เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 50 - 3 เปลื้องผ้าเจ้า!
- Home
- เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]
- เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 50 - 3 เปลื้องผ้าเจ้า!
“ห้ามเสด็จโดยพลการ! เหอะๆ ห้ามเสด็จโดยพลการ!” จิ่งเหิงปัวกลิ้งไปมาในรถม้าอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง กล่าวว่า “พี่อยากไปไหนก็ไป อยากอยู่ไหนก็อยู่ เสแสร้งกับพี่ให้น้อยหน่อย!”
สตรีสามนางนั้นต่างเงียบกริบไม่ปริปาก…กับจิ่งเหิงปัวผู้ทำสิ่งใดไร้เหตุผลปรกติ หุบปากเสียดีกว่า
จิ่งเหิงปัวกลับไม่ยอมปล่อยพวกนางไป เอนกายถ่างแข้งถ่างขาในคันรถ ดวงตามองเพดานรถ กล่าวขึ้นมาเชื่องช้าว่า “พวกเจ้าว่า เหตุใดเขาต้องสังหารเด็กเผ่าหลิวหลีผู้นั้น”
เมื่อครู่เพลิงโทสะพุ่งขึ้นศีรษะ ลางสังหรณ์ของนางตัดสินว่ากงอิ้นจะสังหารกำจัดผู้อาจจะกลายเป็นกำลังช่วยเหลือนางทั้งหมด ขณะนี้ใจเย็นขึ้นมาสักหน่อยแล้ว นางเริ่มครุ่นคิดอีกครั้งว่ามีความเป็นไปได้อย่างอื่นหรือไม่ อย่างไรเสียแต่ไหนแต่ไรมากงอิ้นไม่ใช่คนป่าเถื่อนตามอำเภอใจ นางไม่เคยเห็นเขาสังหารผู้อื่นมั่วซั่ว
ข้อดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจิ่งเหิงปัวคือไม่สมองทึบทึมทื่อ แน่นอนว่า แท้จริงแล้วด้วยเพราะนางไม่ชอบใช้ความคิดไม่ชอบทรมานตนเอง แต่ว่าสิ่งที่นางเองยังไม่รู้สึกตัวคือ ทุกครั้งพบเจอเรื่องราวเกี่ยวกับกงอิ้น สมองของนางจะใช้ความคิดอย่างขยันขันแข็งขึ้นมา
บนใบหน้าของจิ้งอวิ๋นปรากฏสีหน้าหวาดกลัว นางส่ายศีรษะสะอึกสะอื้นเอ่ยว่า “ข้าไม่รู้…เด็กผู้นั้น…น่าสงสารยิ่งนัก…” เอ่ยไปเบ้าตาแดงเสียแล้ว
ในใจของจิ่งเหิงปัวสับสนวุ่นวาย ไม่อยากสนทนากับนาง เพียงเท้าศีรษะไว้
“ใส่ใจมากมายเช่นนั้นทำอะไรเล่า” ชุ่ยเจี่ยคล่องแคล่วปากไวเอ่ยว่า “บุรุษมีความคิดของบุรุษ ความคิดของบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ยิ่งซับซ้อน ทว่าต้าปัว นิสัยนี้ของเจ้าควรสำรวมเสียหน่อยหรือไม่ แม้เอ่ยว่าข้ารู้สึกว่านิสัยนี้ของเจ้าดียิ่งนัก ทว่าอย่างไรเสียต้าฮวงมิเฉกเช่นหอเฟิ่งไหลชี”
วาจานี้จิ่งเหิงปัวไม่ชอบฟัง กลอกตาขาวหันกายไปครั้งหนึ่ง
