เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 28.2
เผยซูอยู่ว่างไม่มีอะไรทำ พยายามตามจีบจิ่งเหิงปัว จิ่งเหิงปัวคร้านจะสนใจเขา มัวแต่ฝึกวรยุทธ์กับเรียนรู้ทักษะทุกอย่างของเจ็ดสังหาร เผยซูไม่ท้อแท้เช่นกัน เล่ากันว่าไปหาจื่อหรุ่ยกับยงเสวี่ยอีกครั้ง ไม่รู้เหมือนกันว่ายงเสวี่ยเอ่ยอะไรกับเขา วันรุ่งขึ้นพอตื่นนอน จิ่งเหิงปัวเพิ่งเปิดประตู
ฟิ้ว ดอกไม้สดพรมหยาดน้ำค้างช่อหนึ่งห้อยลงตรงหน้านางกะทันหัน
จิ่งเหิงปัวจ้องดอกไม้ตรงหน้าเขม็ง…ฤดูหนาวขนาดนี้ ดอกไม้มาจากไหนกัน? ปลูกในเรือนกระจกเหรอ? มองไม่ออกว่าดอกไม้อะไร สวยสดงดงาม สีแดงสีเหลือง เพียงแต่ลวดลายนั้นดูท่าทางคล้ายหน้าผีอยู่บ้าง ทำให้นางรู้สึกขนพองสยองเกล้าอย่างไม่ทราบสาเหตุ ยิ่งกว่านั้นภายในกลีบเลี้ยงเหมือนมีตัวอะไรเลื้อยขยุกขยิกอย่างเชื่องช้า…
“ดอกไม้มอบให้โฉมสะคราญ” บนหลังคาบ้านพลันมีเงาคนห้อยลงมา เขยิบใบหน้าสดใสเจิดจ้าเข้าใกล้ตรงหน้านาง เขย่าดอกไม้ในมือดังซ่า เอ่ยว่า “ชื่นชอบหรือไม่”
พอดอกไม้ถูกเขย่า ตัวอะไรในกลีบเลี้ยงนั้นก็เหินออกมาดัง ฟิ้ว จิ่งเหิงปัวเบิกตากว้างมองเห็นเส้นยาวสีดำสายหนึ่ง สังหรณ์ว่าผิดปกติ กะพริบออกไปดังฟิ้ว
บังเอิญว่ายามนี้เทียนชี่โผล่ออกมา สองตาเปล่งประกายเอ่ยอย่างดีใจว่า “โอ้ ยามเหมันต์เช่นนี้ยังมีดอกไม้งดงาม…อ๊าก!”
เสียงต่อมากลายเป็นเสียงกรีดร้อง เทียนชี่ถอยหลังล้มลง จิ่งเหิงปัวกะพริบกลับมามอง แม่เจ้าโว้ย! ทำไมปากของเจ้าคนนี้จู่ๆ ก็เจ่อขึ้นมากะทันหันเล่า?
จากนั้นนางก็เห็นแมลงยาวสีดำตัวหนึ่งคลานออกมาจากปากเทียนชี่ กระพือปีกบินขึ้นไป พอมองรูปร่างสิ่งนั้นรู้เลยว่าเป็นแมลงพิษ จิ่งเหิงปัวรีบหาของทุบมัน ข้างนอกห้องพลันแว่วเสียงร้องว่า “ไอ้เวรเอ๊ย! ผู้ใดขโมยดอกไม้ปีศาจที่ข้าเพาะเลี้ยงตะขาบเจ็ดดาวไป?”
จิ่งเหิงปัวชะงัก รีบกระโดดออกไป
‘ไอ้เวรเอ๊ย’ ฟังแล้วสูงส่งเลิศล้ำเหลือเกิน
“อ๊าๆๆ ดอกไม้ของข้าอยู่ที่นี่! เจ้าเด็กดีของข้าอยู่ที่นี่! ไอ้หัวขโมยน้อยคนนี้! กล้าขโมยของของผู้ชรา เอาชีวิตมา!”
