เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 22.3
สายลมหิมะตี้เกอพัดพลิ้วปกคลุมจิ้งถิงที่เงียบสงัด เกล็ดหิมะที่ทอดยาวบดบังเงาคนสูงโปร่งที่ยืนเดียวดายในหน้าต่างลายฉลุแดงจนเลือนราง
นาฬิกาทรายบนโต๊ะร่วงกราวหมดสิ้น ผ่านไปอีกหนึ่งปีแล้ว
บางคนเคาะห่วงประตูอย่างแผ่วเบา หน้าผากเขาราบเรียบ ไม่ได้หันหลังกลับไป
“เข้ามา”
เหมิงหู่ก้าวเท้าแผ่วเบา เดินเข้าไปในห้องที่ไม่มีไอร้อนสักเสี้ยว
ผู้สวมอาภรณ์เบาบางขาวราวหิมะประคองถ้วยสุราไว้ ทว่าไม่ได้คล้ายจะดื่มสุรา แววตาทอดออกไปแสนไกล ไม่รู้ว่ามองสะพานโค้งเก้าช่องบนผิวแม่น้ำเยือกแข็งนั้น หรือมองสถานที่ที่ไกลออกไป
คนอยู่สุดขอบฟ้า สุดขอบฟ้าจึงกลายเป็นจุดสิ้นสุดสายตา
ผ่านไปเนิ่นนานเขาถึงเอ่ยปาก
“เรื่องราวเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
“รอคอยข่าวสาร ทุกอย่างน่าจะราบรื่นขอรับ”
“สตรีนางนั้น จัดการให้เรียบร้อย”
“ข้าน้อยจะให้นางปกปิดฐานะลี้ภัยไปเผ่าหลิวหลีขอรับ”
กงอิ้นพยักหน้า ไม่จำเป็นต้องสังหารคนที่ไม่รู้เบื้องหลังแท้จริง
เป็นเพียงตัวกลางเท่านั้น
“ตามคำสั่งของท่าน พวกข้าน้อยเปิดเผยสัญญาที่สลับออกมาฉบับหนึ่งให้ผู้บัญชาการเฉิงเห็นแล้วขอรับ” กลางแววตาของเหมิงหู่ยิ้มแย้มเล็กน้อย
กงอิ้นพยักหน้า ในแววตามีความอ่อนเพลีย
เสียงสายลมดังก้องราวกับฝีเท้าหนักหน่วงของสัตว์สงครามค่อยๆ เหยียบย่ำเข้าใกล้
“ยากจะจัดการภายในหุบเขาเทียนฮุย” เหมิงหู่เอ่ยสืบต่อว่า “เผ่าหวงจินปิดข่าวมิดชิด อีกทั้งพวกข้าน้อยต้องจัดการเรื่องสัญญาก่อน รอให้เฟิงชื่อถอนตัวออกมา หุบเขาเทียนฮุยถูกกองทัพเผ่าหวงจินปิดล้อมนานแล้ว บุกเข้าไปเกรงว่าจะแหวกหญ้าให้งูตื่น ฉะนั้น…”
“ช่วยไม่ได้” กงอิ้นเอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า “คุ้นเคยเดินทางกว้างใหญ่ หกล้มได้ง่ายยิ่งขึ้น สายลมหิมะบนโลกนี้ ตนเองต้องเผชิญหน้าบ้าง”
เหมิงหู่ถอยออกไปอย่างแผ่วเบา
เขายืนอยู่ตรงหน้าต่าง หันหน้าหาทิศทางหนึ่งกลางหิมะเหินว่อนทั่วท้องฟ้า ยกถ้วยสุราในมือขึ้นอย่างเงียบเชียบ
“ปีใหม่ปีนี้ เจ้าต้องปลอดภัย เส้นทางข้างหน้าไร้สิ้นสุด อนาคตใกล้จะเริ่มต้น”
…
