เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 24.4
“ท่านจย่าแปด เจ้าจะมัดข้าแสร้งว่าทรยศ หยั่งเชิงปฏิกิริยากองทัพเซวียนหยวนของข้า ค้นหาสายลับจากเรื่องนี้หรือ?”
“นายน้อยรองคิดว่าแผนการนี้เป็นอย่างไร”
“ดีอยู่แล้ว เพียงแต่…ไม่ค่อยปลอดภัย หากครั้งนี้ผู้ใดพลาดพลั้ง ข้าไม่ทันได้วิ่งหนีด้วยซ้ำ อีกทั้ง…”
“เหอะๆ ข้าน้อยจะกล้าให้นายน้อยรองตกอยู่ในอันตรายได้อย่างไร อีกทั้งข้าน้อยกับนายน้อยรองเพิ่งรู้จักกันเพียงครึ่งวัน และไม่มีเหตุผลขอร้องให้นายน้อยรองเชื่อข้าโดยไม่ห่วงความปลอดภัยของตนเอง เพียงแต่นายน้อยรอง ท่านลองดูเชือกนี้ก่อน”
“อา…เหตุใดเพียงสัมผัสพลันขาดแล้วเล่า?”
“นี่คือเชือกหนังที่ทำขึ้นเป็นพิเศษ ใช้เอ็นของสัตว์หนังนิ่มในบึงโคลนทะเลตะวันตก ดูท่าทางทนทานเช่นเดียวกับเชือกหนังวัว แท้จริงแล้วต่อให้เป็นเด็กสตรีคนชรา เพียงสัมผัสพลันขาดเช่นกัน ของสิ่งนี้ไม่เป็นภัยต่อคนที่ถูกมัดเลยแม้แต่น้อย ทว่าหากกระชากออกจะพุ่งเหินทั่วทิศได้ หากสัมผัสสิ่งเย็นเยียบจะแปรเปลี่ยนแข็งแกร่งดุจกริช แทงคนที่คิดใกล้ชิดจนบาดเจ็บได้ สิ่งนี้เป็นของล้ำค่าที่สืบทอดในตระกูลข้าน้อยเชียว บัดนี้มอบให้นายน้อยรอง คราวนี้ท่านวางใจได้แล้วกระมัง?”
“มหัศจรรย์ยิ่งนัก! มีสิ่งนี้แล้วยังกลัวการลอบสังหารลอบทำร้ายอะไรกัน! สัมผัสแผ่วเบาเพียงครั้ง พวกเจ้าชะตาขาด!”
“จริงสิ พอถึงยามนั้นเจ้าคิดจะทำอย่างไร ข่มขู่ข้าหรือ? ใช้สิ่งใดข่มขู่ข้า ห้ามใช้อาวุธนะ”
“ข้าน้อยคิดจะมัดนายน้อยรองไว้บนพื้น ปล้นทรัพย์สินบนร่างนายน้อยรองจนเกลี้ยง จากนั้นซ่อนกายบนต้นไม้เหนือศีรษะนี้ พอถึงยามนั้นใบหน้าของทุกคนย่อมอยู่ในแววตาของข้าน้อยกับนายน้อยรอง เช่นนี้ทั้งปลอดภัยทั้งเหมาะสม เป็นอย่างไร?”
“ฮ่าๆๆ ดีเลย!”
