เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 55 - 2 งามตะลึงพรึงเพริดต้าฮวง
- Home
- เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]
- เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 55 - 2 งามตะลึงพรึงเพริดต้าฮวง
“ฝ่าบาท!” มีผู้ตะโกนอยู่ห่างไกลว่า “วาจาที่พระองค์ตรัสมามีเหตุผล วาจานี้อาจารย์พวกเราเคยเอ่ยไว้ด้วย ผู้มีความสามารถมากมายแห่งต้าฮวงต่างเคยเอ่ยไว้ อาจารย์ข้าเคยกระทั่งทดลองเพาะปลูกชนิดพันธุ์นอกเหนือจากนั้นที่บึงโคลนบางแห่ง ซ้ำยังเคยเลี้ยงปลา ทว่าปลารอดชีวิตได้ยากยิ่ง เคยลองปลูกผักก็ไม่ได้ผลเก็บเกี่ยวเพียงใด พระองค์มีสิ่งใดสามารถชี้แนะได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งเหิงปัวเงยหน้าขึ้น โอ้ เด็กหนุ่มผู้อยู่ห่างไกลนั้นใบหน้าขาวผ่อง ดวงตาเปล่งประกาย กำลังโบกมือให้นางสุดชีวิต นี่มันสุภาพบุรุษน้ำยาทาเล็บไม่ใช่เหรอ
ข้างกายเขายังมีพ่อรูปงามอีกหลายคน แต่ละคนมีเอกลักษณ์แตกต่างกัน มีผู้กอดอกชำเลืองนางอย่างเย็นชา มีผู้เท้าคางจ้องนางเขม็ง มีผู้กำลังกระโดดเหมือนกัน กระโดดสูงเสียยิ่งกว่าอีชี กระโดดไปพลางตบศีรษะของอีชีลงไปพลาง
เหอะ นี่มันศิษย์พี่ศิษย์น้องตัวเลขกลับตาลปัตรกลุ่มนั้นเหรอ
ตอนนี้จิ่งเหิงปัวมองเห็นคนคุ้นเคยพลันอารมณ์ดีอย่างยิ่ง โบกมือให้ด้านล่างด้วยใบหน้าเปล่งประกายเช่นกันพลางร้องว่า “ไฮ!”
“ไฮ!” ความสามารถในการเรียนรู้ของอีชีแข็งแกร่งอย่างยิ่งแต่ไหนแต่ไร
“ไฮ!” ความสามารถในการเรียนรู้ของเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องตัวเลขแข็งแกร่งยิ่งกว่า เสียงพร้อมเพรียงดังกังวานจากลำคอ ทำให้ราษฎรรอบทิศทางต่างตื่นตะลึง
จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มดุจมวลผกา
กงอิ้นที่เมื่อครู่กำลังอยากเอ่ยวาจาทว่าถูกเสียงไฮไปไฮมานั้นขัดจังหวะ ถ้วยชาในมือคล้ายเปล่งเสียงดังแก๊ก…
“ปลาพันธุ์อื่นเลี้ยงยากหรือ” จิ่งเหิงปัวตะโกนเสียงดังว่า “ต้องเลี้ยงปลาที่ค่อนข้างดุร้าย! จะให้ดีที่สุดต้องปลาเหนียน[1]! กินของเน่าเสียได้! ยังปรับปรุงบึงโคลนให้ดีขึ้นได้ด้วย!”
มหาปราชญ์เงยหน้าฉับพลัน ผิวหน้าชักเกร็งระลอกหนึ่ง ไม่ได้สนใจว่าข้างกายคือผู้ใด คว้าแขนเขาไว้ทั้งเร่งเร้าหลายเสียงต่อเนื่องว่า “เร็ว! รีบนำกระดาษพู่กันมาบันทึก!”
ผู้ที่ถูกคว้าไว้นั้นร้องโหยหวนถึงนภา รีบเอ่ยว่า “ท่านผู้ชราท่านผ่อนแรงหน่อย ผ่อนแรงก่อน!”
