เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 18.3
เหยียลี่ว์ฉีไม่ได้ตอบคำถามของจิ่งเหิงปัว เขาเริ่มค้นหาตรงส่วนฐานของกำแพงเมืองอย่างรวดเร็วรอบหนึ่งก่อน ยามที่ลุกขึ้นนั้นสายตาฉายแววผิดหวัง
“ท่านพี่ไม่ได้ทิ้งเครื่องหมายไว้” เขาถอนใจพลางเอ่ยว่า “แต่ก่อนนางจะพยายามทิ้งเครื่องหมายไว้ที่สถานที่จำพวกประตูเมืองเหล่านี้ ยามนี้ดูท่าทางแล้ว คราวนี้ตระกูลเคลื่อนพลเป็นจำนวนมาก นางไม่มีโอกาสเลยแม้แต่น้อย”
ถ้าใหญ่เท่าเมืองเมืองหนึ่ง จะหาคนเจอได้อย่างไร?
“คนตระกูลเหยียลี่ว์มีนิสัยอย่างหนึ่ง” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยว่า “พวกเขาชื่นชอบความหรูหรา ชื่นชอบความฟุ่มเฟือย ชื่นชอบคบค้าสมาคมกับขุนนาง ซ้ำยังพยายามพักอาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียงสถานที่ที่มีพลทหาร ไม่ชื่นชอบย่านการค้า ฉะนั้นเขตราษฎรยากจน ชนบทชานเมือง บริเวณโดยรอบตลาด ตัดออกไปได้เลย”
“บิงโก!” จิ่งเหิงปัวปรบมือครั้งหนึ่ง มีขอบเขตขนาดนี้ ก็หาง่ายขึ้นเยอะเลย
ปลุกทหารนายหนึ่งขึ้นมา ซักถามขอบเขตที่มีเงื่อนไขข้างต้นครบทุกประการจนแน่ชัดแล้ว น่าจะเป็นบริเวณใกล้เคียงถนนหวาเหยียน ตรงนั้นเป็นเขตที่พักอาศัยของขุนนาง อยู่ใกล้สำนักเป่ยซิน บริเวณใกล้เคียงมีทหารจินหลินซึ่งเป็นทหารอารักขาท้องถิ่นของเผ่าหวงจินตั้งมั่นรักษาการณ์
ระดับความยากเพิ่มขึ้น ทว่าไม่มีผู้ใดลังเลด้วยเพราะเรื่องนี้
เรื่องราวเร่งด่วน ไม่มีเวลาให้ลังเล
ครู่ต่อมาก็มาถึงที่ถนนหวาเหยียน พอจิ่งเหิงปัวมองเห็นถนนนั้นแล้วก็ตกตะลึง…ทุกหลังเป็นสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ที่เรียงซ้อนกันแน่นขนัด บ้านเรือนทอดยาวครอบครองพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล ถนนทั้งสายยาวเหยียดสง่างามอย่างยิ่ง จำนวนทั้งหมดหลายสิบหลัง คราวนี้ถ้าต้องหายตัวตรวจดูทุกหลังรอบหนึ่ง พอเกือบครบแล้วน่าจะรุ่งสางพอดี
เหยียลี่ว์ฉีเงยหน้าขึ้นโดยพลัน
ท่ามกลางสายลมหิมะเลือนราง คล้ายมีโคมไฟริบหรี่ดวงหนึ่ง
โคมไฟเป็นสีขาว แสงไฟเหลืองอ่อน ช่วงปีใหม่เช่นนี้โคมแดงเฉลิมฉลองทั่วนคร โคมขาวดวงนี้จึงสะดุดตายิ่งนัก
โคมไฟน่าจะเป็นโคมลอย ไม่รู้ว่าปล่อยออกไปไม่ได้ด้วยเพราะเหตุใด ค้างเติ่งอยู่บนต้นไม้
เหยียลี่ว์ฉีถอนหายใจออกมายืดยาว
“อยู่ที่ใด” จิ่งเหิงปัวถามทันทีว่า “สิ่งนี้เป็นสัญญาณลับของพวกเจ้าหรือ”
“ไม่ใช่”
“หืม?”
