เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 13.3
นางรู้เลยว่าครู่ต่อมาน้ำวนลูกนี้จะต้องเริ่มก่อกวน ไม่แน่ว่าอาจจะบีบรัดปอดกับหัวใจของนางจนแหลกสลาย!
นางออกแรงรวบรวมลมปราณภายในร่างกาย พอรีบร้อนเร่งด่วนความสามารถก็มากล้นผิดปกติ ลมปราณที่เคยรวบรวมได้เพียงหย่อมเล็กหย่อมน้อยในยามปกติ ตอนนี้พลันโคจรอย่างมุทะลุดุดัน นางรู้สึกได้ว่าลมปราณที่ร้อนผ่าวและเปี่ยมพลังตรงตานเถียนกำลังย้อนศรขึ้นมา มุ่งตรงไล่ล่าระลอกคลื่น
ถ้าเป็นเวลาปกตินางคงดีใจจนแทบเสียสติ เพราะว่าเรื่องนี้อีชีเคยบอกนางไว้ สัญลักษณ์ของการมีกําลังภายในประกอบด้วยการทะลวงเส้นลมปราณและการโคจรลมปราณ พอมีขั้นหนึ่งนี้แล้ว ภายหลังเส้นลมปราณของนางจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าคนธรรมดา การฝึกฝนกําลังภายในอาจจะเป็นไปได้ แม้ช้ากว่ามาก แต่ก็สามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาหลายอย่างที่ใช้สิ่งนี้เป็นพื้นฐานได้
ทว่าตอนนี้นางไม่ทันได้ดีใจ เพราะว่าแม้รวบรวมได้แล้วแต่ตามไม่ทัน!
ระลอกคลื่นเวียนวน ก่อเกิดเป็นความเจ็บปวดรุนแรง!
คนที่อยู่ข้างกายพลันพลิกตัวอย่างแรงอีกครั้งหนึ่ง!
พลั่ก! ยามที่เจ้าผู้นั้นพลิกตัวชอบแกว่งแขนเสมือนกวัดแกว่งพลั่วใหญ่ขุดอุโมงค์ แขนกระแทกลงบน…หน้าอกของนางอย่างรุนแรง
สะเทือนครั้งเดียว กระเพื่อมไปสามระลอก
จิ่งเหิงปัวเจ็บจนแทบจะกรีดร้องออกมา
แขนของเจ้าคนนั้นทับบนหน้าอกของนางอย่างรุนแรง เรื่องสำคัญยิ่งกว่านั้นคือคราวนี้เขาไม่ได้ยกออกโดยพลัน ซ้ำยังทับไปทับมา
หากจิ่งเหิงปัวขยับเขยื้อนได้ นางต้องชักมีดสวนกลับอย่างไปแน่นอน
นางกำลังคลำหามีดอยู่ พอหามีดที่ร่วงหล่นบนผืนฟางก่อนหน้านี้เจอแล้ว กำลังจะคว้ามีดไว้เตรียมทิ่มออกไป จากนั้นพลันชะงัก…
ทำไมไม่เจ็บแล้ว?
พอระลอกคลื่นเวียนวน ขั้นต่อมาคือความเจ็บปวดรุนแรง ความเจ็บปวดรุนแรงล่ะ?
ยิ่งกว่านั้น ระลอกคลื่นตรงหน้าอกล่ะ? สลายไปตอนไหน
ไอ้เวรเอ๊ย! คงไม่ใช่ถูกเจ้าคนนี้กระแทกมั่วซั่วจนสลายไปอีกแล้วหรอกกระมัง?