“นายน้อยรองอย่าหัวเราะ เบาเสียงหน่อย ความสนุกสนานใกล้จะเริ่มต้นแล้ว”
…
สองคนข้างกองไฟกำลังดื่มสุราแกล้มเนื้อ ข้างหลังมีกระโจมปิดกั้นสายลมหิมะ กลิ่นหอมตลบอบอวล เหล่าทหารองครักษ์ของเจ้าเมืองกับทหารจินหลินของผู้นำเผ่าอยู่ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ ไม่อาจดื่มสุราแกล้มเนื้อ ได้กลิ่นแล้วรู้สึกเพียงว่าความหิวโหยปั่นป่วนกระเพาะ พากันเดินออกไปอย่างห่อเ**่ยว
รอบกระโจมเหลือเพียงคนของทางตระกูลเซวียนหยวนนี้คอยคุ้มกัน คนเหล่านี้ท่าทางจงรักภักดี เฝ้าอยู่สองข้างกระโจม
ข้างในมีเสียงคุยเล่นหัวเราะดังแว่วเข้ามา สนทนาวาจาจำพวก “หุบเขาเทียนฮุย…ตระกูล…เหมืองทอง…ผลงานยิ่งใหญ่…ผู้นำตระกูล…” อะไรเลือนราง ซ้ำยังมีเสียงหัวเราะลั่นสบายอารมณ์ยิ่งนักของเซวียนหยวนฉี่
เหล่าองครักษ์สองข้างกระโจมทำตนเสมือนไม่ได้ยิน ใบหน้าเคร่งขรึม
ข้างในพลันมีเสียงดังพลั่กคล้ายสิ่งใดร่วงหล่น จากนั้นยังมีเสียงฮือๆ ดังขึ้นหลายเสียง ทุกคนได้ยินเสียงผิดปกติ ตะโกนต่อเนื่องว่า “นายน้อยรอง! นายน้อยรอง!” ทว่าไม่ได้ยินข้างในตอบกลับ ได้ยินเพียงเสียงดิ้นรนรุนแรงมากยิ่งขึ้น ทุกคนลังเลเล็กน้อย สุดท้ายเลิกม่านพุ่งเข้าไป
พอเข้าไปมองเห็นความวุ่นวายทั้งกระโจม กระถางไฟพลิกคว่ำ เซวียนหยวนฉี่ถูกมัดล้มอยู่บนพื้น แม้แต่กระเป๋าสะพายหลังที่เขานำมาด้วยยังถูกรื้อค้น เผยให้เห็นเอกสารสัญญาทุกฉบับที่อยู่ภายใน รวมทั้งสิ่งของล้ำค่าหายากหลายอย่างที่ตัวเขาเองรีดไถมา
เหล่าองครักษ์พากันพุ่งเข้ามา ยามมองเห็นกระเป๋าสะพายหลังที่เปิดออกใบนั้น สายตาของหลายคนอดจะกะพริบวูบไม่ได้
“นายน้อยรอง! นายน้อยรองเป็นอะไรหรือ!”
“ไอ้หนุ่มคนนั้นเมื่อครู่เล่า!”
“ไอ้โง่!” เซวียนหยวนฉี่ร้องด่าว่า “มองไม่ออกหรือว่าข้าถูกทำร้ายแล้ว? ยังไม่รีบเข้ามาช่วยข้าแก้มัดอีก!”
องครักษ์มากมายรับปากแล้ว ทว่าไม่ได้ขยับเขยื้อน เพ่งมองกระเป๋าสะพายหลังนั่นตาเป็นมัน
เซวียนหยวนฉี่เมินเฉยชำเลืองมองปราดเดียว จากนั้นก็มองดูบนศีรษะ ยอดกระโจมเหนือศีรษะฉีกออกเป็นรูหนึ่งแล้ว เผยให้เห็นใบหน้าสวมตาข่ายทองคำของคนผู้หนึ่ง แน่นอนว่าเป็นเหยียลี่ว์ฉี
เมื่อมองเห็นจย่าแปดอยู่ข้างบน เขาก็รู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก ในใจหัวเราะเยาะขึ้นมา
“นายน้อยรอง ข้าช่วยท่านเอง!” องครักษ์นายหนึ่งรีบร้อนก้าวขึ้นมา
เพิ่งจะเดินออกมาก้าวหนึ่ง
ฉึก
เซวียนหยวนฉี่เบิกตามองกระบี่สว่างจ้าที่ทะลุออกจากหน้าอกขององครักษ์ซื่อสัตย์ของตนเองคนนั้น โลหิตแดงฉานกระเซ็นทั่วใบหน้าเขา
กระบี่นี้ราวกับเป็นสัญญาณเป็นจุดเริ่มต้น หลังความเงียบสงัดน่าตกตะลึงพริบตาเดียว เหล่าองครักษ์พลันเสียสติแล้ว!
คนส่วนหนึ่งตะโกนดังลั่นว่า “ซาเอิน! เหตุใดเจ้าต้องสังหารเขา! มีคนทรยศ! มีคนทรยศ!” ร้องลั่นพลางพุ่งเข้ามา
คนอีกส่วนหนึ่งพุ่งหากระเป๋าสะพายหลังที่ไม่เคยห่างกายใบนั้นของเซวียนหยวนฉี่ แย่งชิงของล้ำค่าหรือหนังสือสัญญาเหล่านั้น ระหว่างวิ่งห้อยื้อแย่งพลางลงมือจัดการคู่ต่อสู้อย่างต่อเนื่อง กระแสฝ่ามือกระแสหมัด ไอกระบี่ไอสังหาร ส่งเสียงฉึกฉับไม่หยุดหย่อน
คนอีกส่วนหนึ่งพุ่งออกนอกกระโจม จุดดอกไม้ไฟแจ้งเจ้านายตนเอง ชั่วครู่หนึ่งดอกไม้ไฟแพรวพราว หลากหลายสีสันบนท้องฟ้าหน้าหุบเขาเทียนฮุย
องครักษ์จินหลินกับองครักษ์ปกป้องเมืองถูกทำให้ตกใจ บางคนจะเดินเข้ามาดู คนที่รู้เรื่องภายในกระซิบขัดขวางพลางยิ้มเยาะ
“อย่าสนใจเรื่องไร้สาระของตระกูลนี้ ความหมายในการดำรงอยู่ของตระกูลเขาคือบุตรชายกลุ่มหนึ่งต่อสู้อย่างต่อเนื่อง รุ่นก่อนเป็นเช่นนี้ รุ่นนี้ก็เป็นเช่นนี้ด้วย สังหารหมดสิ้นแล้วย่อมไม่มีให้สังหารแล้ว เหตุใดพวกเราต้องเข้าไปวุ่นวาย?”