กองทัพมาถึงหุบเขาเทียนฮุยตอนรุ่งสาง ที่นั่นมีผู้ควบคุมสัตว์คนหนึ่งรออยู่จริงๆ ด้วย แน่นอนว่าไม่ใช่เฟยหลัว คาดว่าน่าจะเป็นคนที่ผู้นำเผ่าหวงจินใช้เงินก้อนใหญ่จ้างมากะทันหัน คนคนนี้วางมาดใหญ่โตเหลือเกิน จูงสัตว์หาทองตัวหนึ่งยืนอยู่ข้างหนึ่งเพียงลำพัง ท่าทางคร้านจะสนใจทุกคน จิ่งเหิงปัวสังเกตเห็นว่าสัตว์หาทองตัวนั้นของเขาตัวใหญ่มากกว่าสัตว์หาทองธรรมดาสิบเท่า อีกทั้งกรงเล็บเรียวยาวอย่างยิ่ง ทั้งบางทั้งยาวจนสุดท้ายวกวนอยู่กลางกรงเล็บดุจด้ายดำ ตอนนี้นางเพิ่งเข้าใจว่าสัตว์ที่เฟยหลัวควบคุมตัวนั้นตอนแรกคือสัตว์หาทองขนาดยักษ์เหมือนแบบนี้นั่นเอง มันเป็นราชาของสัตว์หาทอง เส้นสีดำเป็นพิษนั่นคือกรงเล็บของสัตว์ชนิดนี้
พักผ่อนกันชั่วครู่ ขุนพลพิทักษ์เมืองเป่ยซินที่กำกับดูแลเรื่องนี้จึงเริ่มจัดแบ่งหน้าที่กับเซวียนหยวนฉี่
นายกองบรรดาศักดิ์กลุ่มนั้นของทหารคั่งหลงถูกส่งเข้าหุบเขาเป็นลำดับแรก พวกเขากับผู้ควบคุมสัตว์คนนั้นจะพาสัตว์หาทองเข้าไป หลังจากค้นพบเหมืองทองหรือแหล่งแร่สำคัญนอกจากนั้นแล้ว พวกเขาจะส่งสัญญาณ คนที่เหลืออยู่ค่อยแบ่งกลุ่มเข้าไปสนับสนุน
นายกองบรรดาศักดิ์ของทหารคั่งหลงกลุ่มนั้นรับภารกิจอย่างตื่นเต้นดีใจนัก คนที่เข้าหุบเขาทุกคนกินยาถอนพิษที่เตรียมไว้ล่วงหน้าหนึ่งเม็ด เซวียนหยวนฉี่เอ่ยว่ายาถอนพิษนี้รับมือหมอกพิษในหุบเขาได้ แต่เหยียลี่ว์ฉีกระซิบบอกจิ่งเหิงปัวว่ายาเม็ดนี้คุ้มกันได้สักหนึ่งชั่วยามนับว่าไม่เลวแล้ว
จิ่งเหิงปัวเท้าคางมองคนพวกนั้น ลูบกระดาษไม่กี่แผ่นในอ้อมแขนตนเอง หัวเราะเยาะเสียงหนึ่ง
“ข้าไปเอง” นางบอกเหยียลี่ว์ฉีว่า “รอคอยข่าวดีของข้า”
ท่ามกลางทุกผู้คนมีแค่นางมีความสามารถหายตัว พอจะหายตัวออกมาได้ทันเวลาเมื่อพบความผิดปกติ ฉะนั้นมีแค่นางเข้าออกหุบเขาเทียนฮุยได้อย่างอิสระ
เหยียลี่ว์ฉีไม่ได้อวดเก่งว่าจะไปกับนางด้วย เพียงเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “ไปเถิด รอให้เจ้ากลับมา ที่นี่คงสะอาดแล้ว”
จิ่งเหิงปัวคิดว่าเขาคงไม่ได้หมายความว่าเขาจะอยู่ที่นี่กวาดล้างคนที่เหลือจนหมดหรอกมั้ง? เป็นไปได้เหรอ?
คุยโม้
นางแอบหัวเราะฮ่าๆ ก่อนที่เรือนร่างจะกะพริบวูบ
“จย่าแปด!” หลังออกคำสั่งระลอกหนึ่งเสร็จสิ้น เซวียนหยวนฉี่เดินเข้ามาโยนสุราหนึ่งกระบอกให้เขาด้วยท่าทางสูงส่ง เอ่ยว่า “ร่วมดื่มสุรากับข้าสักหน่อย! อากาศหนาว! เอ๊ะ จย่าเจ็ดนายนั้นเล่า? เหตุใดเพียงพริบตาก็พลันหายไปแล้ว?”