ไม่รอให้เขากำชับ กงอิ้นยืนขึ้นนานแล้ว กำชับขุนนางการเกษตรรีบเร่งสืบเท้าไปเบื้องหน้าด้วยตนเอง
“กินแต่ปลาคงมิอาจช่วยชีวิต” เฟยหลัวยิ้มเยือกเย็นเอ่ยว่า “อย่างมากเพียงสามารถช่วยเพิ่มการหาเลี้ยงชีพประเภทหนึ่งให้ผู้คนส่วนหนึ่ง มิเคยได้ยินว่าปลาสามารถเป็นธัญญาหารได้ อีกทั้งปลามากมายสุดท้ายแล้วยังคงไร้ประโยชน์ ซ้ำยังจะทำลายความสมดุลของตลาดที่เคยมีมาแต่เดิม”
ทุกคนพยักหน้า ผู้เข้าใจเศรษฐศาสตร์เล็กน้อยต่างเข้าใจหลักการนี้ การเพาะเลี้ยงชนิดพันธุ์เพียงชนิดเดียวจนมากมายมิใช่ข่าวดี
“ทำได้เพียงเลี้ยงปลาหรือ” อีชีถามปัญหาที่ทุกคนกังวลที่สุดออกมา
จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มเริงร่า นางทายถูกแล้ว ต้าฮวงมีผู้มีความสามารถที่มีแนวคิดเปิดกว้างอยู่จริงด้วย รู้ว่าบึงโคลนปลูกพืชไร่เกษตรไม่ได้ก็หันไปเพาะเลี้ยงชนิดพันธุ์นอกจากนั้น ทว่าชนิดพันธุ์ทั่วโลกมีมากมายขนาดนั้น หากไม่รู้ว่าชนิดไหนเหมาะสมชนิดไหนไม่เหมาะสมแล้วค่อยๆ ทดลองไปทีละชนิดละชนิด บางชนิดระยะเวลาเพาะเลี้ยงยังยาวนาน นั่นต้องเสียแรงกายแรงใจนานเท่าไร
สิ่งที่พวกเขาต้องการตอนนี้ก็คือการชี้แนะเท่านั้น บอกพวกเขาชนิดไหนเหมาะสม ภายหลังย่อมจะผันแปรกลายเป็นห่วงโซ่อาหารออกมา
“สิ่งที่สามารถปลูกได้มีมากมาย พวกเจ้าคิดจะนำบึงโคลนมาใช้เป็นที่ดินตลอดมา แนวคิดไม่ถูกต้อง แท้จริงแล้วควรใช้เป็นบ่อน้ำพิเศษ คล้ายว่าในเขตแดนต้าฮวงไม่ได้มีน่านน้ำมากมาย พวกเจ้าไม่คุ้นเคยกับผลิตภัณฑ์จากน้ำใช่หรือไม่”
“ต้าฮวงไม่นับว่ามีน่านน้ำน้อย ทว่าด้วยเพราะราษฎรค่อนข้างรวมศูนย์ อีกทั้งได้รับผลกระทบจากสภาวะแวดล้อม มีสัตว์น้ำดุร้ายมากมาย ราษฎรไม่กล้าเข้าใกล้โดยง่าย ฉะนั้นผลิตภัณฑ์จากน้ำน้อยยิ่งนัก ผลิตผลจากในน้ำก็ไร้ผู้คนกล้าลิ้มลอง” มหาปราชญ์ตอบกลับโดยพลัน เจ้าผู้ชราก็หลงลืมความโกรธเคืองจนเส้นเลือดปูดโปนเมื่อครู่แล้ว สีหน้าจริงจังอย่างยิ่ง
“ฉะนั้นพวกเจ้าคงพลาดพืชน้ำที่กินได้มากมายเป็นแน่” จิ่งเหิงปัวกล่าวว่า “ยามข้าเข้าสู่ต้าฮวง เคยพบว่าริมน้ำมีหลูเฮา[2] ทว่าคล้ายจะไม่มีผู้ใดเคยเด็ดไปเลย” นางนึกถึงกลิ่นหอมกรุ่นของหลูเฮาผัดเต้าหู้แห้ง เกือบจะน้ำลายไหลออกมา
“หลูเฮา สิ่งใดหรือ” มีผู้ถามโดยพลัน
แลมีผู้เอ่ยอย่างเข้าใจในฉับพลันว่า “ใช่หญ้าสีเขียวอ่อนชนิดนั้นหรือไม่ แลมีผู้อยากลองกินดูหน่อย ทว่าในน้ำมักมีสัตว์น้ำ ต่างเอ่ยว่าสิ่งเหล่านี้คือหญ้าพิษที่สัตว์น้ำเพาะปลูก ไม่มีผู้ใดกล้ากิน”
“ไม่เกี่ยวอะไรกับสัตว์น้ำเลยแม้แต่น้อย” จิ่งเหิงปัวกล่าวว่า “หลูเฮาเป็นเพียงพืชชนิดหนึ่ง ผืนบึงโคลนยังสามารถปลูกอันอ้อ[3] กระจับ[4]และรากบัว โอ้ รากบัวคือสิ่งที่เป็นปล้องๆ แบบนั้น รากบัวสามารถทำแป้งรากบัว ทั้งมีโภชนาการทั้งสามารถอิ่มท้อง”
ขุนนางการเกษตรจดบันทึกดังสวบสาบ กำชับผู้ใต้บัญชาไปพลางว่า “ตระเตรียมผืนบึงโคลนแห่งหนึ่งทดลองปลูกโดยพลัน!”