นิ้วมือของจิ่งเหิงปัวแข็งทื่อ กริชร่วงหล่นลงบนกองฟางอีกครั้ง นางงงงวยครู่ใหญ่ รู้สึกว่าโลกนี้แฟนตาซีจริงแท้
นางครุ่นคิดปัญหาเกี่ยวกับความแฟนตาซีของโลกนี้อยู่สักพักใหญ่จนลืมไปเลยว่าแขนของเจ้าคนนั้นยังทับอยู่บนหน้าอกของนาง เรื่องสำคัญคือทับไว้แล้วสบายอย่างยิ่ง ความร้อนหอบหนึ่งทะลุผ่านร่างกายเข้ามา นางรู้สึกว่าระลอกคลื่นนั่นกำลังสูญสลาย
ไม่ใช่
น้ำวนน้อยกลุ่มนั้นภายในร่างกายถูกขัดขวางติดต่อกันจนกำลังจะสูญสลายจริงด้วย แต่เหมือนว่า…จะสลายเข้าสู่กลางเส้นลมปราณ
ทันใดนั้นเอง นางก็รู้สึกว่าแขนเหน็บชา
นางแอบร้องในใจว่าแย่แน่ พิษชนิดนี้เปลี่ยนแปลงเป้าหมายคล้ายมีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตนเอง หากสลายเข้าสู่แขนขาเส้นเลือด ตนเองคงต้องเป็นอัมพาตแล้วใช่หรือไม่?
นางอดจะมองดูเพื่อนร่วมผืนฟางข้างกายไม่ได้…นี่ นายจะพลิกตัวอีกสักครั้งได้ไหม?
เจ้าผู้นั้นไม่ได้พลิกตัว เพียงหลับตาลงพลางขยับเขยื้อนมาข้างหน้า แขนห้อยอยู่บนไหล่นาง ขาพาดมาข้างหน้าวางไว้บนขาของนาง โอบกอดนางไว้ในอ้อมแขนประหนึ่งกอดโคอาล่า
ทั้งร่างของจิ่งเหิงปัวขดงออยู่ ศีรษะอยู่ตรงหน้าอกเขา ได้กลิ่นหอมหญ้าเขียวเจือจางกับลมหายใจของบุรุษเบาบางที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของเขา นางรู้สึกกระวนกระวายทั่วร่าง…ตั้งแต่เกิดมาจนถึงบัดนี้ แท้จริงแล้วไม่เคยใกล้ชิดกับใครขนาดนี้มาก่อน
ความอบอุ่นของเขาทะลุผ่านผิวกายออกมา ถาโถมจนนางแทบจะหยุดหายใจ
นางคิดจะผลักเขาออก แต่รู้สึกว่าพิษนั่นกำลังโลดแล่นภายในร่างกาย แล่นถึงตรงไหนตรงนั้นพลันเหน็บชา แต่ไม่รู้ว่าความเหน็บชานั้นถูกอะไรขัดขวางเข้า มันสูญสลายไปในพริบตาอีกครั้ง ทั้งเดี๋ยวเหน็บชาเดี๋ยวผ่อนคลาย ทั้งเดี๋ยวผ่อนคลายเดี๋ยวเหน็บชาแบบนี้ รู้สึกว่าแปลกประหลาดประหนึ่งโดนไฟฟ้าช็อต ความรู้สึกเหมือนโดนไฟฟ้าช็อตนั้นลุกลามอย่างเชื่องช้า ตั้งแต่แขนขาสู่ภายในร่างกายจนถึงท้องส่วนล่าง ภายในร่างกายนางพลันคล้ายเกิดอาการคันยุบยิบเล็กน้อยและความร้อนผ่าวเบาบาง เหงื่อบางชั้นหนึ่งซึมออกมาจากบนหน้าผาก นางยิ่งไม่กล้าขยับเขยื้อนมาก