ข้างนอกเริ่มทะเลาะกันดังตูมตามโครมคราม เผยซูกำลังตะโกนว่า “เพียงเด็ดดอกไม้เน่าของเจ้าช่อเดียวเอง ไอ้แก่เลวเจ้ากล้าจู้จี้!”
“ไอ้เด็กเลวเจ้าคงเบื่อชีวิตแล้วกระมัง!”
“ไอ้แก่โง่เง่าวันนี้จะเป็นวันตายของเจ้า!”
…
เสียงตูมตามโครมคราม จิ่งเหิงปัวกลัดกลุ้มพบว่าตัวเองต้องจ่ายเงินค่าซ่อมบ้านคนอื่นอีกแล้ว พลังทำลายล้างของมังกรระเบิดโทสะมากกว่าพวกเฮฮาไม่เท่าไร…
ข้างนอกทะเลาะกันระลอกหนึ่ง หลังจ่ายค่าเสียหายเป็นกระเบื้องหลังคาถล่มครึ่งแถบ หน้าต่างพังครึ่งบาน สุดท้ายเผยซูก็ขับไล่เจ้าผู้ชราคนนั้นไปได้ ก่อนจากไปอีกฝ่ายยังด่าสาดเสียเทเสียอีกรอบ คล้ายว่าการขโมยดอกไม้ของเผยซูทำลายช่วงเวลาสำคัญในการเลี้ยงแมลงพิษอะไรของเขา จิ่งเหิงปัวต้านทานฝอยน้ำลาย ลากเทียนชี่ที่ปากเจ่อกระแทกผ่านหน้าต่างที่เอนเอียงตะโกนว่า “ผู้นั้นน่ะ ทิ้งยาถอนพิษนี้ไว้ด้วย!”
“แมลงพิษยังไม่เติบโต ถูกพวกเจ้าเด็ดดอกไม้ทำลายแล้ว พิษจะมาจากที่ใด!” เจ้าผู้ชราร้องด่าพลางทิ้งเงาด้านหลังไว้ให้นาง เอ่ยว่า “พิษเล็กพิษน้อยเพียงนี้ ใช้เหล้าขาวเช็ดพอแล้ว! ดวงซวยแปดชาติถึงได้พบเจอพวกเจ้า แน่จริงอย่าให้ข้าเจออีก!”
จิ่งเหิงปัวแค่นเสียงหนึ่ง พอมองเห็นเผยซูหน้าบึ้งตึงอยู่ข้างหน้าต่าง นิ้วเรียวยาวจิ้มหน้าผากเขาอย่างรุนแรง ปิดหน้าต่างดังปัง
ข้างนอกหน้าต่าง เผยซูกระทืบกลางเศษไม้อย่างโกรธแค้น เหยียบย่ำดอกไม้ปีศาจล้ำค่านั้นจนเละเทะ
ข้างในหน้าต่าง จิ่งเหิงปัวใช้เหล้าขาวล้างมุมปากให้เทียนชี่ รอยม่วงคล้ำจางไปแล้ว แต่ปากเจ่อยิ่งกว่าเดิม
เจ็ดสังหารตามมาได้ยินเรื่องนี้แล้วหัวเราะท้องแทบแตก จิ่งเหิงปัวใช้เท้าเตะคนละครั้งสั่งให้ถอนพิษอย่างรวดเร็ว สุดท้ายหลังซือซือตรวจอาการแล้วเอ่ยว่าเดิมทีใช้หญ้าเจ็ดดาวถอนพิษได้ แต่ใช้เหล้าขาวแล้วหญ้าเจ็ดดาวเลยไม่มีผลอีกต่อไป อีกทั้งแม้เหล้าขาวกำจัดความเป็นพิษส่วนหนึ่งได้ แต่ทำให้สารพิษอีกส่วนหนึ่งตกค้างที่บาดแผลเช่นกัน ภายในระยะเวลาอันสั้นยาอะไรขจัดไม่ได้ทั้งนั้น ได้แต่รอให้หายเป็นปกติเอง กล่าวอีกนัยหนึ่ง หญิงสาวสงบเสงี่ยมรักสวยรักงามเช่นเทียนชี่คนนี้ ต้องทนปากเจ่อเดินทางทั่วโลกหล้าอย่างน้อยครึ่งเดือน