“ราชครูมิใช่ผู้เข่นฆ่าบ้าโลหิต” เด็กหญิงน้อยยงเสวี่ยผู้ไม่ชอบเอ่ยวาจาเอ่ยวาจาอย่างเหนือความคาดหมาย เสียงแผ่วเบาเอ่ยว่า “พี่ต้าปัวถามพวกเรา ยังมิสู้ไปถามราชครูด้วยตนเอง”
วาจานี้คล้ายเอ่ยไปถึงเบื้องลึกของหัวใจ ซ้ำยังคล้ายยากจะยอมรับแบบนั้นอยู่บ้าง จิ่งเหิงปัวร้องเฮอะเสียงหนึ่งลุกขึ้นนั่งมองดูข้างนอก แสงสายัณห์จมดิ่ง กองทัพกลับสู่ความปกติแล้ว พวกเขากำลังแสวงหาสถานที่เหมาะสมสำหรับตั้งค่ายและตระเตรียมค่อยเข้านครในวันพรุ่ง ราชินีมิอาจเข้าสู่นครตี้เกอยามค่ำคืน
สองทหารขาวดำครึ่งหนึ่งลาดตระเวนพิทักษ์อยู่ห่างไกล ทหารอีกครึ่งหนึ่งเอ่ยกันว่าไปไล่จับจารชนที่จับตัวตัวประกันพวกนั้นแล้ว องครักษ์ของหกแคว้นแปดชนเผ่าที่เหลือถูกรวมพลไว้ด้วยกัน แลคล้ายถูกปกป้องโดยองครักษ์ของกงอิ้นแต่แท้จริงแล้วถูกจับตามองเสียกึ่งหนึ่ง
ทุกสิ่งปกติอย่างยิ่ง แต่ความรู้สึกแปลกประหลาดก่อนหน้าแบบนั้นของจิ่งเหิงปัวกลับมาอีกแล้ว
ตัวประกันไปไหนแล้ว
ทำไมจารชนถึงรอดพ้นการไล่จับของทหารทัพใหญ่
ตอนตัวประกันถูกลักพาตัวจากไปเป็นตอนที่นางพุ่งไปทางกงอิ้นอย่างโกรธแค้นด้วยเพราะผู้อ่อนวัยเผ่าหลิวหลีนั้นถูกสังหารพอดี นางไม่ได้สังเกตสถานการณ์ของจารชนและตัวประกันด้วยเพราะเพลิงโทสะพุ่งขึ้นศีรษะ คนแบบกงอิ้นนั้น จะสะเพร่าด้วยเหตุนี้ได้อย่างไร
จิ่งเหิงปัวคลานขึ้นมาตบประตูรถ ตะโกนว่า “เอาข้าวมาเร็ว! ข้าหิวแล้ว! จะกินข้าว!”
อาหารเย็นส่งมาอย่างรวดเร็วยิ่ง องครักษ์ผู้ส่งอาหารมองราชินีอย่างแปลกใจและไม่พอใจยิ่งนักปราดหนึ่ง…ทางราชครูนั้นเพิ่งเอ่ยว่าไม่ทานอาหารเย็นแล้ว ท่านนี้กลับเจริญอาหารดีแท้
จิ่งเหิงปัวกินอาหารเสร็จอย่างรวดเร็ว ตอนกินทำกระโปรงสกปรกทำน้ำหกเลอะเปียกพรม เช่นนี้ชุ่ยเจี่ย จิ้งอวิ๋นและยงเสวี่ยจึงมีงานทำทั้งสามคน คนหนึ่งไปล้างจาน คนหนึ่งนำพรมออกไปผึ่ง อีกคนหนึ่งไปซักเสื้อผ้า
รอให้ทั้งสามคนจากไป จิ่งเหิงปัวเรียกหาเฟยเฟยเสียงหนึ่ง เรือนร่างกะพริบวูบหายไปแล้ว
หลังจากกะพริบครั้งหนึ่ง นางออกมาจากสถานที่ตั้งค่าย มองดูรอยเท้าและรอยกีบเท้าม้าบนพื้น
หลังจากกะพริบวูบอีกครั้ง นางมองเห็นก้นม้าสีขาวหิมะของหลงฉีที่อยู่เบื้องหน้า