“แต่ก่อนไม่เคยใช้สัญญาณลับเช่นนี้ หากสัญญาณลับระหว่างข้ากับท่านพี่ไม่เปลี่ยนแปลง จะถูกตระกูลเหยียลี่ว์ล่วงรู้ได้ง่ายดายยิ่งนัก ฉะนั้นสัญญาณลับของพวกเราจึงแตกต่างกันทุกครั้ง ทว่าจะเป็นสิ่งที่เราสองรู้อยู่ในใจเสมอ”
“โคมขาวคราวนี้เป็นตัวแทนของสิ่งใด”
“วันที่ยี่สิบเก้าเดือนสิบสองเมื่อสิบปีก่อน ท่านพี่สูญเสียการมองเห็น” เสียงของเหยียลี่ว์ฉีทุ้มต่ำ
จิ่งเหิงปัวเงียบเสียงลงสักพัก ก่อนกล่าวว่า “ขอโทษ”
“ไม่” เขาหันหน้ามองนาง มุมปากยิ้มแย้มอย่างสุขุม แล้วเอ่ยว่า “ข้าหวังเป็นยิ่งนักว่าจะได้แบ่งปันเรื่องราวทุกสิ่งทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตกับเจ้า” จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮิๆ กล่าวว่า “อืม พวกเรารีบไปช่วยนางเถอะ”
เหยียลี่ว์ฉีกลั้นยิ้มอยู่เล็กน้อย สายตาเงียบสงบ…นางหดกลับไปประหนึ่งเต่าอีกแล้ว
ไม่เป็นไร สายธารกาลเวลาสามารถเซาะกร่อนความแข็งแกร่งทุกสิ่ง
“อย่ารีบร้อน” เขาเอ่ยว่า “โคมขาวยังมีความหมายอีกขั้นหนึ่ง”
“หืม?”
“อันตราย” เขาเอ่ยว่า “ท่านพี่รังเกียจสีขาวตั้งแต่เด็ก เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของท่านพ่อท่านแม่ของพวกเรา หลังจากนั้นนางก็ไม่ใช้สิ่งของที่เป็นสีขาวทุกสิ่ง นางเอ่ยว่าสีสันนี้ทั้งว่างเปล่าทั้งสะอาดเหลือเกิน ไม่ว่าสีสันใดล้วนแต่งแต้มลงไปได้ ฉะนั้นจึงดูไม่บริสุทธิ์ยิ่งนัก สำหรับนางแล้ว สีขาวหมายถึงความไม่เป็นมงคลและอันตราย”
จิ่งเหิงปัวเองก็คิดแบบนั้นเช่นกัน เมื่อก่อนนางก็ชอบสีขาวมาก แต่ตอนนี้นางรู้สึกเกลียดชังสีขาว เมื่อก่อนนางยังชอบหิมะด้วย แต่ตอนนี้เมื่อมองเห็นวันหิมะตกแล้วนางก็อยากฆ่าคน
“โคมขาวอยู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ทางตะวันตกเฉียงใต้ต้องเป็นสถานที่สำคัญแน่แท้ อีกทั้งไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าไปได้” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยว่า “พี่สาวอาจจะอยู่สถานที่อื่นภายในจวน ข้าจะไปทางตะวันตกเฉียงใต้เพื่อจัดการพวกเขา ส่วนเรื่องช่วยนาง เหิงปัว ฝากเจ้าด้วย”
“ไม่มีปัญหา” จิ่งเหิงปัวหันหลังจากไปอย่างสบายใจ
“เหิงปัว” เขาพลันเรียกนางไว้
“หืม?”
เขาจ้องมองดวงพักตร์ยิ้มแย้มที่เหลียวมองมาท่ามกลางสายลมหิมะของนาง ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างลำบากใจอยู่บ้างว่า “หาก…หากพบเจออันตราย ช่วยท่านพี่ออกมาไม่ได้ เจ้า…ทิ้งนางไว้!”