หลังตื่นฟื้นจากการโจมตีหนักหน่วง เทียนชี่ใช้เวลาครึ่งชั่วยามรับรู้ข่าวร้าย จากนั้นลุกขึ้นเดินออกไปโดยไม่เอ่ยวาจาสักคำ
จากนั้นข้างนอกก็พลันเกิดกระแสหมัดกระแสมีดเสียงตะโกนเสียงทะเลาะวิวาทดังลั่น คลุกเคล้าเสียงร้องของเผยซูว่า “ข้าไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย…” ซ้ำยังแว่วเสียงท่องกลอนสุขสันต์บนความทุกข์ของผู้อื่นของเจ้าหมาโง่ว่า “ต้มถั่วเผาต้นถั่ว ในหม้อคั่วถั่วร่ำไห้ ไอ้โง่ทั้งคู่ไซร้ ไยเร่งเร้าเผาผลาญกัน”
อีกทั้ง “ร้อยธารมุ่งสินธุ์บูรพา หวนหาประจิมยามใดรู้ เทียนชี่ปากเจ่อยังคงอยู่ เผยซูรอคอยบาดเจ็บหนัก” ซึ่งมอบให้เทียนชี่
“ไอ้นกชั่ว ประเดี๋ยวข้าจะถอนขนเจ้า!” เผยซูที่กำลังทะเลาะวิวาท แต่เขายังมีเวลาว่างมาด่านก เห็นได้ชัดว่าช่วงนี้เขาก้าวหน้าขึ้นมาก
เจ้าหมาโง่เปล่งเสียงหัวเราะก๊ากๆ เตรียมล่าถอยจากหลังหน้าต่าง เฟยเฟยแอบเข้ามาอย่างเงียบเชียบ คว้ามันไว้ในครั้งเดียวแล้วกวัดแกว่งออกนอกหน้าต่าง
ช่องหน้าต่างที่พังแล้วพลันมีขนหลากสีสันหลายเส้นลอยออกมา คลุกเคล้าเสียงกรีดร้องของเจ้าหมาโง่
“ทะเลทรายหิมะเวียน จันทร์ผาเยียนดุจตะขอ เฟยเฟยชั่วแต่เกิดหนอ กลิ้งตัวงอหาแม่มัน!”
“ไอ้โคตรโง่ทั้งกลุ่ม รุมกัดกันน่ารำคาญ” จิ่งเหิงปัวกุมขมับ
…
หลังเหตุการณ์ดอกไม้เผยซูก็เงียบสงบไปหลายวัน เอ่ยกันว่าเป็นหนี้ต้องจ่าย เป็นคนร้ายต้องชดใช้กรรม เขายกสาเหตุการมอบดอกไม้ผิดพลาดให้ตาแก่ที่ปลูกดอกไม้ทั้งสิ้น…เหตุใดเขาต้องปลูกดอกไม้พิษ! เหตุใดต้องเลี้ยงแมลงพิษในดอกไม้พิษด้วย! เผยซูคนนี้อุตส่าห์หาดอกไม้ช่อหนึ่งได้คิดว่าง่ายหรือ? หากดอกไม้ไม่ผิดปกติยามนี้จิ่งเหิงปัวคงเป็นของข้าแล้ว! เรื่องดีงามกลับถูกไอ้แก่หนังเหนียวผู้นี้ทำลายทั้งสิ้น!