เรื่องที่แปลกประหลาดคือ นี่ควรเป็นหลงฉีที่ไปไล่จับจารชนชิงตัวประกันกลับมา แม้รับผิดชอบภารกิจสำคัญเช่นนี้ ทหารเหล่านี้ไม่ได้มีท่าทีเครียดเคร่งเร่งรีบแม้แต่น้อย เชิดแส้ชี้ทิวทัศน์ เตร็ดเตร่เร่เยื้องกราย เอ่ยวาจาเริงสราญตลอดเส้นทางประหนึ่งไปย่ำวสันต์
เรื่องนี้เพิ่มเติมหลักฐานให้การคาดเดาของจิ่งเหิงปัวอีกครั้งอย่างไม่ต้องสงสัย
ทหารม้าเหล่านี้มิได้ส่งพลสอดแนมออกไปตามหารอบทิศทาง พวกเขามุ่งตรงไปเบื้องหน้าตามเส้นทางสายหนึ่งคล้ายมีจุดมุ่งหมายแต่เนิ่นนานแล้ว จิ่งเหิงปัวมองเห็นเส้นทางนั้นมีเพียงสายเดียว กะพริบกายต่อเนื่องหลายครั้ง ขยับไปจนถึงด้านหน้าที่สุดของกองทัพพวกเขา
นางถึงจุดหมายปลายทางแล้วจึงหันมองรอบด้าน อืม ด้านหน้าห่างไปไม่ไกลเป็นที่ลุ่มแห่งหนึ่งจริงด้วย มีบ้านผุพังหลายหลังคล้ายเป็นหมู่บ้านเขตภูเขาเล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งถูกทิ้งร้าง ในหมู่บ้านเขตภูเขามีเงาคนมากมายกำลังเคลื่อนไหว
นางมองดูอยู่ครู่หนึ่ง ระยะทางไกลไปหน่อย อีกทั้งด้านหน้าเป็นที่ราบกว้างใหญ่ไร้สิ่งกำบังผืนหนึ่ง ถ้าหายตัวไปไม่ไกลยืนอยู่ใจกลางที่ราบพอดี คนในหมู่บ้านคงมองเห็นในแวบเดียว รอให้มืดสนิทดีกว่ามั้ง
รอฟ้ามืดสนิทแล้ว นางจะลอบเข้าหมู่บ้าน ดูว่ากงอิ้นกำลังเล่นกลอะไรกันแน่!
ข้างกายมีต้นไม้ต้นหนึ่ง ลำต้นเตี้ยผอมบาง ใต้ต้นไม้มีพงหญ้าอ่อนนุ่ม นางเอนกายลงในพงหญ้าใต้ต้นไม้ เตรียมนอนหลับก่อนสักงีบอย่างสบายอกสบายใจ
เพิ่งหลับตาลง สิ่งของอะไรสักอย่างปลิวอยู่บนหน้าจนรู้สึกคันยุบยิบ นางลืมตาขึ้นยื่นมือไปไขว่คว้า มันคือใบไม้ใหญ่สีเขียวใบหนึ่ง
ดวงตาสองข้างของนางมองมันอย่างเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่งแล้วฉวยมือโยนทิ้ง หลังหลับตาลงสามวินาทีถึงกลิ้งเกลือกผุดลุกขึ้นมาทันที เงยหน้ามองดูต้นไม้นั้นโดยละเอียด
นางเก็บใบไม้ที่ร่วงหล่นขึ้นมาอีกครั้ง มองดูใบไม้ที่รอบขอบมีฟันเลื่อยใบนั้นโดยละเอียด
“อาฮ่าๆๆ ฮ่าๆ หาเจอแล้ว!” ดวงตาสองข้างของจิ่งเหิงปัวเปล่งประกายฉับพลัน หัวเราะใหญ่เสียงแผ่วเบา กอดใบไม้เกลือกกลิ้งไปมาบนพื้น กล่าวว่า “ข้ายังนึกว่าแผ่นดินที่นี่ไม่มีต้นไม้ชนิดนี้ อาฮ่าๆ ฮ่าๆ ที่แท้ยังมีนี่นา ฮ่าๆๆ ต่อไปคงไม่มีปัญหาอะไรอีกแล้ว!”