ไม่กล้าขยับเขยื้อน แต่ได้ยินเสียงหอบหายใจที่ควบคุมไม่ได้ของตนเองดังสะท้อนอย่างแผ่วเบาในห้องขังที่มืดครึ้มแห่งนี้ เสียงหายใจเชื้อเชิญดั่งพึมพำดั่งครวญครางดั่งไร้เดียงสา นางทั้งอับอายทั้งกลัดกลุ้ม อยากจะดิ้นรน อยากจะลุกขึ้น อยากจะหลบหนีจากอ้อมกอดนี้ไปให้ไกลโพ้นแต่ขยับเขยื้อนไม่ได้ ได้แต่ภาวนาให้เจ้าคนนี้นอนหลับอยู่จริง
นางเชิดสายตามองเขาอย่างกังวล ผู้ชายธรรมดากอดผู้หญิงคนหนึ่งไว้ พอได้สติขึ้นมาน่าจะพบว่าผิดปกติ โดยเฉพาะได้ยินเสียงหอบหายใจแบบนี้ หากผู้ชายธรรมดาพบว่านางเป็นผู้หญิง ตอนนี้น่าจะมีปฏิกิริยายาตอบสนองบ้างสักหน่อย…
เขายังคงนอนหลับอย่างเงียบสงบ ผิวกายที่โผล่พ้นผ้าคลุมหน้าซีดขาวเล็กน้อย ขนตาดกดำ
ดูท่าทางปกติมาก
นางโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย…ถ้าได้สติจะควบคุมตนเองแบบนี้ได้อย่างไร
ขนตางอนงามของนางกวาดผ่านผิวกายบริเวณลำคอของเขา นางหลบเลี่ยงเล็กน้อย พอเงยหน้ามองเห็นสีสันของผ้าคลุมบนหน้าเขาคล้ายเข้มขึ้นเล็กน้อย นางกำลังรู้สึกประหลาดใจ ขณะหลับสนิทแขนของเขาพลันยกขึ้นแล้วร่วงลงอย่างหนักหน่วง กระแทกบนไหล่ของนาง
หัวไหล่นางสั่นสะเทือน รู้สึกแค่ว่าภายในร่างกายคล้ายดัง พลั่ก! ปราณพิษที่โลดแล่นแบบนั้นในแขนขาระเบิดออกกะทันหัน ข้อต่อเส้นลมปราณนับไม่ถ้วนเจ็บปวดขึ้นมาทันที
“อ๊าก!” เรือนร่างนางสั่นสะท้าน
พลั่ก! เรือนร่างของเจ้าผู้นั้นถูกดีดออกไป กระเด็นออกจากกองฟางแล้วล้มลงบนพื้น
จิ่งเหิงปัวพยุงร่างครึ่งหนึ่งขึ้นมามองเขา เขาเกลือกกลิ้งแล้วลุกขึ้นมานั่ง สายตางงงวย
จิ่งเหิงปัวโล่งใจขึ้นมาบ้าง จากนั้นถึงรู้สึกตัวว่าตนเองขยับได้แล้ว เมื่อครู่นี้ปราณพิษในแขนขาระเบิดออกกะทันหัน คล้ายว่าพิษนั่นระเบิดออกไปแล้วไม่น้อย
แม้ขอบเขตในการขยับเขยื้อนไม่มาก แค่ลุกขึ้นได้เล็กน้อย แต่ไม่ว่าอย่างไรนับเป็นสัญญาณที่ดี
“เกิดเรื่องใดขึ้น” เขาคล้ายถูกรบกวนขณะหลับลึก ท่าทางหงุดหงิดสะลึมสะลือยิ่งนัก บ่นพึมพำด้วยเสียงอู้อี้
จิ่งเหิงปัวรู้สึกทันทีว่าเขาน่าจะอายุไม่มาก เล่ากันว่าอารมณ์ขณะเพิ่งตื่นนอนครู่หนึ่งนั้นไม่ได้เตรียมป้องกันและเป็นจริงที่สุด ความรู้สึกที่คนคนนี้มอบให้นางในครู่หนึ่งนี้คือไร้ซึ่งอันตราย