จิ่งเหิงปัวตกใจจนเบิกตากว้าง นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะเอ่ยออกมาเช่นนี้ นางเป็นญาติคนสุดท้ายของเหยียลี่ว์ฉีแล้ว นางก็มองออกว่าเขารักพี่สาวมากเหลือเกิน
“แม้ชีวิตพี่สาวจะสำคัญนัก แต่ข้าจะไม่ยอมแลกมาด้วยชีวิตเจ้า” เขาเอ่ยว่า “เหิงปัว ยามแรกข้าทำร้ายเจ้าจริง แต่ยามนี้ข้าไม่อยากให้เจ้าพบเจออันตรายเช่นกัน ไม่ว่าอย่างไร ยามเกิดอันตรายต่อชีวิตเจ้า จำไว้ว่าไม่ต้องสนใจผู้ใด เจ้าเคยเอ่ยว่าเจ้ารักเพียงตัวเจ้าเอง เช่นนั้น อย่าลืมทำให้ได้”
เขาเอ่ยเสร็จแล้วก็ยังคงยิ้มแย้ม ถอดเสื้อคลุมโยนไว้บนพื้น สวมเพียงชุดแนบเนื้อสีดำทั่วร่าง สะบัดแขนเสื้อให้นาง เงาร่างกะพริบวูบหายไปแล้ว
จิ่งเหิงปัวมองดูเงาร่างที่ผมยาวพลิ้วสยายท่ามกลางเกล็ดหิมะของเขา ก็รู้สึกขึ้นมาทันทีว่าคนคนนี้เวลาดีก็ดีชัดเจน เวลาร้ายก็ร้ายอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าพูดอะไรทำอะไรแล้วกล้าทำกล้ารับ นับเป็นบุคลิกลักษณะที่ยากจะอธิบายโดยแท้
“สัตว์ประหลาดน้อย” นางกระซิบกับเฟยเฟยว่า “เขากล้าเชื่อใจข้า แล้วข้ากล้าเชื่อใจเขาหรือไม่?”
เฟยเฟยค่อยๆ กะพริบตาให้นาง แอ๊บแบ๊วไม่รู้เรื่องตลอดเวลา
เรือนร่างของจิ่งเหิงปัวกะพริบวูบ หายวับไปกลางสายลมหิมะ
…
ครู่ต่อมานางปรากฏกายตรงสันกำแพงทางตะวันตกเฉียงเหนือของโคมขาวนั้น
ภายในจวนคล้ายป้องกันอย่างเข้มงวดมาก แสงไฟแทบจะสว่างจ้า แบบนี้ช่วยให้นางแน่ใจในแหล่งที่อยู่ของเหยียลี่ว์สวินหรู…คนตาบอดไม่ต้องการแสงไฟ
ลานน้อยดำทะมึนแห่งหนึ่งอยู่ไม่ไกลจากข้างหน้า
“เฟยเฟย” นางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ กล่าวกับสัตว์ประหลาดน้อยที่หัวไหล่ว่า “ทางเหยียลี่ว์ฉีนั้นอาจอันตรายกว่า เจ้าไปช่วยสักหน่อยเถิด”
เฟยเฟยกระโจนออกไปอย่างแผ่วเบา จิ่งเหิงปัวสูดหายใจ นางก็ไม่ได้เป็นห่วงเหยียลี่ว์ฉีขนาดนั้น แต่นางหวังว่าคืนนี้ตนจะได้ทดสอบความสามารถในการสู้รบของตนเองอย่างแท้จริง
นางรู้สึกว่าหมู่นี้ความสามารถพิเศษของตนเองก้าวหน้าขึ้น อยากจะรู้ว่าขีดจำกัดอยู่ตรงไหน
ขณะที่นางเฉียดเข้าไป ในใจก็รู้สึกประหลาด…แสงไฟสว่างจ้าทุกแห่ง ที่นี่มืดสนิท นี่หมายความว่าอะไรกัน? ชี้เป้าที่อยู่ของตัวประกันเหรอ?