เฟยเฟยนั่งยองอยู่ด้านหนึ่ง มองดูสตรีที่เป็นบ้าโดยพลันนางนี้อย่างประหลาดใจ
จิ่งเหิงปัวระบายความยินดีไประลอกหนึ่งแล้วใช้ผ้าห่อใบไม้เอาไว้เก็บเข้าไปในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง หันหน้ากลับมามองดู
หลงฉีที่ไล่ตามมาหาที่นี่เจอแล้วแต่ว่าไม่ได้เข้ามาจนใกล้ จิ่งเหิงปัวสามารถมองเห็นร่างม้าสีขาวหิมะของพวกเขาเคลื่อนไหวเลือนรางอยู่ห่างไกล ดูแล้วไม่คล้ายมาไล่จับจารชนชิงตัวประกันกลับไปแต่คล้ายมาป้องกันอย่างลับๆ
ความสงสัยในใจของจิ่งเหิงปัว ยิ่งได้รับการพิสูจน์ยืนยัน
กงอิ้นเล่นละครไปฉากหนึ่ง
เพียงแต่จุดมุ่งหมายแท้จริงของการที่เขายุ่งยากเล่นละครฉากนี้คืออะไร นางยังเดาไม่ออกไปชั่วขณะ แต่ว่าขอเพียงกงอิ้นเล่นละครย่อมอธิบายว่าสภาพการณ์ทุกสิ่งในวันนี้ล้วนอยู่ในแผนการของเขาก่อนแล้ว ฉะนั้นความเป็นไปได้ที่องครักษ์น้อยนั้นถูกสังหารทั้งที่บริสุทธิ์จะน้อยมาก
เรื่องนี้ทำให้ในใจของนางหดหู่เล็กน้อยและผ่อนคลายเล็กน้อย ถอนหายใจยืดยาว
ว่างอยู่ไม่มีอะไรทำ ซ้ำยังอารมณ์ดีขึ้น นางล้วงยาทาเล็บออกมาเริ่มทาเล็บมือ วางขวดใบน้อยเจ็ดแปดขวดแถวหนึ่งในอ้อมแขนออกมา ต้องเลือกสีสันก่อน
เฟยเฟยมองเห็นขวดใบน้อยหลากหลายสีสันเปล่งประกายแสงเรืองนั้น ดวงตาสว่างวูบ โอบขวดสีทองขวดหนึ่งไว้ดังสวบแล้ววิ่งหนี
“เฮ้ยๆ เจ้าเด็กเลวนี่ เอาคืนมานะ!” จิ่งเหิงปัวจะคว้ากลับมา เฟยเฟยตีลังกาครั้งหนึ่งกลิ้งออกไปเกินสามจั้งแล้ว หางขนาดใหญ่สะบัดวูบหายไปแล้ว
“เด็กโง่ นี่ไม่ใช่อัญมณีสักหน่อย” จิ่งเหิงปัวอุบอิบเสียงหนึ่งแล้วช่างมัน เบนสมาธิไปทางเรื่องใหญ่จำเป็นเช่นเรื่องเลือกสีสันนี้แทน
“เฮ้อ สีไหนดีล่ะ วันนี้ข้าสวมชุดสีเหลืองผลซิ่ง จะทายาทาเล็บสีน้ำตาลดีหรือไม่ ไอ้หยาคล้ายดูแก่ไปหน่อย หรือว่าวันนี้ข้าขาวมากเป็นพิเศษ ทาสีม่วงซะเลย สีตัดกัน สว่างสดใส…” จิ่งเหิงปัวรวบขวดใบน้อยกองหนึ่งไว้บนกระโปรง เทียบไปเทียบมาอย่างต่อเนื่อง
“ข้ารู้สึกว่าทาสีแดงเหลือบทองขวดนี้น่าจะดี งามงดสดใสแลอบอุ่น เหมาะสมกับอุปนิสัยและริมฝีปากแดงฉ่ำของเจ้ายิ่งนัก” เสียงหนึ่งแนะนำข้างหูนางอย่างเชื่องช้าโดยพลัน มือเรียวยาวสะอาดสะอ้านข้างหนึ่งยื่นเข้ามา ฉวยมือยื่นยาทาเล็บสีแดงเหลือบทองขวดหนึ่งให้นาง