“เขาปวดท้องน่ะ จึงไปปลดทุกข์ทางนั้นแล้ว” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มรับกระบอกสุรา ปูเบาะรองนั่งให้เซวียนหยวนฉี่อย่างกระตือรือร้น ร่วมดื่มสุรากับเขาด้วยท่าทางยิ้มแย้ม เขารอบรู้เรื่องราว ประสบการณ์ลึกล้ำ เอ่ยวาจาเข้าใจผู้อื่น คลายทุกข์ได้ตรงประเด็นเสมอ ผ่านไปไม่นาน เจตนาร้ายเจือจางที่เซวียนหยวนฉี่มีต่อ ‘ศัตรูหัวใจ’ คนนี้สลายไปแล้ว ซ้ำยังเลิกวางมาด ตบไหล่เรียกเขาว่าพี่ชายน้องชายแล้ว
เหยียลี่ว์ฉีถือกระบอกสุราไว้ โคจรปราณเล็กน้อย กลิ่นหอมสุราตลบอบอวล คนที่คอยอยู่รอบด้านชะเง้อมอง บนใบหน้ามีสีหน้าอิจฉาเล็กน้อย มีเพียงขุนพลค่ายเจ็ดสีของทหารคั่งหลงที่อยู่รักษาการณ์เหล่านั้น สีหน้าดูไม่ค่อยดี
เหยียลี่ว์ฉีชำเลืองมองพวกเขาปราดหนึ่ง ชนกระบอกสุรากับเซวียนหยวนฉี่พลางยิ้มแย้มกระซิบว่า “นายน้อยรอง พวกเราดื่มสุรา อย่าให้กลิ่นสุราลอยเข้าจมูกขุนพลทหารคั่งหลงเหล่านั้นเชียว เล่ากันว่ายามปฏิบัติภารกิจ พวกเขาเกลียดชังกลิ่นสุราเป็นที่สุด”
“เฮ้ย สนใจพวกเขาทำไมกัน?” เซวียนหยวนฉี่เริ่มเมาสุราบ้างแล้ว โบกมืออย่างไม่สนใจ เอ่ยว่า “ทหารคั่งหลงน่ะ! พวกใกล้ตายทั้งนั้น!”
เสียงวาจานี้ของเขาดังเล็กน้อย พลทหารพลันเดินเข้ามาจากข้างหนึ่ง ตะคอกว่า “เจ้าเอ่ยว่าอะไร?”
…
ท้องฟ้าในหุบเขาเทียนฮุยเป็นสีเทาอย่างที่นางคิดไว้
ที่น่าประหลาดคือในหุบเขานี้ไม่มีหิมะปกคลุมแม้แต่น้อย ตั้งแต่ท้องฟ้าจรดพื้นดินเป็นไอควันสีเทามัวสลัว จิ่งเหิงปัวเงยหน้า มองเห็นหิมะตรงขอบฟ้าลอยลงมาไม่ขาดสาย แต่พอสัมผัสไอควันยอดหุบเขา หิมะพลันสูญสลายหายไป
บนศีรษะคล้ายปกคลุมด้วยฝาหม้อสีเทา พื้นดินโขดหินเป็นสีเทาล้วน พอมองแล้วคล้ายไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่เลย จิ่งเหิงปัวคิดว่าต่อให้ที่นี่ไม่มีหมอกพิษ อยู่นานเข้ายังพอจะทำให้อึดอัดจนเสียสติ
พอเข้าสู่หุบเขา ผู้ควบคุมสัตว์สั่งให้สัตว์หาทองขนาดยักษ์ของเขาตรงเข้าไปในหุบเขาแล้ว เล่ากันว่าลมหายใจที่สัตว์หาทองขนาดยักษ์พ่นออกมาทำให้ไม่ต้องกลัวหมอกพิษในหุบเขาเทียนฮุย ทว่าลมหายใจนี้อย่างมากให้เขาอาศัยได้เพียงคนเดียว แน่นอนว่าเขาไม่ยอมอยู่ร่วมกับผู้อื่น ขัดขวางการสร้างผลงานชั้นยอด
จิ่งเหิงปัวดีใจที่เขาไม่อยู่ นางพบว่าหมอกพิษช่วงความสูงครึ่งหุบเขาค่อนข้างเบาบาง เรือนร่างกะพริบวูบสู่ครึ่งหุบเขา
ตอนนี้นางไม่รีบร้อนเคลื่อนไหว ของดีในหุบเขาเทียนฮุยมักอยู่ในตำแหน่งที่หมอกพิษหนาแน่นที่สุด ขณะนี้พวกหัวกะทิของทหารคั่งหลงเหล่านี้ไม่เป็นไร แต่อีกเดี๋ยวเข้าสู่ส่วนลึกของหุบเขา พวกเขาจะตระหนักถึงเจตนาเ**้ยมโหดของคนอื่น
ภายในซอกภูเขามีพืชมากมายเติบโต นางไม่สนว่ารู้จักหรือไม่ หยิบพลั่วในถุงผ้าข้างหลังมาเริ่มขุดดิน แต่ขุดไปพอสมควรยังไม่เจอสมุนไพรเหล่านั้นที่เฟยหลัวเอ่ยว่าถอนพิษให้เหยียลี่ว์ฉีได้ นางร้อนรนเล็กน้อย ปีนขึ้นไปสูงกว่าเดิม พอหันหลังกลับโดยไม่ตั้งใจ มองเห็นดอกไม้สีเขียวเข้มใบไม้เขียวชอุ่มต้นหนึ่งเติบโตอยู่บนกำแพงภูเขาข้างหนึ่ง ดีใจอย่างยิ่ง
หาเจอแล้ว!