…
ภายในกระโจมเละเทะระเกะระกะ ไม่มีคนไปประคองเซวียนหยวนฉี่ลุกขึ้นแล้ว
เซวียนหยวนฉี่เบิกตากว้าง เหงื่อกับโลหิตทั่วศีรษะทั่วใบหน้า เขารู้ว่าสายลับจำนวนมากอยู่ข้างกาย ทว่านึกไม่ถึงเลยว่าเกือบจะเป็นสายลับกันทั้งกองทัพ องครักษ์จงรักภักดีที่เอ่ยไว้ จนถึงยามนี้ยังไม่มีสักคนมาประคองเขาลุกขึ้นด้วยซ้ำ
ฤดูหนาวครั้งใหญ่เขามีเหงื่อเย็นไหลซึม ตนเองยังเกิดความรู้สึกเหน็บหนาวด้วยเพราะความจริงเช่นนี้
เขาลืมสะบัดเชือกด้วยตนเองแล้วเช่นกัน สะเทือนใจเหลือเกิน รู้สึกรับไม่ได้ไปชั่วขณะ
จนกระทั่งมีองครักษ์ที่นึกถึงเขาจนได้ สลัดวงล้อมสงครามพุ่งเข้ามา เขาแอบดีใจ เพิ่งคิดว่าไม่ต้องสะบัดเชือกแล้ว ทว่าองครักษ์นายนั้นก้าวออกมาสามก้าว มือที่ไพล่ไว้ข้างหลังคว้าเพียงครั้ง ในมือมีขวานน้อยเล่มหนึ่งเพิ่มขึ้นมาแล้ว ฟันลงมาหาเขาอย่างรุนแรง!
“อ๊าก!” เซวียนหยวนฉี่ตกใจจนขวัญกระเจิง ดิ้นรนโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดทั้งสิ้น
ก่อนที่จะดิ้นรน เขาพลันเงยหน้ามองยอดกระโจมปราดหนึ่งคล้ายผีสางเทวดาดลใจ
บนยอดกระโจมมีใบหน้ามนุษย์
ผ้าคลุมหน้าตาข่ายทองคำหายไป คนผู้นั้นกำลังมองดูเขาอย่างนุ่มนวลอ่อนโยน
สายตาสุกสกาวคล้ายสายหมอกเลือนราง สายน้ำขุ่นมัว ความโล่งกว้างกับความว่างเปล่า สิ้นสุดความว่างเปล่าคือความมืดมิด มืดมนไร้ขอบเขตชั่วนิรันดร์
สีสันคลุมเครือนั้นคล้ายพลันละเลงสติปัญญาของเขา พาให้จิตสำนึกเริ่มเลอะเลือน ก่อนจมสู่ความว่างเปล่านั้น ในใจเขาเพียงลางเรือนพร่ามัวเฉียดผ่านด้วยความคิดหนึ่งว่า “ใบหน้านี้คุ้นเคยนัก…”
จิตสำนึกว่างเปล่า ท่วงท่าสะบัดเชือกย่อมไม่ได้กระทำเสร็จสิ้น
ครู่ต่อมาเขาถูกความเจ็บปวดรุนแรงปลุกจากภวังค์ เสียงร้องโหยหวนพุ่งออกมาจากลำคอ
“อ๊าก!”
เซวียนหยวนฉี่ลืมตาขึ้น มองเห็นฝันร้ายที่ชาตินี้ไม่อยากเห็นอีกแล้ว
เขามองเห็นแขนของตนเองลอยขึ้นมา เกลือกกลิ้งตรงหน้าตนเองเพียงครั้งก่อนจะร่วงหล่นบนพื้น
สีโลหิตบดบังสายตาดุจหิมะคลั่ง เขาก้มหน้าลงอย่างงงงวย มองเห็นขวานน้อยเล่มหนึ่งร่วงห่างออกไปสามฉื่อ ข้างขวานคือแขนของตนเอง
หลังผ่านไปครู่ใหญ่เขาเพิ่งเริ่มรู้สึกตัว…แขนตนเองถูกฟันขาดแล้ว!