“เจ้าเอ่ยมามีเหตุผล สีนี้ดูแล้วไม่เลว…” จิ่งเหิงปัวรับยาทาเล็บมา พยักหน้าอย่างพอใจ ยื่นยาทาเล็บสีเขียวอีกขวดหนึ่งไปอย่างเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง พลางกล่าวว่า “ทว่าข้ารู้สึกว่าสีนี้ก็ไม่เลว เหลืองคู่เขียวให้ความรู้สึกสว่างสดใสเย็นสบายสดชื่นยิ่งนัก อ่อนช้อยประหนึ่งดอกโหยวไฉ่[1]ในท้องนายามวสันต์”
“ดอกโหยวไฉ่คือดอกไม้ใด ข้าไม่เคยรู้จักมาก่อน คิดดูแล้วคงงดงามยวดยิ่ง” เสียงสุภาพเรียบร้อยเปี่ยมมารยาทนั้นคล้ายมิอาจโต้แย้งผู้อื่นตลอดกาล ได้เพียงเสนอแนะอย่างอ่อนโยน เอ่ยว่า “ทว่าข้านึกว่า มีเพียงจินฝูหรง[2]ที่สวยสดงดงามที่สุดในต้าฮวง จึงอาจหาญเทียบเคียงความงามของเจ้า”
“อืม เจ้านี่ช่างเจรจาเสียจริง แน่นอนว่าทุกวาจาของเจ้าต่างเอ่ยได้ถูกต้อง” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มเบิกบาน กล่าวว่า “เฮ้อ มิเช่นนั้นสีนี้เถิด สีขาว! เจือประกายทอง! เทียบกระโปรงของข้าจะนุ่มนวลเพียงใดสูงส่งเพียงใด”
“สีนี้ก็ไม่เลว” อีกฝ่ายเพ่งพินิจอย่างจริงจัง ใต้หน้าผากเกลี้ยงเกลาสามารถมองเห็นปลายจมูกสูงโด่ง เขาเอ่ยว่า “จินตนาการได้ว่า หลังจากทาลงไปแล้วอิ่มเอิบเป็นธรรมชาติ ผสานเป็นหนึ่งเดียวยิ่งนักเป็นแน่”
เขาชื่นชมสีสันงดงามของยาทาเล็บเจื้อยแจ้ว พลางมองดูเล็บมืองดงามเช่นกันของจิ่งเหิงปัวอย่างชื่นชม แม้ว่าท่าทีสนใจไม่เบา ทว่าแววตากลับไม่เจือด้วยความสนิทชิดเชื้อ ทำให้ผู้คนรู้สึกเพียงว่านั่นคือการชื่นชมอย่างแท้จริง
“นั่นสิๆ” สถานที่ซึ่งอัตวิสัยเชิงบุรุษนิยมระบาดแบบนี้ยังได้พบกับผู้มหัศจรรย์ที่คุยเรื่องแต่งหน้าแต่งกายกับสตรีอย่างสนอกสนใจแบบนี้ จิ่งเหิงปัวคล้ายดีใจอย่างมาก ยิ้มจนดวงตาหยีกลายเป็นเส้นเดียว กล่าวว่า “หรือยังมีอีกความคิดหนึ่ง ทาทุกสี หลากหลายสีสันดั่งรุ้งกินน้ำ จะสวยงามเพียงใด!”
“อา…” ผู้มาเยือนหยีตาขึ้นมาดวงตาเช่นกัน ชื่นชมความคิดบรรเจิดเลิศล้ำของจิ่งเหิงปัวจนไม่หวาดไม่ไหว เอ่ยว่า “แม่นางเฉลียวฉลาดเหลือเกินโดยแท้! นี่เป็นความคิดดีงามยิ่งนักจริงแท้”