พริบตาที่นางเพิ่งจะร่วงลงพื้นนั้น ความคิดนี้ก็ถูกพิสูจน์ด้วยเสียงลมสายหนึ่งทันที
ฟิ้ว! เสียงลมหนาวสะท้านพุ่งตรงสู่หลังศีรษะนาง เสียงแหลมจากอาวุธคมตัดผ่านอากาศ
เรือนร่างของนางกะพริบวูบหายไป ครู่ต่อมากระถางดอกไม้ใต้ระเบียงเหินตะแคงอย่างกะทันหัน กระแทกจริงจังจนเกิดเสียงดัง พลั่ก
เสียงฮึดฮัดดังขึ้น กลิ่นคาวโลหิตเริ่มอบอวลกลางอากาศ คนคนนั้นโซเซครั้งหนึ่ง จิ่งเหิงปัวก็กะพริบวูบเปลี่ยนทิศทางแล้ว แนบชิดข้างหลังของเขา
กริชในมือแทงเข้าไปแล้วคว้านอย่างเงียบเชียบ
ขณะที่กระชากกลับ มือก็กดไว้อีกครั้ง
ทักษะที่เคยฝึกฝนนับครั้งไม่ถ้วน ใช้งานจนเชี่ยวชาญ ทำให้หลังจากนั้นไม่ว่าต่อต้านอย่างไร นางจะใช้ฝีมือการสังหารออกมาต่อสู้โดยสำนึก
คนคนนั้นล้มลงอย่างรุนแรง ไม่มีเลือดสาดกระเซ็น การกดไว้ครั้งสุดท้ายของนางขัดขวางไม่ให้เลือดสาดกระเซ็น เลือดจะได้ไม่กระเด็นเข้าตาจนกระทบกับการลงมือ
เหมือนจะเรียบง่าย แต่เป็นแก่นสำคัญที่กลั่นออกมาจากการปฏิบัติจริงนับครั้งไม่ถ้วน
“กดไว้อย่างนี้ ถูกต้อง ลงล่างหนึ่งเฟิน ทับปากโลหิตเส้นลมปราณให้เรียบ โลหิตจะไม่สาดกระเซ็น”
พอลงมือแล้วนางก็ชักมือกะพริบกาย ไม่หยุดนิ่งมองชัยชนะของตนเองเด็ดขาด
เสียงวาจาของคนคนนั้นดังก้องอยู่ข้างหู
‘เจ้ามีความสามารถหายตัวเป็นหนึ่งเดียวในโลกหล้า จงอย่าได้ละทิ้งพรสวรรค์ ยามต่อสู้นั้น ท่าร่างอันเลิศล้ำจะทำให้เจ้าอยู่กลางเส้นทางแห่งชัยชนะได้เสมอ ลงมือครั้งหนึ่งแล้วอย่าได้หยุดนิ่งตรวจสอบอาการของอีกฝ่ายเด็ดขาด เจ้าควรหายตัวออกมาก่อน ให้ผู้อื่นไร้หนทางจับกุมรอยเงาของเจ้า ต่อให้โจมตีครั้งเดียวไม่สิ้นชีพ เจ้ายังมีครั้งหน้าหรือครั้งหน้าของหน้า หากถูกผู้อื่นแสร้งสิ้นชีพย้อนแทงครั้งหนึ่ง เจ้าย่อมไม่มีครั้งหน้าแล้ว’
สะบัดทิ้งไปไม่ได้ ความทรงจำที่แทรกซอนเส้นเลือดไขกระดูก
หลังกะพริบวูบแล้วเข้าใกล้ แทงมีดรุนแรงอีกรอบ
อีกฝ่ายไม่มีการเคลื่อนไหว คราวนี้ตายสนิทแล้ว
ข้างหลังมีเสียงลมดังขึ้นอีกครั้ง มุ่งตรงสู่สันหลังนาง ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งรวดเร็ว ดูท่าทางอีกฝ่ายคงดักซุ่มอยู่นานแล้ว รอคอยครู่หนึ่งนี้ที่นางลงมือแล้วหละหลวมที่สุด
แต่นางกำลังหายตัว
หายตัวไม่หยุดแม้เพียงครู่เดียว
เปล่งประกายกว่าภูตพราย ซ่อนเร้นกว่าสายฟ้าฟาด เป็นเงาดำที่กระโจนอยู่กลางแววตา คาดเดาทิศทางของมันไม่ได้
ครู่ต่อมากริชของนางแทงเข้าที่หลังคอของคนคนนั้น ทะลุผ่านลำคอ เอียงขึ้นสามเฟิน ทะลุผ่านชิ้นกระดูกต้นคอสะบั้นหลอดลมอย่างแม่นยำ
คนผู้นั้นไม่ได้ร้องโหยหวนออกมาด้วยซ้ำ ล้มลงเสียงดัง พลั่ก ทันที
เขาล้มลงเร็วเกินไป จึงทำให้กริชของจิ่งเหิงปัวยังติดอยู่ในซอกกระดูกไม่ทันได้กระชากออกมา เรือนร่างถูกพาให้ล้มลงไปด้วยอย่างควบคุมไม่ได้ ได้ยินเสียงลมดังขึ้นจากข้างหลังอย่างกะทันหัน คนที่สามพุ่งมาถึงแล้ว
ไม่ได้มีแค่คนเดียว! ข้างซ้ายมีกระบี่หนึ่งจู่โจมมาปานอสรพิษ!
