เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 23.2
การถกเถียงรุนแรงมากยิ่งขึ้น บรรยากาศตึงเครียดมากยิ่งขึ้น ไอสังหารหนาวสะท้านมากยิ่งขึ้น ยามแรกเริ่มนั้นเสียงชักมีดดังกังวานมีเพียงเสียงเดียว ทว่าหลังจากเสียงนั้นแล้ว เสียงมีดดังกังวานจึงทอดยาวเหยียด ด้วยการกระตุ้นจากไอควันสีเทาและเงาฝูงหนึ่งในหุบเขามรณะยามย่ำรุ่งนี้ นิสัยหวาดระแวงและหวาดกลัวของมนุษย์ถูกปล่อยออกมาอย่างเงียบเชียบประหนึ่งหมอกพิษสีเทา แผ่คลุมบนศีรษะทุกผู้คนอย่างเชื่องช้า แปรเปลี่ยนกลายเป็นใบหน้ายิ้มแย้มของยมทูต ก้มมองอย่างโหดเ**้ยม
โลหิตไหลเวียนขัดแย้ง พอแตะต้องย่อมพวยพุ่ง
ทว่าบนศีรษะมีคนหัวเราะคิกๆ
เสียงหัวเราะแผ่วเบา ทว่ายามนี้ทุกคนได้ยินดุจอสนีบาต
“ผู้ใด!”
ไม่มีเสียงตอบรับ ทว่าสายฝนเศษเสี้ยวสีเขียวเข้มทยอยโปรยปรายจากบนกำแพงภูเขา
ทุกคนนึกว่าอาวุธลับจึงพากันถอยหลังกวัดแกว่งอาวุธ ทว่าพบว่าเศษเสี้ยวเป็นเพียงเศษใบไม้ ไม่เป็นอันตรายใด จึงพากันชุมนุมอย่างเก้อเขิน บางคนมองใบไม้สีเขียวนั้นแล้วพลันร้องเอ๊ะออกมา แล้วเอ่ยว่า “เศษเสี้ยวนี้ พวกเราเคยเห็นมาก่อน!”
ทุกคนพยักหน้า…ยามนี้บนใบหน้าของบางคนยังมีเศษเสี้ยวของก่อนหน้านี้ติดอยู่ด้วย เพียงแต่หลังหลบหนีเกิดความตื่นตระหนก ไม่ได้สังเกตเห็น ยามนี้ถูกเศษเสี้ยวระลอกสองนี้ย้ำเตือน จึงเพิ่งนึกได้คล้ายว่ายามก่อนหน้า เงาเหล่านั้นหายไปหลังเศษเสี้ยวใบหญ้ากลุ่มหนึ่งนี้
พอทุกคนเงยหน้า ก็มองเห็นแขนเสื้อพลิ้วไหวบนความสูงครึ่งหุบเขา
“ท่านคือผู้ใด? มีสิ่งใดชี้แนะ? โปรดอย่าได้แสร้งเป็นภูตผีปีศาจ!” มีคนตะโกนลั่นออกมา
จิ่งเหิงปัวอมยิ้มมองดูกลุ่มคนข้างล่างนี้
นางอธิบายการช่วยเหลือเมื่อครู่ของตนเองได้ แต่ตอนนี้กล่าวไปแล้วจะได้อะไร? แค่คำขอบคุณง่ายดายพวกนั้น
ไม่ยอมเลิกล้มความตั้งใจ แม้ออกแรงฉุดลากย่อมไร้ประโยชน์
“ข้ามาดูพวกเจ้ารนหาที่ตาย” นางหัวเราะอยู่ข้างบน
คนข้างล่างต่างมีสีหน้าโกรธแค้น ทว่าด้วยเพราะความสงสัยในใจจึงไม่ได้ออกอาการ คนผู้หนึ่งฝืนใจยกกำปั้นขึ้นคารวะ เอ่ยว่า “พี่ชายโปรดชี้แนะด้วย เหตุใดจึงเอ่ยว่ารนหาที่ตาย?”
“มองเห็นหญ้าเหล่านี้หรือไม่?” จิ่งเหิงปัวชี้เศษหญ้า กล่าวว่า “ของเหล่านี้ขับไล่มือสังหารเมื่อครู่เหล่านั้น เพียงแต่ข้าช่วยพวกเจ้าได้ครั้งเดียว คอยช่วยพวกเจ้าชั่วชีวิตไม่ได้ ส่วนลึกของหุบเขาอันตรายลึกล้ำ พลกล้าตายฝูงหนึ่งจะอยู่รอดได้นานเพียงใด?”