“จริงหรือ” จิ่งเหิงปัวชม้ายชายตา ยิ้มแย้มรวบยาทาเล็บไว้ด้วยกันวางไว้อีกทางหนึ่งในครั้งเดียว ลุกขึ้นตามอำเภอใจอย่างมาก พลางกล่าวว่า “เฮ้อ นั่งนานขนาดนี้ เมื่อยขาไปหมดแล้ว…”
“เช่นนั้น ให้ข้าประคองเจ้าเถิด” มือสะอาดสะอ้านข้างนั้นยื่นมาอย่างเอาใจโดยพลัน ประคองแขนของนางเอาไว้
เรือนร่างของจิ่งเหิงปัวแข็งทื่อเล็กน้อย จากนั้นยิ้มแย้มเริงร่าอีกครั้ง กล่าวว่า “ขอบใจนะ”
“มิต้องเกรงใจ” อีกฝ่ายนุ่มนวลจนคล้ายหยาดหยดน้ำออกมาได้ เอ่ยว่า “ได้กระทำเรื่องที่พอจะกระทำได้เพื่อนายหญิงน้อย เป็นบุญวาสนาของผู้ต่ำต้อย”
“นึกไม่ถึงว่าต้าฮวงยังมีสุภาพบุรุษเช่นเจ้านี้ด้วย…” จิ่งเหิงปัวอุทานชื่นชม ยืนมั่นคงแล้ว สองมือสีขาวหิมะยื่นออกมาเชื่องช้าตลอดทางจนถึงเบื้องหน้าเขา กะพริบดวงตา กล่าวว่า “เช่นนั้น เจ้าช่วยข้าทายาทาเล็บได้หรือไม่”
“ยินดีรับใช้” สุภาพบุรุษตอบอย่างสุภาพบุรุษยวดยิ่ง
ปากของจิ่งเหิงปัวบุ้ยไปทางยาทาเล็บบนพื้น กล่าวว่า “ทว่าข้าเมื่อยขาแล้ว ก้มหลังเก็บไม่ไหวทำอย่างไรดี…”
ริมฝีปากแดงฉ่ำเบ้ขึ้นมา เนตรแพรวแวววาว ความยั่วเย้าหลายส่วนความออดอ้อนเล็กน้อยหลายส่วน เสน่ห์ของสตรีสั่นไหวจนคล้ายจะทะลักล้นออกมาท่วมท้นผู้ให้ความช่วยเหลือเบื้องหน้าจนสิ้นชีพ
หากเป็นบุรุษย่อมมิอาจต้านทาน
สุภาพบุรุษโดยแท้ยิ้มแย้มเอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าช่วยเจ้าเก็บขึ้นมาย่อมได้”
เขาโค้งเอว
จิ่งเหิงปัวยกขาจะวิ่งหนี!
เรือนร่างเพิ่งขยับเขยื้อน ข้อเท้าเกร็งแน่นทันที นางก้มหน้าเชื่องช้ามองเห็นบุรุษที่โค้งกายคว้ายาทาเล็บขวดน้อยไว้เต็มมือ ทว่ามีนิ้วก้อยนิ้วหนึ่งจิ้มตรงข้อเท้าของนาง
เพียงจิ้มอย่างอ่อนโยนครั้งหนึ่งนี้ การหายตัวของนางไร้ผลเสียแล้ว
“ข้าหวังดีช่วยเจ้าเก็บ เจ้าอย่าได้หายตัวล่ะ” บุรุษเอ่ยอย่างนุ่มนวลอ่อนโยน
จิ่งเหิงปัวผู้แย้มยิ้มพริ้มพรายเสน่ห์ล้นเหลือหน้าเขียวเขี้ยวงอกในพริบตา
ไอ้เวรเอ้ย!
ไอ้ประหลาดตัวนี้โผล่ออกมาจากไหน
ตอนเพิ่งปรากฏตัวตกใจจนขวัญของนางหายไปครึ่งหนึ่ง…หนึ่งวินาทีก่อนหน้าเหลียวมองป่ารอบด้านยังไร้ผู้คน!