“สภาพยามนอนหลับของเจ้าน่าเกลียดยิ่งนัก” นางกล่าวว่า “น้ำลายไหล ส่งเสียงกรน ซ้ำยังกลิ้งไปกลิ้งมา กลิ้งจนตนเองตกลงไปแล้ว”
เจ้าคนนั้นเริ่มปัดฝุ่นบนอาภรณ์ ท่าทางอ่อนเพลียเป็นอย่างมาก คล้ายการนอนหลับไม่อาจทำให้เขาฟื้นคืนสภาพปกติ จิ่งเหิงปัวกลัวมากว่าเขาจะกลับมานอนอีก กำลังจะคิดหาวิธีปฏิเสธ พลันได้ยินคล้ายใต้ฝ่าเท้ามีเสียงดัง
นางชะงักงัน นึกขึ้นมาได้ว่าใต้เท้าคล้ายเป็นปากอุโมงค์ที่คนผู้นี้ปีนขึ้นมา
“เสียงใดกัน” นางอยากจะลุกขึ้นมามองดู
คนชุดดำเดินไปดู บนพื้นเป็นแผ่นศิลา แผ่นศิลาแผ่นหนึ่งถูกแงะออกแล้ว เขาชะโงกหน้ามองปราดเดียว จากนั้นเอ่ยว่า “ไม่มีอะไร แค่หนู” พลันวางแผ่นศิลาปิดข้างล่างดังพลั่ก
เมื่อแผ่นศิลาปิดสนิท จิ่งเหิงปัวก็รู้สึกว่าตนเองคล้ายได้ยินเสียงกลิ้งดังขลุกขลักจากข้างล่างแผ่นศิลา เสียงขยับค่อนข้างดัง ไม่เหมือนเสียงที่จะเกิดจากหนูได้
นางยังคงชะโงกหน้าอยู่ เจ้าคนนั้นมองดูนาง ก่อนจะกระแทกก้นนั่งลงบนแผ่นศิลาแล้วเริ่มปรับปราณเสียเลย
นางได้แต่คิดว่าช่างเถอะอย่างหดหู่
ข้างใต้แผ่นศิลา
เหยียลี่ว์ฉีถลึงตามองข้างบนอย่างโกรธเคือง
เขาตามมาถึงคุกแห่งนี้ตั้งนานแล้ว เสียเวลาไปบ้างก็เพราะมัวหายาที่ควบคุมเฮยชือได้ หลังจากได้ยามาแล้วเขาก็เตรียมจะลงไปจากหน้าต่างบนหลังคา พาจิ่งเหิงปัวหลบหนีก่อน ทว่าวันนี้คุกสวรรค์ที่มองไม่เห็นผู้คนในยามปกติคุ้มกันเข้มงวดยิ่งนัก เขายังไม่ทันได้ขึ้นหลังคาคุกก็ถูกพบเข้า หลังจากนั้นเขาเปลี่ยนทิศทางมาสำรวจบริเวณโดยรอบคุกสวรรค์ พบเจออุโมงค์ที่ไม่สะดุดตาแห่งหนึ่ง ดูจากตำแหน่งแล้วเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเป็นเส้นทางสู่คุกสวรรค์ เขาจึงมุดเข้ามาตามทางเสียเลย แม้แยกแยะทิศทางใต้ดินไม่ได้ แต่ยังรู้สึกได้ว่าตนเองคาดการณ์ได้ถูกต้อง พอมองเห็นแผ่นศิลาเหนือศีรษะเขาก็ยิ่งดีใจมากขึ้น…เป็นไปได้ว่าจะเป็นพื้นคุกสวรรค์ ผู้ใดจะรู้ว่ามาช้าเพียงก้าวเดียว แผ่นศิลาพลันปิดลงเสียแล้ว
เหยียลี่ว์ฉีหันกายกลางอุโมงค์อย่างระมัดระวัง กระทำท่วงท่าป้องกันเตรียมพร้อม ตามปกติแล้ว หากอุโมงค์ถูกพบเข้า คนที่อยู่ข้างบนน่าจะลงมือจัดการเขา
รอคอยอยู่เนิ่นนานแต่ยังไม่มีการเคลื่อนไหว คนข้างบนคล้ายเพียงอยากปิดปากอุโมงค์เท่านั้น