“ท่านกำลังยุยงหรือ?” คนเหล่านั้นโกรธแค้นไร้ความยินดี และมีคนเอ่ยเสียงดังว่า “เจ้าแน่ใจหรือว่าเมื่อครู่นั่นคือมือสังหาร? ในหุบเขานี้ไม่มีคนเป็นแน่แท้!”
“ไม่มีคนเป็นแล้วเมื่อครู่ผู้ใดสร้างบาดแผลมากขนาดนั้นให้พวกเจ้าได้?” จิ่งเหิงปัวยิ้มเยาะ
ทุกคนนิ่งเงียบ เบื้องลึกในใจไม่อยากเชื่อเช่นกันว่าสหายร่วมรบของตนเองจะซุ่มโจมตีตนเอง
พอคิดเช่นนี้สีหน้าของทุกคนก็ดีขึ้นมาก ชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งก้าวออกมา ยกกำปั้นคารวะขอบคุณจิ่งเหิงปัว เอ่ยว่า “พี่ชายโปรดบอกกล่าว เหตุใดถึงเอ่ยว่าพวกข้าสำรวจเส้นทางเท่ากับรนหาที่ตาย?”
“เจ้าบอกข้าก่อน เหตุใดจึงส่งพวกเจ้าเข้าร่วมปฏิบัติการครั้งนี้? นายกองบรรดาศักดิ์เป็นยอดฝีมือของคั่งหลง นับเป็นขุนพลภายภาคหน้า ครั้งเดียวมากันเยอะขนาดนั้น เฉิงกูมั่วเห็นพวกเจ้าเป็นต้นหอมไว้ปักมัวซั่วทั่วทุกหนแห่งหรือ”
“ท่านคล้ายคุ้นเคยกับทหารคั่งหลงยิ่งนัก” ชายร่างสูงใหญ่ผู้นั้นนิ่งเงียบครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “ท่านคือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตพวกเราไว้ เรื่องบางเรื่องไม่อยากปิดบังท่าน นายกองบรรดาศักดิ์เป็นตำแหน่งพิเศษของทหารคั่งหลง พอได้รับการแต่งตั้งจะอยู่ใต้บัญชาของราชครูโดยตรง ไม่อยู่ใต้ปกครองของผู้บัญชาการเฉิงอีกต่อไป ทั้งรูปแบบทั้งค่าตอบแทนแม้แต่สถานที่ตั้งค่ายทหารแตกต่างจากทหารคั่งหลงทุกด้าน ทว่าราชครูมีกิจธุระมากมาย และไม่ได้มอบหมายภารกิจให้พวกข้า ส่วนพวกข้าเป็นอิสระจากทหารคั่งหลงระยะยาว ค่อยๆ เข้ากับค่ายเดิมไม่ได้แล้ว เดิมทีพวกเราเฝ้าปรารถนาจะกลายเป็นนายกองปฏิบัติการโดยเร็วที่สุด เช่นนั้นจะกลับคืนสู่คั่งหลงได้ ทว่าเนิ่นนานไม่ได้รับการแก้ไข พวกเราอาสามาหุบเขาเทียนฮุยด้วยตนเอง ด้วยเพราะผู้บัญชาการเอ่ยว่าหากทำภารกิจนี้สำเร็จ เขาจะเสนอขอราชครูย้ายพวกเราเป็นนายกองปฏิบัติการได้”
“ไม่รู้หรือว่าหุบเขาเทียนฮุยอันตรายยิ่งนัก?” จิ่งเหิงปัวดีดนิ้วมือ กล่าวว่า “แม้ตำแหน่งนายกองบรรดาศักดิ์สันโดษและอึดอัด แต่รออีกไม่นานย่อมมีโอกาสกลายเป็นนายกองปฏิบัติการ คงดีกว่าวิ่งแจ้นมาหุบเขาเทียนฮุยแล้วสูญเสียแม้แต่ชีวิตกระมัง?”