กว่าจะทำใจเต้นตึกตักให้สงบลงอย่างยากเย็น ต้อนรับขับสู้เขานานขนาดนี้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ด้วยเพราะนางนั่งอยู่ไร้หนทางหายตัว จำต้องยืดร่างกายขึ้นมาจึงจะหายตัวได้ ผลคือหาข้ออ้างยืนขึ้นมาจะวิ่งหนีแล้ว เขาดันเข้ามาประคอง พอหลอกเขาโค้งกายก้มเก็บจะวิ่งหนีแล้ว เขาดันจิ้มนางไว้
ไม่ต้องกล่าวยังรู้ว่า เตรียมตัวมา มีเจตนาแอบแฝง
“ไอ้เวรเอ้ย!” หน้ากากอ่อนหวานเปี่ยมเสน่ห์ถูกฉีกขาดในครั้งเดียว นางหน้านิ่วคิ้วขมวด กล่าวว่า “เจ้าเป็นใคร ผู้ใดส่งเจ้ามา เหยียลี่ว์ฉีใช่หรือไม่ เจ้าคิดจะทำอะไร”
บุรุษคงไว้ซึ่งท่วงท่ากึ่งนั่งยอง เก็บยาทาเล็บที่กลิ้งไปอีกด้านให้นางด้วยท่าทางอารมณ์ดี ด้านหนึ่งอมยิ้มเงยหน้าขึ้นมา
ตอนนี้จิ่งเหิงปัวเพิ่งมองเห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน
ใบหน้าที่นับว่างดงามใบหน้าหนึ่ง แตกต่างจากความลึกลับของเหยียลี่ว์ฉีและความเย็นชาของกงอิ้น ใบหน้านี้เค้าโครงนุ่มนวลไม่ผุดเผยมุมแหลม เส้นริมฝีปากอ่อนนุ่มเชิดขึ้นเล็กน้อย เจือด้วยความอ่อนโยนชื่นมื่นสามส่วนแม้ไม่แย้มยิ้ม ดวงตาโตยวดยิ่งและกลมดิกคล้ายนัยน์ตาของพระเอกการ์ตูนในโลกแห่งความจริงเล็กน้อย แต่ไม่ใช่คางแหลมที่ทิ่มผู้อื่นได้แบบนั้น ขากรรไกรล่างของเขาเกลี้ยงเกลาอิ่มเอิบ ผิวพรรณชุ่มชื้นเปล่งสีแดงอ่อน
หากกล่าวอย่างจริงจัง คนผู้นี้ไม่งามตะลึงพรึงเพริ้ดผู้คนเท่ามหาราชครูทั้งสองแน่นอน นับได้เพียงเป็นผู้ที่ค่อนข้างงดงามในหมู่คนธรรมดาแบบนั้น แต่เหนือกว่าตรงที่สนิทสนมน่ามอง ทำให้เกิดความรู้สึกดีตั้งแต่แรกพบ ถ้าสองมหาราชครูจะแข่งขันกับเขาจริง กลัวเพียงสตรีธรรมดาจะโถมสู่อ้อมกอดของเขาได้ง่ายยิ่งกว่า เหตุผลไม่ใช่สิ่งอื่น…สองราชครูงามเกินควร ไม่ติดดิน มองแล้วยากจะเก็บไว้ข้างกาย ตั้งเป็นตัวสำรองเสียดีกว่า
แน่นอนว่าตอนนี้จิ่งเหิงปัวไม่ได้รู้สึกดีแม้แต่น้อย ข้อเท้ายังถูกจิ้มไว้แน่ะ!
“ไม่มีผู้ใดส่งข้ามา” เขากะพริบตาเช่นกัน เอ่ยว่า “ข้าเพียงแต่อยากรู้จักราชินีภายภาคหน้าของพวกเราล่วงหน้าสักหน่อยเท่านั้น”
“บัดนี้เจ้าได้รู้จักแล้ว ไปได้แล้ว” จิ่งเหิงปัวย่อมไม่อยากให้ใครหน้าไหนโผล่เข้ามาสอดแทรกปัญหาใหม่ แต่เห็นแก่ใบหน้าหนึ่งซึ่งยังนับว่าเจริญตา น้ำเสียงนุ่มนวลเล็กน้อย
“โอ้ได้” เขากลับรับปากจริงๆ ขยับยาทาเล็บอย่างเสียดายเล็กน้อย เอ่ยว่า “ของสิ่งนี้ให้ข้าสักขวดได้หรือไม่”
เพื่อจะน้อมส่งเทพแห่งกาฬโรค จิ่งเหิงปัวจ้องมองยาทาเล็บกองหนึ่งไปมาอย่างเจ็บปวดใจ จึงฝืนใจกล่าวว่า “เช่นนั้นให้ขวดนั้นสีเขียวใบหญ้าแก่เจ้าย่อมได้”
ขวดนั้นคือขวดที่นางไม่ชอบที่สุด ปกติแล้วเรียกว่า “เขียวขี้เป็ด”
“ขอบใจนะ” เจ้าคนติดดินไม่ช่างเลือก นำขวดสอดเข้าไปในอ้อมแขนอย่างยินดีปรีดา
“ไปสิๆ” จิ่งเหิงปัวไล่เขาอีกครั้ง นางยังต้องไปสำรวจในหมู่บ้านนะ
“ข้ายังมีคำขอร้องน้อยๆ เรื่องหนึ่ง” เจ้าคนนั้นยิ้มแย้มอย่างสนิทสนม สนิทสนมจนเกือบจะกระดากอาย ยังชูหัวนิ้วก้อยนิ้วหนึ่งขึ้นมา เพื่อแสดงว่าคำขอร้องเล็กน้อยจริงๆ
“เอ่ยสิๆ” จิ่งเหิงปัวหวังเพียงให้เขารีบไสหัวไป
“เจ้าไปกับข้าได้หรือไม่” ใบหน้าของเจ้าคนนั้นแดงซ่านขึ้นมาโดยพลัน เอ่ยอย่างขวยอายเล็กน้อยว่า “เป็นภรรยาของข้าได้หรือไม่”
“…”
หลังจากสองวินาทีเสียงคำรามแหลมทะลุแก้วหูคนของจิ่งเหิงปัวตวาดว่า “เจ้าแกล้งข้าอีกแล้ว!”