ยามนี้ความเจ็บปวดทรมานเพิ่งจู่โจมเข้ามาด้วยพลังมหาศาล เขาร้องโหยหวนยาวนาน หวังจะสะบัดเชือกให้ขาดอีกครั้ง ไม่มีแม้แต่พละกำลังเล็กน้อยเพียงนั้นแล้ว
เขาล้มลง ข้างหลังคือทะเลสาบโลหิตหนาข้น เขาจำได้ชัดเจนว่าทะเลสาบโลหิตของตนเองอยู่ข้างหน้า พอเอียงศีรษะ เพิ่งพบว่าในกระโจมกลายเป็นมหาสมุทรโลหิตไปด้วยไม่รู้ตั้งแต่ยามใด ซากศพร่วงหล่นสะเปะสะปะ
องครักษ์เหล่านั้นสังหารกันเอง บาดเจ็บล้มตายกว่าครึ่งหนึ่งเช่นกัน
ทว่าเหล่าองครักษ์ที่รอดชีวิตบ้าคลั่งแล้ว ยังยื้อแย่งกระเป๋าสะพายหลังที่สำคัญใบนั้นของเขาอยู่ ผู้ใดแย่งของเหล่านี้ได้ ผู้นั้นมอบให้เจ้านายตนเองแล้วจะได้ผลงานมากขึ้นส่วนหนึ่ง
เซวียนหยวนฉี่มองดูอย่างสิ้นหวัง ในใจเย็นเยือกทั่วผืน
เขาพลันนึกถึงประเพณีของตระกูลเซวียนหยวน ฝูงหมาป่าแย่งอาหาร ผู้เหมาะสมอยู่รอด
เล่ากันว่ายามนั้น ท่านพ่อของตนเองเคยสังหารพี่ชายน้องชายสามคนถึงช่วงชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลได้ ทว่าหลายปีมานี้ แลด้วยเพราะการขัดขวางของพี่ชายน้องชายที่เหลืออยู่ ยากจะเจริญก้าวหน้าในตำแหน่งขุนนาง
จนถึงบัดนี้ เหล่าลูกหลานรุ่นหนึ่งนี้ลิ้มลองผลลัพธ์ขมขื่นอีกครั้ง
ตกลงแล้วตระกูลเช่นนี้เหมาะสมจะอยู่รอดในต้าฮวงหรือไม่? เขาเองก็ไม่รู้คำตอบ ทว่ารู้ว่าอย่างน้อยที่สุดก็พิสูจน์ได้สิ่งหนึ่ง
ตระกูลเช่นนี้จะกำจัดเขาออกไปจากลำดับวงศ์ตระกูลได้อย่างง่ายดายนัก หากออกจากการปกป้องของบิดาที่ตี้เกอ ตนเองจะกลายเป็นเป้ารับลูกธนูที่แท้จริง
การช่วงชิงของเหล่าองครักษ์ถึงจุดจบแล้ว องครักษ์นายหนึ่งที่ยามปกติเขาเชื่อใจให้ความสำคัญที่สุด คิดว่าแม้นผู้ใดจะเป็นสายลับ แต่เขาคนนี้ไม่มีทางเป็นสายลับแน่ มือหนึ่งหิ้วกระเป๋าสะพายหลัง อีกมือหนึ่งถือมีดชุ่มโลหิต เดินก้าวใหญ่มาหาเขา
เขาหลับตาลงอย่างสิ้นหวัง จวบจนสิ้นชีพยังไม่เข้าใจว่าตนเองนับว่าสิ้นชีพด้วยมือของเหล่าพี่น้องหรือสิ้นชีพด้วยมือของจย่าแปดผู้นั้นกันแน่
บนศีรษะพลันมีลมพัดผ่าน
จากนั้นเขาก็มองเห็นองครักษ์คนนั้นล้มลงไป
เงาคนสายหนึ่งลอยลงมาเชื่องช้าดุจใบไม้ร่วง จย่าแปดที่สายตายังคงลึกลับอ่อนโยนปานนั้น ยิ้มแย้มพินิจเขา
สายตานี้คล้ายไม่มีความคิดสังหารอะไร…
ในใจเขาเพิ่งลุกโชนด้วยความหวัง พลันได้ยินคนผู้นั้นเอ่ยอย่างนุ่มนวลและปีติยินดีว่า “จะให้สิ้นชีพกันหมดไม่ได้ ต้องเหลือไว้ให้เสี่ยวปัวร์เล่นระบายอารมณ์ด้วย…”
น้ำเสียงนั้นโปรดปรานรักใคร่
ทว่าเขาได้ยินแล้วดุจอสนีบาตฟาดกลางศีรษะ ดวงตากลอกเพียงครั้งแล้วหมดสติไป