ดอกไม้สีเขียวเข้มชนิดนี้เติบโตบนศิลาจันทราฟ้าคราม ดินเหนียวสีฟ้าครามก้อนหนึ่งข้างล่างคือยาที่ถอนพิษให้เหยียลี่ว์ฉีได้
กำแพงภูเขาสูงชันอย่างยิ่ง แทบจะเป็นทางลาดตรงแน่ว แต่นางไม่ต้องเสี่ยงอันตรายไปเก็บเอง มือสะบัดเพียงครั้ง กริชเหินขึ้นเฉือนดินแข็งก้อนหนึ่งใต้ดอกไม้นั้น
หลังจากกินยาพิลึกพิลั่นเม็ดนั้น นางรู้สึกว่าลมปราณของตัวเองทอดยาวอย่างยิ่ง บางครั้งเหนื่อยล้าอ่อนแรงแล้ว พักผ่อนสักหน่อยย่อมฟื้นคืนมาได้ แม้พิษยังยึดครองส่วนลึกในร่างกายรำไร แต่ไม่กำเริบตามใจชอบเพราะอารมณ์หวั่นไหวหรือสูญเสียกำลังกายอีกแล้ว
กริชขุดดินใต้ดอกไม้นั้นอย่างแผ่วเบาคล่องแคล่ว แต่ขุดจนสะเทือนกำแพงภูเขาด้วย เศษหินก้อนหนึ่งร่วงหล่นดัง แกร๊ก!
ข้างล่างคือเหล่านายกองบรรดาศักดิ์ของทหารคั่งหลงที่กำลังสืบค้นหุบเขา!
จิ่งเหิงปัวรีบโบกมือ คิดขัดขวางไม่ให้ก้อนหินร่วงหล่นบนศีรษะของคนข้างล่าง แต่มือของนางชะงักงันทันที ดวงตาเบิกกว้างอย่างเชื่องช้า
บนกำแพงภูเขาตำแหน่งข้างล่างนางสามฟุต แขนสีเทาข้างหนึ่งยื่นออกมากะทันหัน คว้าเพียงครั้ง คว้าหินก้อนนั้นไว้แล้ว!
ของสิ่งนี้โผล่มาจากไหน?
เป็นคน? เป็นสัตว์? เป็นผี?
แขนออกมาเร็วเกินไปจนไม่อาจจำแนกได้ สำคัญกว่านั้นคือเมื่อครู่นางปีนขึ้นบนกำแพงภูเขาตลอดทาง ไม่เจออุโมงค์อะไรเลย ของสิ่งนี้โผล่ออกมาจากไหนกัน? ถ้าเมื่อครู่แขนนี้ลากนางเข้าไปหรือลากนางลงมาในครั้งเดียว…
จิ่งเหิงปัวขนลุกซู่ รู้สึกทันทีว่าในหุบเขานี้แปลกประหลาดเหลือเกิน
แขนนั้นคว้าก้อนหินไว้ แลไม่ได้ชักกลับเลย กวัดแกว่งลงข้างล่างอย่างรุนแรงโดยพลัน!