“ข้ายังเอ่ยไม่จบ” จิ่งเหิงปัวกล่าวว่า “บึงโคลนที่ซึ่งมีน้ำให้ปลูกหลูเฮา รากบัว กระจับ อันอ้อและเลี้ยงปลา ต้าฮวงคุณภาพดินไม่ดี พืชผักก็น้อย เช่นนี้บนโต๊ะอาหารยังมีผักเพิ่มมาหลายจาน บึงโคลนที่ซึ่งสามารถปล่อยน้ำออกจนแห้งให้เพาะปลูกต้นหม่อน ต้นหม่อนสามารถให้ลูกหม่อน ลูกหม่อนทั้งกินได้ทั้งใช้เป็นยาได้ ใบหม่อนทั้งเลี้ยงเป็ดไก่ได้ทั้งเลี้ยงไหมได้ ไหมที่เลี้ยงออกมาเอาไว้ทอผ้าได้ ขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ…”
คราวนี้ไม่เพียงแต่ขุนนางการเกษตรกำลังบันทึก ผู้คนส่วนใหญ่เริ่มสะบัดพู่กันจดบันทึก ผู้ที่ไม่มีพู่กันก็ท่องจำครุ่นคิดพึมพำกับตนเอง ผู้คนมากมายเบียดกันอยู่เบื้องล่างเวทีมากขึ้น เหล่าทหารก็หลงลืมรักษาการณ์ความเป็นระเบียบเรียบร้อยตามเดิม
ราษฎรถือว่าอาหารสำคัญเทียมฟ้า นี่คือเงื่อนไขพื้นฐานที่สุดของการดำรงชีวิต ไม่มีความดึงดูดใจใดที่ยิ่งใหญ่นอกเหนือกว่าสิ่งนี้แล้ว
พวกชุ่ยเจี่ยเบียดเสียดไปเบื้องล่างเวทีเช่นกัน มองจิ่งเหิงปัวอย่างเหลือเชื่อมากยิ่งขึ้น พวกนางอยู่ร่วมกันกับจิ่งเหิงปัวมานาน ภาพแห่งความทรงจำยิ่งลึกล้ำ ต่างรู้ว่านอกจากมีความสามารถพิเศษแล้ว นางไม่ชอบอ่านหนังสือและไม่ชอบครุ่นคิด กินดื่มเที่ยวเล่นกลับถนัดเชี่ยวชาญยิ่งนัก การทดสอบมากมายก่อนหน้านี้ตอบออกมาไม่ได้ถึงจะปกติ เพียงแต่ถอนใจว่าต้าปัวมีความกล้าหาญมากเกินไป รู้แน่ชัดว่าไร้ความสามารถยังจะลองดูสักครั้ง ยามนี้ฟังนางเอ่ยอย่างฉะฉาน รู้สึกเพียงว่าเบื้องหน้าคล้ายเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ชุ่ยเจี่ยเปี่ยมด้วยสีหน้าดีใจ ยงเสวี่ยกอดเจ้าหมาโง่ไว้ กระซิบกระซาบเพียงกับมันว่า “ฟ้าใกล้สว่างแล้ว!”