ตอนนี้ถ้านางทิ้งกริชหายตัวออกมาก็เท่ากับสูญเสียอาวุธแสนทรงพลัง มีดข้างกายเล่มนี้เพรียวบางคมกริบ ตัดกระดูกดุจหั่นผัก บนโลกนี้ยากจะมีเล่มที่สอง
นางไม่ได้ทิ้งกริช เรือนร่างล้มลง ทับลงบนร่างของคนตายคนนั้นพอดี ฉวยมือกระชากกริชครั้งหนึ่งแล้วเอียงศีรษะ
โลหิตแดงฉานพวยพุ่งบนคอเสื้อนาง
ลมกระบี่คำรามเหนือศีรษะ แสงกระบี่ทางซ้ายกระเพื่อมผ่านบนหลังนาง ถ้านางไม่ล้มลง กระบี่หนึ่งนั้นคงผ่าท้องนางแล้ว
แต่คนข้างหลังนั้นถาโถมเข้ามาแล้ว ไม่ทันได้หายตัว
คนผู้นั้นทับลงบนร่างนางดัง พลั่ก เสียงหนึ่ง
คนคนนั้นกำลังจะโห่ร้องยินดี มีดในมือปาดบนลำคอของนาง พลันได้ยินเสียง เพล้ง ดังกังวานบนศีรษะ
แบะออกเสมือนแตงโม
จากนั้นก็มีความเจ็บปวดรุนแรงระลอกหนึ่ง ตามมาด้วยของเหลวที่เยิ้มข้นไหลรินจากบนศีรษะ ในขณะที่วิงเวียนคนผู้นี้ถึงครุ่นคิดอย่างแจ่มชัดได้ว่า สิ่งที่แบะออกไม่ใช่แตงโม แต่เป็นศีรษะของเขา
กระถางดอกไม้ใต้ชายคาระเบียงหายไปอีกใบหนึ่ง ยามนี้มันเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิต กลิ้งขลุกขลักอยู่ทางหนึ่ง
จิ่งเหิงปัวพลิกกริชกวัดแกว่ง สะบั้นคอหอยของคนบนร่างอย่างเงียบเชียบอีกครั้ง ฉวยโอกาสพลิกตัวครั้งหนึ่งแล้วลุกขึ้นยืน
บนพื้นมันเยิ้มเหนียวข้น กลิ่นคาวเลือดกลางอากาศเข้มข้นจนน่าคลื่นเ**ยน นางหลุบตาลงปล่อยความคิดว่างเปล่า กริชห้อยลง ก่อนยืนตรงสงบนิ่ง
กลิ่นคาวเลือดไม่มีผลกระทบต่อนาง…เมื่อใครคนหนึ่งเคยชำแหละกระต่ายและกวางโรหนึ่งร้อยตัวตลอดทั้งวัน ถลกหนังเบื้องหน้าซากเลือดเนื้อกองทับถมเป็นภูเขา หลังจากนั้นแล้ว กลิ่นคาวเลือดย่อมไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรขนาดนั้น
ท่ามกลางความมืดมิดมีแสงรุ่งโรจน์บางอย่างล่องลอยเปล่งประกาย เจือด้วยสีสันแวววาวจากความประหลาดใจค่อยๆ ประชิดใกล้ เสียงลมหายใจรอบด้านค่อยๆ ชัดเจน เจือด้วยความกดดันและความตึงเครียด
เพียงครู่เดียวสังหารคนติดต่อกันสามคน วิธีการแปลกประหลาด ลงมือโหดเ**้ยมถึงขนาดผู้ถูกสังหารยังไม่เข้าใจว่าตนเองสิ้นชีพได้อย่างไร
ทว่ายามนี้สตรีนั้นสงบนิ่งท่ามกลางความมืดมิด ยืนตระหง่านไม่ขยับเขยื้อน