ในใจจิ่งเหิงปัวกระตุกวูบ ชะโงกหน้ามองข้างล่างทันที เห็นกลางหมอกเทาข้างล่าง เงาสีเทากะพริบวูบต่อเนื่องปานภูตพราย พุ่งไปทางนายกองบรรดาศักดิ์ของทหารคั่งหลงกลุ่มนั้น!
เมื่อมองจากมุมสูงสู่มุมต่ำ นางเห็นได้ชัดว่าเงาเหล่านี้เคลื่อนไหวลึกลับรวดเร็วอย่างยิ่ง ประดุจหมอกพิษสีเทาพลิ้วไหวหลายระลอก เวียนว่ายเลือนราง แวบไปแวบมา ตอนจิ่งเหิงปัวมองเห็นพวกมันยังห่างจากทหารคั่งหลงเกินสิบจั้ง พอกะพริบตามาถึงข้างหลังพวกเขาแล้ว แม้กระทั่งลื่นไถลถึงข้างหลังนายกองบรรดาศักดิ์ปานมัจฉาแหวกว่าย แต่ทหารระดับหัวกะทิเหล่านั้นไม่มีใครสังเกตเห็นสักคน!
จิ่งเหิงปัวตัดสินใจลงเขาทันที!
นางวางแผนสำหรับนายกองบรรดาศักดิ์พวกนี้ด้วย จะยอมให้พวกเขาตายอย่างเงียบเชียบอยู่ในหุบเขาไม่ได้!
นางเพิ่งยืนตรง ได้ยินเสียงลมบนศีรษะกะทันหัน พลังมหาศาลหอบหนึ่งจู่โจมเข้ามา เรือนร่างนางเอนเอียงแล้วหงายหลัง!
ชั่วพริบตาขณะหงายหลัง แสงแปลบปลาบกะพริบวูบในสมอง ท่าร่างรูปแบบหนึ่งที่เคยอ่านก่อนหน้านี้เฉียดผ่านกะทันหัน
เป็นท่าร่างแรกบนสมุดน้อยที่เหยียลี่ว์ฉีมอบให้นาง วิชาตัวเบาที่ควบคุมเรือนร่างขณะพลิกตัววิชาหนึ่ง ต้องคอยฝึกฝนปราณช่วยเหลือ นางอ่านอยู่นานยังไม่ได้สาระสำคัญ เดิมทีคิดจะพินิจพิเคราะห์หลังจัดการเรื่องราวเสร็จแล้ว เพียงแต่พริบตาหนึ่งนี้ วิชานั้นกะพริบวูบในสมอง ลมปราณภายในร่างกายพลันเคลื่อนไหว นางรู้สึกได้ว่ากระแสปราณหอบหนึ่งพัดผ่านทั่วร่างอย่างรวดเร็ว เรือนร่างหมุนพลิกแผ่วเบาแคล่วคล่อง พลิกตัวกลับมาได้แล้ว
ฟิ้ว กรงเล็บโซ่ในมือนางพุ่งออกมาทันที ปลายกรงเล็บเกี่ยวเกาะโขดหินไว้
ตอนนี้ร่างกายอ่อนช้อยอย่างยิ่ง นางร่วงลงบนโขดหินปานขนนก ร่างยังไม่ได้ยืนนิ่ง เอื้อมมือลากอย่างรุนแรง เงาคนสีเทาสายหนึ่งถูกนางลากร่วงดังตุบ!
เงาสีเทาผืนนั้นพลิกตัวบนศีรษะนางประหนึ่งแผ่นบาง นางได้ยินเสียง “เอ๊ะ” ดังขึ้นแผ่วเบา คนคนนั้นยกมือดีดครั้งหนึ่ง ครู่ต่อมาตะขอที่รับน้ำหนักอยู่ในมือนางสั่นไหวลื่นไถลกะทันหัน นางหงายหลังอีกครั้ง!
นางรอครู่หนึ่งนี้อยู่!