“มิได้แกล้งเจ้า” บุรุษเอ่ยอย่างลำบากใจเล็กน้อย “เดิมทีข้าอยากมาเจอเจ้า มาดูว่าสิ่งที่อาจารย์เอ่ยไว้ถูกต้องหรือไม่ นึกไม่ถึงว่าเจ้าน่าสนุกเสียยิ่งกว่าที่ข้าคิดไว้ ข้าไม่สมรสกับเจ้าแล้วจะสมรสกับผู้ใด”
จิ่งเหิงปัวไม่คำรามแล้ว เท้าคางมองดูเจ้าคนนี้…ประสาทมั้ง บ้ากาม หน้าตาไม่เลวแฮะ เขาคงจับคนมาขอแต่งงานไปทั่วมั้ง ต้องให้เขาเต้นระบำงดงามดูเรือนร่างเขาไหมนะ
“เจ้าว่า” เจ้าคนนั้นเห็นนางไม่เอ่ยวาจา ยิ่งกระตือรือร้น “พวกเราสองคนเข้ากันได้ดีเพียงใด เจ้าอยู่ที่ต้าฮวงนี้ ยังหาบุรุษที่สนทนาภาษาเดียวกันเสียยิ่งกว่าข้าได้หรือ ภายภาคหน้ายังมีผู้ใดคุยเรื่องยาทาเล็บเรื่องแต่งกายเรื่องอาภรณ์เป็นเพื่อนเจ้าได้ ข้าเชี่ยวชาญสิ่งเหล่านี้ยวดยิ่งนัก เจ้าคิดดูสิ หลังจากพวกเราสมรสกัน บุรุษทำนา นารีทอผ้า สามีภรรยารักใคร่กลมเกลียว เจ้าแต่งหน้าข้าวาดคิ้ว เจ้าทาแป้งข้าลงน้ำมัน นี่จะเป็นทิวทัศน์งดงามอัศจรรย์มากเพียงใด”
“ผู้ใดจะเป็นบุรุษทำนา นารีทอผ้ากับเจ้า พี่เป็นราชินี จะต้องใช้ชีวิตลำบากยากแค้นเช่นนั้นหรือ” จิ่งเหิงปัวดูถูก กล่าวว่า “พอพี่ยื่นมือ ผู้คนฝูงใหญ่ต้องรอทายาทาเล็บให้พี่!”
นางสูดลมหายใจ นึกได้ทันทีว่ากงอิ้นจะอยู่ในหมู่ชนฝูงใหญ่นี้ไหมนะ อยู่มั้ง ไม่อยู่มั้ง อยู่มั้ง ไม่อยู่มั้ง…
“ที่แท้เจ้าสิ่งนี้เรียกว่ายาทาเล็บ” เจ้าคนนั้นเอ่ยอย่างยินดีปรีดา ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ กัดฟัน ล้วงยาทาเล็บขวดนั้นออกมาจากอ้อมแขนยื่นมาให้ปานตัดใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ เอ่ยว่า “ในเมื่อเอ่ยสู่ขอย่อมควรจะแสดงความจริงใจ เช่นนั้นสิ่งนี้ นับว่าเป็นของหมั้นที่ข้าให้เจ้าแล้วกัน!”