าปฏิเสธเสียเอง
มหาเทพดั่งยอดภูผา ดุจผกาเลิศล้ำดั่งเทือกเขาเหมันต์ สะอาดสะอ้านสูงส่งจนรังเกียจแม้แต่เกลือกกลิ้งม่านเมฆา แล้วจะยินยอมมาม้วนกายท่ามกลางเศษธุลีได้อย่างไร
ดีว่าหลังจากชายขี้เมานี้กระทำการโจมตีนางไม่หยุดแล้ว ในที่สุดก็เมาจนแน่นิ่งไม่ขยับเขยื้อน จิ่งเหิงปัวนอนอยู่ใต้ร่างเขาไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ผ่านไปเนิ่นนานจึงสูดหายใจเข้าดมกลิ่นสุราเบาบางและกลิ่นไอสดชื่นหอมกรุ่นประหลาดของเขาแล้วคลานขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ครั้งนี้ไม่กล้าเร่งร้อนค่อยๆ ถอดเสื้อคลุมของเขาออกมาในไม่กี่ครั้ง รีบเร่งพาดไว้บนไหล่ไม่กล้าหยุดชะงัก ลากเฟยเฟยได้ก็รีบวิ่งหนีราวกับเจอภูตพราย
ตรอกสงบเงียบเชียบหลังนางจากไป
ผ่านไปชั่วครู่ ใบไม้แห้งใบหนึ่งก็ร่วงหล่นจากบนกำแพง พัดม้วนครั้งหนึ่งแล้วลอยไปใกล้ชายขี้เมาผู้ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อยนั้น ทว่าใบไม้สลายหายไปกลางอากาศโดยพลันในชั่วครู่สุดท้ายที่เข้าใกล้ผู้นั้น
ชายขี้เมายันกายลุกนั่งแช่มช้า
เขายืดขาออก ข้อศอกวางอยู่บนหัวเข่า ขนตาหนายาวสยายลงมา ท่าทางงามสง่าตามใจตน ทว่าท่วงท่าเปี่ยมสมาธิใต้แสงผ่องอำไพยามพลบค่ำ
——