ชั่วพริบตาขณะหงายหลัง กระแสปราณพรั่งพรู ความรู้สึกคุ้นเคยวูบไหวทั่วร่าง นางพลิกตัวอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เร็วกว่าเมื่อครู่ ปลายเท้าแตะครั้งหนึ่งจรดบนโขดหินที่ยื่นออกมา ร่างยังไม่ได้ยืนมั่นคง แขนลากอีกครั้งโดยไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ เงาคนสีเทาถูกนางลากลงมาอีกรอบ หงายหลังจากบนศีรษะนางดังตุบ
พริบตาหนึ่งขณะลากชำเลืองมองแค่แวบเดียว นางเห็นดวงตาดำขาวตัดกันคู่หนึ่งดั่งหินเฮยเย่าขับหิมะขาวให้โดดเด่น งามพิสุทธิ์ดุจเดือนคล้อย
พริบตาหนึ่งผ่านพ้น เจ้าผู้นั้นคล้ายเกิดอารมณ์สนุกสนาน เรือนร่างเพิ่งเฉียดผ่านข้างกายนาง แขนพัวพันลากนางหงายหลังอีกครั้ง
นางพลิกตัวกลับมาปานกังหันทันที ความเร็วเพิ่มขึ้น มือเชิดขึ้นครั้งหนึ่ง ลากเขาลงไปอีกครั้งแล้ว
หลังจากนั้นจึงเป็นวัฏจักรเจ้าลากข้าหงายหลัง ข้าลากเจ้าหงายหลังอย่างไร้ที่สิ้นสุด…บนกำแพงภูเขาเก้าสิบองศายาวเหยียด เงาคนสองสายเจ้าลากข้า ข้าลากเจ้า ผลัดกันพลิกร่างร่วงหล่นตลอดทาง หมุนเวียนกลายเป็นภาพมายาขนาดใหญ่หลายกลุ่มกลางหมอกเทา
จิ่งเหิงปัวพลิกตัวอย่างสบายใจเหลือเกิน
การพลิกตัวลงหน้าผาขณะเผชิญหน้าศัตรูติดต่อกันครั้งนี้ ความรู้สึกเหมือนผ่านการทดสอบรวดเร็วท่ามกลางขีดจำกัดความเป็นความตาย การเคลื่อนไหวของนางขณะหมุนตัวคล่องแคล่วมากยิ่งขึ้น รวดเร็วมากยิ่งขึ้น ลมปราณภายในร่างกายราบรื่นมากยิ่งขึ้น จนกระทั่งเข้าใจวิถีของวิชา สามารถควบคุมได้แล้ว
สถานการณ์ความเป็นความตายกระตุ้นศักยภาพของมนุษย์ได้เป็นที่สุด ถ้าเป็นเวลาปกติอาจจะเข้าใจไม่ได้ในระยะเวลาอันสั้น อย่างไรเสียนางเป็นมือใหม่ที่ไม่มีพื้นฐานศิลปะการต่อสู้เลยแม้แต่น้อย
ตอนนี้ในใจนางรู้สึกขอบคุณเหยียลี่ว์ฉีเหลือเกิน ไม่รู้สึกหวาดกลัวรู้สึกแค่ตื่นเต้นดีใจ รู้สึกแค่เลือดทั่วร่างกายกำลังเดือดพล่าน รอคอยการสังหารครั้งต่อไป ตัวจิ่งเหิงปัวเองรู้สึกประหลาดใจในสภาวะของตัวเองเช่นกัน เมื่อก่อนนางไม่ชอบความรุนแรง รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่คนหยาบกระด้างแบบไท่สื่อหลันถึงชอบทำ เรื่องที่ปัวปัวผู้งดงามแสนสง่าควรทำคือนอนทาเล็บอยู่บนเตียงกุ้ยเฟย แต่ตอนนี้นางรู้สึกว่าใช้เล็บแหลมคมของตนเองจิ้มซากศพ น่าสนใจอย่างยิ่งเช่นกัน
ความเป็นความตายหล่อหลอม การต่อสู้รบราฆ่าฟันของจริง ปลุกเร้าความมุ่งมั่นต่อสู้และความเข้มแข็งของมนุษย์ได้เป็นที่สุด
ฟิ้ว สุดท้ายแล้วสองคนร่วงหล่นตกลงมาจนถึงข้างล่างดุจขนนกเข้าคู่กลุ่มหนึ่ง
เท้าสองคู่แทบจะร่วงพื้นพร้อมกัน และมือสองคู่แทบจะลงมีดพร้อมกัน!
ฟิ้ว กริชของจิ่งเหิงปัวพุ่งแทงลำคอเขา
ฉึก! แผ่นหินเบาบางแหลมคมแผ่นหนึ่งพุ่งมายังหว่างคิ้วของจิ่งเหิงปัว!