เพลิงโทสะคั่งแค้นสุมทรวง เขาออกไปหาเรื่องเจ้าผู้ชราคนนั้นทุกวัน…สาเหตุหลักคือแท้จริงแล้วเขาอยู่ในโรงเตี๊ยมไม่ได้ เทียนชี่ประกาศก้องทั่วหล้า เอ่ยว่าไม่ยอมอยู่ใต้ฟ้าเดียวกันกับเขา
เล่ากันว่าตาแก่คนนั้นอาศัยอยู่ในหุบเขาแห่งหนึ่งนอกเมืองเทียนหลินสามสิบลี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเผยซูหาที่นั่นเจอได้อย่างไร เขาไปหาเรื่องวันแรก ตอนค่ำกลับมาหลบซ่อนแสงไฟ แต่ถูกจิ่งเหิงปัวขวางไว้
จิ่งเหิงปัวแสยะยิ้มถามเขาว่าราบรื่นไหม? ได้แก้แค้นไหม? ได้จัดการเจ้าผู้ชราคนนั้นให้โกรธจนควันออกหูไหม?
“แน่นอน!” เผยซูตอบอย่างสง่าผ่าเผยว่า “ข้าถอนหญ้าพิษของเขาจนเกลี้ยง กระทืบแมลงพิษของเขาจนสิ้นชีพ เผาแปลงดอกไม้ของเขาจนวอดวาย ต่อยเขาจนหน้าตาฟกช้ำทั่วร่างดำเขียวคุกเข่าวิงวอน มัวต่อยหมกมุ่นไปหน่อย เพิ่งกลับมายามฟ้ามืด!”
จากนั้นเขาเข้าห้องไปด้วยหน้าตาฟกช้ำทั่วร่างดำเขียวแล้ว…
หลังจากนั้นเขายังไปทุกวัน โชคดีที่รอยฟกช้ำลดลง แผลต่อยของแมลงพิษหลายชนิดลดลงด้วย จากนั้นวันหนึ่งจิ่งเหิงปัวรู้สึกแปลกใจกะทันหันด้วยพบว่าสีเทาจางบนใบหน้าเจ้าคนนี้หายไปหมดแล้ว
ครั้งนี้เขากลับมาตอนค่ำ จิ่งเหิงปัวกินข้าวใต้แสงไฟ กินไปพลางแอบคีบอาหารที่ตัวเองชอบกินจากชามที่เผื่อไว้ให้เขาไปพลาง พอเงยหน้าพลันรู้สึกปวดตา
สว่างไสวจนแสบตา!
นางพุ่งเข้าไปคว้าใบหน้าของเผยซูไว้ มองซ้ายมองขวา จิ๊จ๊ะร้องว่าอัศจรรย์…กล่าวว่าเจ้าคนนี้เป็นหยกขาวที่แท้จริงไม่โอ้อวดเลยแม้แต่น้อย กระทั่งไม่ค่อยเหมาะสมด้วยซ้ำ หยกยังไม่ขาวเท่าเขาเลย! หยกยังมีรอยด่างพร้อยมากกว่าเขา!
ใต้แสงไฟใบหน้านั้นงดงามดุจภาพวาด มองแวบเดียวพอให้ผู้คนหยุดหายใจ
“นี่ หมู่นี้ใช้สิ่งใดบำรุงผิว? ให้พี่เรียนรู้บ้าง!”
“เป็นอย่างไร” เผยซูไม่ได้ปัดกรงเล็บของนางออกไปเช่นเดิม คว้าไว้มือของนางไว้ในครั้งเดียว เอ่ยอย่างลำพองใจว่า “บัดนี้ข้าฟื้นคืนหน้าตาแล้ว เจ้าคงต้องยอมสมรสกับข้าแล้วกระมัง”
“ใบหน้านี้ล้ำค่านัก!” จิ่งเหิงปัวเหมือนไม่ได้ยินวาจาของเขา พลิกมือแงะนิ้วเขาเริ่มพึมพำคิดบัญชีเจื้อยแจ้วว่า “ขายเข้าหอคณิกาชายต้องได้เงินเยอะแน่เลย หน้าตาระดับนี้น่าจะนับว่าขั้นสองได้กระมัง? ประมาณหนึ่งพันตำลึงกระมัง…”
“จิ่งเหิงปัว! เจ้ามีตาหรือไม่!”