“ท่านเอ่ยอะไรของท่าน!” บุรุษผู้นั้นขมวดคิ้วเอ่ยว่า “แม้หุบเขาเทียนฮุยอันตราย แต่เป็นเพียงหุบเขาที่มีหมอกพิษบึงโคลนค่อนข้างมาก อย่างมากคงมีสัตว์ประหลาดอีกเล็กน้อย พวกข้ากินยาถอนพิษแล้ว ด้วยความสามารถของพวกข้า เพียงหุบเขาน้อยแห่งนี้จะจัดการไม่ได้เชียวหรือ? อย่าได้เอ่ยว่าเป็นพลกล้าตายสำรวจเส้นทางเชียวนะ!”
“เอ๊ะ” จิ่งเหิงปัวเบิกตากว้าง กล่าวอย่างประหลาดใจว่า “ช่างเถิด ต่อให้หุบเขาถูกบรรยายไว้ว่าไม่อันตรายขนาดนั้น ทว่าพวกเจ้าเป็นถึงนายกองบรรดาศักดิ์ ฐานะทรงเกียรติ แต่ถูกส่งเข้ามาสำรวจเส้นทางเป็นกลุ่มแรกเสียได้ ส่วนทหารค่ายเจ็ดสีของเฉิงกูมั่วโดยตรงเหล่านั้นเพียงเตรียมไว้สนับสนุนพวกเจ้า พวกเจ้าไม่รู้สึกแปลกใจเลยหรือ?”
“เรื่องนั้นด้วยเพราะพวกเราแข็งแกร่งเลิศล้ำมากพอ!” บุรุษผู้นั้นเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “แม้พวกเราจะซาบซึ้งที่ท่านช่วยชีวิตไว้ แต่ท่านอย่าได้หวังยุยงเชียว! ผู้บัญชาการไม่ใช่คนเช่นนั้น! ด้วยฐานะของพวกข้า เขาคงไม่ทำกับพวกเราเช่นนั้น!”
จิ่งเหิงปัวเท้าคางยิ้มตาหยี คิดว่าเฉิงกูมั่วล้างสมองได้ร้ายกาจมากเหลือเกิน เพียงแต่ในใจคนเหล่านี้ไม่มีความค้างคาใจแม้แต่น้อยจริงๆ หรือ? ไม่มีความค้างคาใจแม้แต่น้อยแล้วถึงขนาดต้องตะโกนเสียงดังขนาดนี้เลยหรือ? นี่มันด่าพี่หรือปลุกใจตัวเองกันแน่?
“เอาเถิดๆ พวกเจ้ายอดเยี่ยมนัก พวกเจ้าเลิศล้ำนัก ฉะนั้นหากไม่ส่งพวกเจ้าเข้ามาสำรวจเส้นทางแล้วจะส่งผู้ใดเล่า?” นางยิ้มแย้มรื่นรมย์พลางโบกมือ กล่าวต่อไปว่า “เช่นนั้น พวกเจ้าก็สำรวจเส้นทางอย่างยอดเยี่ยมต่อไปเถิด แล้วพบกันใหม่!”
“ท่านคือใคร…” คนผู้นั้นยังไม่ได้ทันตะโกนสิ้นเสียง เงาร่างของนางก็หายไปแล้ว ทุกคนแหงนหน้ามองแล้วมีสีหน้าตกตะลึง บางคนพึมพำว่า “พวกเราจ้องมองอยู่ตลอดเลยนะ เหตุใดถึงพลันหายไปเสียแล้ว คนนี้คงไม่ใช่ผีด้วยกระมัง…”
ทุกคนเหน็บหนาวสั่นสะท้านทั่วร่าง เหลียวมองหุบเขาที่ไอควันหนาแน่นบรรยากาศอึมครึม พลันรู้สึกว่าหุบเขานี้อาจจัดการไม่ได้โดยง่ายขนาดนั้น เฉกเช่นผู้บัญชาการเอ่ยไว้ อีกทั้งวาจาเมื่อครู่ของคนผู้นั้นอาจจะไม่ใช่ไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง…
ถูกทรยศแล้วจริงหรือ?
“ไม่ต้องคิดมากขนาดนั้นแล้ว” ชายร่างสูงใหญ่ผู้นั้นพันแผลบนร่างจนเสร็จสิ้น เอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “อย่าลืมล่ะ ยามแรกผู้บัญชาการไม่ให้พวกเรามาด้วย พวกเราอยากตามมาเอง ซ้ำยังยื่นหนังสือคำสั่งด้วย!”