เหยียลี่ว์ฉีกลับรู้สึกว่าผิดปกติ จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงดังพลั่กจากข้างบน คล้ายมีคนนั่งทับแล้ว
เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ล้วงสิ่งของจำพวกหญ้าแห้งออกมาจากในอ้อมแขน ใช้กระบอกเชื้อไฟจุดไฟ หญ้านั้นลุกไหม้อย่างเชื่องช้า จนส่งกลิ่นแปลกประหลาดหอบหนึ่งออกมา เหยียลี่ว์ฉีเล็งรอยแตกที่เหลืออยู่หลังจากแผ่นศิลาข้างบนถูกแงะออก สอดหญ้าเข้าไปครึ่งต้น เปลวไฟที่กำลังลุกไหม้ติดอยู่ในซอกหิน ตรวจสอบจนแน่ใจเปลวไฟไม่โผล่พ้นพื้น จะได้ไม่ถูกขยี้จนมอดดับ
จิ่งเหิงปัวที่อยู่ข้างบนสูดจมูกกะทันหัน กล่าวว่า “กลิ่นใดกัน”
ภายในอากาศคล้ายมีกลิ่นเจือจาง บอกไม่ถูกว่าหอมสดชื่นหรือเหม็น ดมแล้วก็ไม่มีความรู้สึกอะไร
“หืม?” เจ้าคนที่นั่งขัดสมาธิเข้าฌานผู้นั้นคล้ายไม่ได้ยินเสียงใดไม่ได้กลิ่นใดเลย
ครู่ต่อมาจิ่งเหิงปัวมองพื้นแวบหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ หลุดปาก “กรี๊ด” ออกมา ก่อนจะร้องขึ้นว่า “งู!”
สายยาวดำขลับเส้นหนึ่งบนพื้น พอมองแล้วยังนึกว่างู เมื่อมองอีกครั้งที่แท้เป็นมดดำกลุ่มใหญ่ที่เดินคดเคี้ยววกวนพุ่งเข้ามาจากนอกประตูห้องขัง
ข้างหลังมดคือตะขาบ ข้างหลังตะขาบคือหนู ข้างหลังหนูคืองู…จิ่งเหิงปัวมองดูมดหนูงูแมลงไม่รุกรานซึ่งกันและกันอย่างตื่นตะลึง เข้าแถวเรียงราย มุ่งหน้าไปยัง…ใต้เสื้อคลุมยาวของเจ้าคนที่นั่งสมาธิคนนั้น…
“เอ่อ” นางชี้ไปยังเจ้าคนนั้นอย่างงงงวย เขาคล้ายยังนั่งสมาธิอยู่ ดวงตาปิดสนิท นางร้องว่า “นั่นน่ะ…”
“หืม?” เขาเอ่ย
“นั่นน่ะ…” จิ่งเหิงปัวกัดนิ้ว มองมดเดินเข้าไปแล้ว ตะขาบเดินเข้าไปแล้ว…
“หืม?” เขาลืมตาขึ้น ฝ่ามือพลันกดลงข้างล่าง
แผ่นศิลาใต้ร่างกายจมลงหนึ่งชุ่น หญ้าที่ลุกไหม้โผล่เปลวไฟออกมา
นิ้วมือของเขาคีบหญ้าออกมาอย่างแผ่วเบา มดเอยตะขาบเอยเหล่านั้นพลันเปลี่ยนทิศทาง มุ่งตรงไปยังหญ้าต้นนั้น
เขาไม่ลังเลแม้แต่น้อย ลุกขึ้นยืน นิ้วมือวาดวงกลมวงหนึ่งบนแผ่นศิลา หินก้อนหนึ่งร่วงลงบนฝ่ามือของเขาอย่างเงียบเชียบ ผุดเผยปากอุโมงค์
จากนั้นเขาก็โยนต้นหญ้าที่กำลังลุกไหม้ลงไปในอุโมงค์อย่างรวดเร็ว
มดงูแมลงพลันเปลี่ยนทิศทางอีกครั้ง ลงไปตามปากอุโมงค์นั่น