จิ้งอวิ๋นพิงกระเป๋าเงยหน้าอย่างมึนงง แสงอาทิตย์สาดส่องใบหน้าของนางจนขาวโพลนคล้ายดั่งหิมะ
“…ลูกหม่อนยังกลั่นเหล้าได้ กิ่งหม่อนเพาะเห็ดได้ บึงโคลนทั้งบึงจะกลายเป็นห่วงโซ่อาหารเพาะเลี้ยงห่วงหนึ่ง หากยินยอมล่ะก็ ยังสามารถสร้างเป็นสวนทัศนาจร ให้เหล่าเจ้าขุนมูลนายที่มีเงินแต่โง่ในเมืองเหล่านั้นมาสังสรรค์ยามคิมหันต์ ตกปลาใต้ต้นไม้ใหญ่สักหน่อย เก็บหม่อนในป่าหม่อนสักหน่อย ดึงใบบัวในบ่อปลาเก็บกระจับเอยอะไรเช่นนั้น แล้วกินอาหารชาวนาที่ทำจากสิ่งเติบโตในน้ำไร้สิ่งเจือปนมื้อหนึ่ง สามารถตั้งนามว่าว่าทุ่งสวนเขียวขจีเอย ออกซิเจนบาร์เอย…” จิ่งเหิงปัวพูดน้ำไหลไฟดับ
เหล่าเจ้าขุนมูลนายผู้มีเงินแต่โง่ผุดเผยสีหน้าแห่งจินตนาการ รู้สึกว่าทุ่งสวนเขียวขจีนี้ทำให้คนใฝ่หาโดยแท้
กงอิ้นหลับตาไม่เอ่ยวาจา คิดในใจอยู่ตรงนั้น นายทหารผู้หนึ่งข้างกายเขาดวงตาสองข้างเปล่งประกาย กระซิบอย่างรวดเร็วข้างหูเขาว่า “ยินดีด้วยราชครู! ราชินีทรงเป็นพหูสูต! นี่คือวิธีใช้บึงโคลนพื้นฐานที่สุด แม้ว่าสิ่งที่เพาะปลูกออกมาไม่ใช่ธัญญาหาร ทว่าขอเพียงมีผลผลิตย่อมแลกเป็นธัญญาหารได้เช่นกัน อย่างน้อยที่สุดบึงโคลนทิ้งร้างครึ่งใหญ่ในอาณาเขตต้าฮวงนั้นก็มีประโยชน์แล้ว ภาคใต้ของพวกเรามีบึงโคลนมากภาคเหนือมีบึงโคลนน้อย ต้าฮวงอาศัยภาคเหนือเป็นกำลังหลักในการจัดหาข้าวสาลีให้ ต้องการจนกระทั่งนำเพชรพลอยแลกธัญญาหารกับแคว้นน้อยหลายแคว้นข้างเคียง มักจะเสียเปรียบ ซ้ำยังทำให้เพชรพลอยลดมูลค่าลง ยามนี้ผลผลิตเพิ่มมากขึ้น สามารถใช้สิ่งของแลกเปลี่ยนได้ เพชรพลอยสามารถนำไปแลกเปลี่ยนยังแคว้นที่มีอัตราแลกเปลี่ยนสูงกว่า เช่น ต้าเยียน ตงถัง ไปแลกเอาอาชาอาวุธที่สำคัญยิ่งกว่า เช่นนี้พอคำนวณดูแล้ว ได้ประโยชน์ไม่สิ้นสุดเชียว…”
ตอนนี้จิ่งเหิงปัวกำลังกล่าวอย่างฉะฉานเช่นกัน
“ข้าได้ยินว่าพอพวกเจ้าเจอภัยแล้ง จะนำเพียงเพชรพลอยทองคำไปแลกธัญญาหารกับแคว้นน้อยข้างเคียง เช่นนี้เสียเปรียบได้ง่าย เพชรพลอยทองคำจะลดมูลค่าลงด้วย ในภายหลังสามารถนำผลผลิตแลกธัญญาหาร นำเพชรพลอยไปแลกสิ่งของที่มีมูลค่าสูงยิ่งกว่ากับแคว้นใหญ่หลายแคว้นนอกเหนือจากนั้น เพชรพลอยราคาสูงยิ่งนักในทุ่งหญ้าเอยต้าเยียนเอย…”
ใบหน้าสตรีผ่องอำไพใต้แสงอาทิตย์ ดวงเนตรแลคล้ายเพชรพลอยแวววาวสาดแสง นั่นคือแสงรุ่งโรจน์แห่งสติปัญญา สาดส่องขอบฟ้าทั้งแคว้นต้าฮวงให้สว่างรุ่งโรจน์
หลังจากวันนี้ ต้าฮวงจักชำระล้างแสงแห่งคุณธรรมครู่หนึ่งนี้ ผืนดินสีดำขมุกขมัวเปล่งประกายเขียวขจีแห่งชีวิตด้วยเพราะการมาถึงของสตรีนางหนึ่ง
เรื่องนี้จักเป็นบันทึกในยามหนึ่งของประวัติศาสตร์ต้าฮวง เจือด้วยลมหายใจงดงามและอวดตนซึ่งเป็นของจิ่งเหิงปัวเพียงผู้เดียว
มุมปากกงอิ้นผลิแย้มรอยยิ้มเจือจาง
นางน่ะ ยามปกติไม่โดดเด่น เผลอประเดี๋ยวพาผู้คนตื่นตะลึงเสียจริง…
สตรีที่แลคล้ายร่าเริง แท้จริงแล้วกลับซุกซ่อนความลึกลับและตื่นตะลึงดีใจนับมิถ้วนไว้นางนี้ คราวหน้าจะนำพาความรู้สึกสดชื่นอย่างไรมาให้เขาอีกหนอ