วาจาเดียวทำให้ทุกคนเงียบเสียง ค่อยๆ มีเสียงถอนใจแผ่วเบาดังขึ้น
นั่นสิ ยื่นหนังสือคำสั่งแล้ว หากไม่สำเร็จย่อมต้องพลีชีพ
ต่อให้ข้างหน้าเป็นความตายจริง ได้แต่จำต้องกัดฟันเดินต่อไป
“ไปเถิด”
คนกลุ่มหนึ่งสูญเสียความฮึกเหิมแล้ว เดินเข้าไปในหุบเขาอย่างระมัดระวังยิ่งขึ้น
เงาคนกะพริบวูบ จิ่งเหิงปัวปรากฏตัวข้างหลังพวกเขา ดวงตากลอกกลิ้งรอบหนึ่ง
หนังสือคำสั่งเหรอ?
ดีเลย!
…
ภายหลังแม้เงาเหล่านั้นไม่ได้ปรากฏกายอีก แต่เส้นทางเดินเหินก็ช่างลำบากยิ่งนัก ทุกย่างก้าวแทบจะเป็นบึงโคลน อีกทั้งบึงโคลนนั้นยังเป็นสีเดียวกันกับไอควัน ทำให้จำแนกได้ยาก เหล่านายกองบรรดาศักดิ์ใช้เวลากว่าครึ่งชั่วยามก็เพิ่งจะเข้าสู่ส่วนกลางของหุบเขา ยามเดินข้ามบึงโคลนน้อยแห่งหนึ่งก็สูญเสียสหายที่บาดเจ็บสาหัสด้วยเพราะกลางบึงโคลนนั้นมีแรงดูดเป็นพิเศษ
แน่นอนว่าตลอดทางได้ค้นพบไม่น้อยเช่นกัน ยิ่งเข้าไปข้างในยิ่งมีของดีอยู่มากจริงๆ ยามเดินทางถึงส่วนกลาง พวกเขาพบถ้ำแร่ที่น่าจะเป็นเหล็กอ่อนจึงทำเครื่องหมายไว้ที่นั่นอย่างชัดเจน ส่วนสมุนไพรและพืชพันธุ์ประหลาดหลายชนิดที่พบเจอตลอดทาง พวกเขาใช้เครื่องมือเฉพาะทางเก็บเกี่ยวมาด้วย สิ่งของที่ใส่ในกระเป๋าสะพายหลังไม่ได้หรือล้ำค่ายิ่งนักไม่อาจเก็บมั่วซั่วได้ก็ทำเครื่องหมายไว้เช่นกัน
หุบเขานี้ไม่มีคนอยู่มานานหลายปี ของดีอุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก ผ่านไปไม่นานทุกคนรับน้ำหนักเต็มพิกัด ตัดสินใจไม่เก็บของอีกแล้ว ค้นหาแหล่งแร่สำคัญตามตำนานแล้วค่อยว่ากันอีกครั้ง
จิ่งเหิงปัวเหินวูบตามหลังตลอดทาง ไม่ได้เปลืองแรงเด็ดพืชด้วย แค่เก็บของสำคัญบางอย่างที่เหยียลี่ว์ฉีบอกนาง ความสนใจของนางอยู่ที่ความเปลี่ยนแปลงของพืชพวกนั้นมากกว่า
นางพบว่าข้างใต้โขดหินมีพืชสีฟ้าอ่อนคล้ายพืชไม่มีท่อลำเลียง ข้างบนมีหญ้าหน้าผีที่สยองจนผียังกลัวขึ้นอยู่ ซ้ำยังงอกงามอย่างยิ่ง หนาแน่นกว่าแห่งอื่นมาก ข้างพืชสีฟ้าอ่อนไม่มีท่อลำเลียงพวกนี้ยังมีหญ้าสีดำไม่สะดุดตาอยู่ด้วย เพราะว่าไม่สะดุดตา อีกทั้งเพราะเหล่านายกองบรรดาศักดิ์ครุ่นคิดหลายเรื่อง หลายคนช่วยกันทำงาน ทำให้ไม่มีใครสังเกตว่าข้างในนี้มีอะไรซ่อนอยู่
แต่จิ่งเหิงปัวสังเกตว่าทุกแห่งของที่นี่เต็มไปด้วยรอยลื่น ทั้งบนโขดหินและบนบึงโคลน ดูเหมือนว่าเงาพวกนั้นฝึกฝนท่าร่างแปลกประหลาดชนิดนั้นบริเวณนี้ ท่าร่างของพวกเขามหัศจรรย์มาก ยืนก้มนอนได้ทุกองศา ฉะนั้นบนพื้นบนเพดานทุกแห่งจึงเป็นรอยอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ข้างพืชสีฟ้าอ่อนไม่มีท่อลำเลียงพวกนั้นไม่มีรอยอะไรเลย
แต่หญ้าสีดำข้างพืชสีฟ้าอ่อนไม่มีท่อลำเลียง ต้นหญ้าทุกต้นถูกตัดไปส่วนหนึ่ง
หุบเขาที่ปิดสนิทจะกลายเป็นระบบนิเวศอิสระ หมอกพิษในหุบเขาพิษชนิดนี้ต้องหนาทึบอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเล่ากันว่าสรรพสิ่งย่อมร่วมเกิดร่วมข่ม บริเวณสามก้าวรอบหญ้าพิษต้องมียาถอนพิษแน่นอน
เห็นได้ชัดว่าเหล่าเงาเป็นคนที่เหลือรอดในหุบเขานี้ คนพวกนี้ต้องรู้จักตำแหน่งปลอดภัยและอันตรายในหุบเขาเป็นอย่างดี แบบนั้นพืชสีฟ้าอ่อนไม่มีท่อลำเลียงนี้เป็นหนึ่งในแหล่งกำเนิดสำคัญของหมอกพิษในหุบเขาใช่ไหม? ส่วนหญ้าสีดำที่ถูกเด็ดไปนั้นเป็นยาถอนพิษที่ควบคุมหมอกพิษในหุบเขาใช่ไหม?
จิ่งเหิงปัวไม่เก็บสมุนไพรประหลาดอะไรอีกแล้ว เริ่มตั้งใจรวบรวมหญ้าสีดำพวกนั้น
เหล่านายกองบรรดาศักดิ์จ่ายค่าตอบแทนอีกศพจึงค้นพบเหมืองโลหะดำแห่งหนึ่ง ยามค้นพบแหล่งแร่แห่งนั้น พวกเขาก็เริ่มอ่อนแรงแล้ว ทุกผู้คนไม่ร้องยินดีอีกต่อไป เพียงจ้องมองศพนั้นเงียบกริบไร้วาจา…สหายร่วมทัพผู้นั้นสิ้นลมจากการลอบทำร้ายครั้งหนึ่ง ไม่ใช่ด้วยเพราะเงาเหล่านั้นก่อนหน้านี้ ทว่าด้วยเพราะกรงเล็บที่พลันปรากฏขึ้น กรงเล็บเดียวตบศีรษะของเขาจนแหลกเหลวแล้วหายไป ทุกผู้คนเห็นเพียงเงาสัตว์หลากหลายสีสันตัวหนึ่ง สีสันเช่นนั้นพาให้ในใจเกร็งแน่น ไม่มีความกล้าหาญไล่ตามไป
เงาประหลาดกับมนุษย์ประหลาดเช่นนี้มีมากเพียงใดกันแน่? หุบเขาเทียนฮุยที่พวกเขาเผชิญอยู่เป็นหุบเขาเยี่ยงไรกันแน่?
ยามนี้พลันนึกถึงวาจาง่ายดายว่า ‘มีหมอกพิษเล็กน้อย อาจมีสัตว์ร้าย มีอันตรายเล็กน้อย ทว่าเล่ากันว่าน่ากลัวเป็นการเผยแพร่ข่าวลวงมากกว่า’ ของผู้บัญชาการเฉิงอีกครั้ง ความรู้สึกเหน็บหนาวในใจของทุกคนก็ยิ่งหนักหน่วง
โชคร้ายกว่านั้นคือเพิ่งผ่านพ้นมาชั่วยามเดียว แต่ทุกคนรู้สึกแล้วว่ากำลังกายค่อยๆ ถดถอย รู้สึกวิงเวียนตาพร่า ฝีเท้าค่อยๆ เริ่มเชื่องช้าลง ในใจวีรบุรุษร้อยสงครามเหล่านี้เข้าใจแจ่มแจ้งว่าถูกพิษเข้าเสียแล้ว
ยาถอนพิษที่เอ่ยไว้เป็นเรื่องหลอกลวงด้วยเช่นกัน
ทว่ายามนี้พวกเขาเข้าไปในหุบเขาลึกมากแล้ว ด้วยสถานการณ์และกำลังกายเช่นนี้ หากเดินกลับไปต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วยามเช่นเดียวกัน พวกเขาไม่มีทางที่จะประคองร่างออกจากหุบเขาได้ก่อนพิษออกฤทธิ์แล้ว
มีแต่ต้องเดินไปข้างหน้าเท่านั้น
เงาน่ากลัวเหล่านั้นเป็นศัตรู ทว่าเป็นสัญญาณสำคัญเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าที่นี่ไม่ใช่หุบเขามรณะ สามารถอยู่รอดต่อไปได้ มียาถอนพิษอยู่ ขอเพียงหายาถอนพิษเจอย่อมรอดชีวิต
ทว่าพืชในหุบเขามากมายหลายร้อยชนิด ส่วนใหญ่เป็นพืชมีพิษ ผู้ใดจะรู้ว่าชนิดไหนเป็นยาถอนพิษเล่า? ยิ่งเข้าไปข้างใน หมอกพิษยิ่งหนาทึบ ทำให้มีโอกาสสิ้นชีพเร็วมากยิ่งขึ้น
นี่คือทางตาย
ในใจทุกคนมีสี่คำนี้เฉียดผ่าน พอเงยหน้ามองเห็นท้องฟ้ามืดสลัวยิ่งขึ้น
แม้แต่หิมะข้างนอกยังไม่มีทางลอยเข้ามาในหุบเขาพิษนี้ได้ หากสิ้นชีพอยู่ที่นี่ คงเป็นเพียงซากศพซากกระดูกไว้บำรุงรากหญ้า
ศัตรูของคนนับหมื่นที่โลดแล่นบนสนามรบ กลับมาสิ้นลมอยู่ที่นี่อย่างเงียบเชียบ นั่นเป็นความอัปยศที่ทหารไม่อาจยอมรับได้โดยแท้
“ไปเถิด” ฝังสหายร่วมทัพอีกศพแล้ว ชายร่างสูงใหญ่ผู้นั้นเช็ดเหงื่อที่ท่วมใบหน้าครั้งหนึ่ง แล้วเดินไปข้างหน้า
“พวกเราไม่ต้องหายาถอนพิษแล้ว…” มีคนเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา
“พวกเราค้นหาเหมืองทองก่อนเถิด นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญที่สุด พอค้นพบสิ่งนั้นแล้ว จุดดอกไม้ไฟออกไป พวกเขาจะตามเข้ามาสนับสนุน แล้วพวกเราอาจได้ยาถอนพิษ ประคองร่างกลับไปได้ หากหายาถอนพิษด้วยตนเองอาจสิ้นชีพได้” สมองของชายร่างสูงใหญ่ชัดเจนยิ่งนัก
“ผู้บัญชาการเอ่ยไว้ว่าหากค้นพบเหมืองทอง ทหารคั่งหลงจะได้รับผลผลิตหนึ่งในร้อยส่วน สร้างชุดเกราะที่ดีกว่านี้ให้เหล่าพี่น้องได้ พวกเรานับว่าพยายามแทนสหายร่วมทัพสักครั้ง ไม่มีสิ่งใดไม่คุ้มค่า” มีคนให้กำลังใจกองทัพ
ทุกคนเดินตามเงียบกริบ
ทว่าเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว พวกเขาพลันได้ยินเสียงร้องยินดีดังขึ้นจากข้างหน้า เสียงสูงดังก้อง เต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“หาเจอแล้ว! หาเจอแล้ว! หาเหมืองทองเจอแล้วว่ะฮ่าๆๆ! ว่ะฮ่าๆๆ ค้นพบเป็นคนแรกแบ่งผลผลิตหนึ่งในสิบส่วนว่ะฮ่าๆๆ!”
เสียงหัวเราะหลงระเริง ทุกคนจำได้ว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของผู้ควบคุมสัตว์จอมโอหังคนนั้น เขาชิงตัดหน้าค้นพบเหมืองทองแล้ว
ทว่าจากนั้นวาจาประโยคหลังนั้นของเขาทำให้ทุกคนหน้าเปลี่ยนสี…ค้นพบเหมืองทองเป็นคนแรกสุดแบ่งผลผลิตหนึ่งในสิบส่วน? ผู้บัญชาการก็เอ่ยว่าแบ่งผลผลิตหนึ่งในร้อยส่วนไม่ใช่หรือ?
แล้วเก้าสิบในร้อยส่วนหายไปที่ไหนแล้ว?
ครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย ก็พลันเข้าใจกลลวงกับเล่ห์เหลี่ยมในนั้นแล้ว
บุคคลต้นแบบพังทลายดังครืนในพริบตา