…
ผ่านไปไม่นานจิ่งเหิงปัวพบว่าคนอย่างเผยซูนี้ ฟื้นคืนหน้าตาแล้วไม่ดีเท่าตอนไม่ฟื้นคืน ด้วยเพราะความมั่นใจของเขาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ตอนไม่ได้ฟื้นคืนยังคลั่งระเบิดฟ้าแล้ว พอฟื้นคืนแทบอยากจะพุ่งทะลุฟ้าไปเลย
แท้จริงแล้วเขาทะลุฟ้าไปไม่เป็นไรหรอก แต่พานางโด่งดังไปด้วยคงไม่ค่อยดีแล้ว
วันต่อมาหลังฟื้นคืนหน้าตา เจ้าคนนี้ติดป้ายแนวนอนบนหลังคาโรงเตี๊ยม ข้างบนเขียนว่า ‘ข้าชาติชายเกรียงไกรล้ำโลกหล้า นวลแก้วตางดงามไม่มีสอง ครั้นพานพบลมเมฆร่วมปรองดอง สามชาติครองหมั้นหมายข้างกายนาง’
ข้างล่างยังมีอักษรน้อยที่ตนเองใช้พู่กันเขียนลงไปแถวหนึ่งว่า ‘ปัว! ข้ายอมสมรสกับเจ้า เจ้ากล้าสมรสหรือไม่?’ ข้างล่างเป็นอักษร ‘ซู’ ตัวหนึ่ง อักษรซูเขียนได้ฉวัดเฉวียนงดงามยิ่งนัก ใหญ่กว่าอักษรปัวนั้นมากนัก
ป้ายแนวนอนเตะตายิ่งนัก ผืนผ้าแพรต่วนแดง อักษรผ้าดิ้นทอง ซ้ำยังประดับศิลาเปล่งแสงเล็กน้อย ศิลานี้คือสิ่งที่เรียกว่าผลึกแก้วนั่นเอง ไร้ค่าในต้าฮวง ทว่าเปล่งประกายเจิดจ้าใต้แสงอาทิตย์ พลิ้วไหวสูงส่ง เรียกให้ทุกคนที่เดินไปเดินมาพากันเงยหน้างงงัน
สองข้างหลังคาโรงเตี๊ยมยังปักธงสองผืน ข้างซ้ายเขียนว่า ‘ปัว เป็นของข้าเท่านั้น’
ข้างขวาเขียนว่า ‘ซู หนึ่งในใต้ฟ้า’
ขณะกินข้าวเช้าจิ่งเหิงปัวถูกเชิญขึ้นเดินเล่นบนหลังคาบ้าน พอเงยหน้าพลันถูกธงที่โอ้อวดสายลมกระแทกเต็มหน้า
ข้างล่างโรงเตี๊ยมมีคนกลุ่มหนึ่งมาชุมนุมกันแล้ว ชี้ไม้ชี้มือไปข้างบน จิ่งเหิงปัวลงมือทันที คิดจะปลดป้ายออกแล้วเผาทิ้ง แต่เผยซูคาดการณ์ไว้ก่อนแล้ว เขาส่งลูกน้องสองคนพิทักษ์หน้าผืนธงกับแผ่นป้ายอย่างแน่นหนา สั่งให้พวกเขาปกป้องป้ายกับธงไว้เฉกเช่นปกป้องฐานที่มั่น…ป้ายอยู่คนรอด ป้ายหายคนตาย!
จิ่งเหิงปัวคงทำให้คนอื่นฆ่าตัวตายไม่ได้ มนุษย์เทาพวกนี้น่าสงสารมากพอแล้ว เดิมทีเป็นขุนพลเรืองนามคำรามทั่วทิศ อย่างน้อยที่สุดคงเป็นนายกอง อยู่หุบเขาพิษห้าปี ทุกวันวิตกกังวลดิ้นรนทุรนทุรายเพื่อการอยู่รอด นอกจากมนุษย์มหัศจรรย์เช่นเผยซูคนนี้ที่จิตใจไม่เสื่อมคลายปณิธานไม่สูญสิ้นแล้ว ทุกคนที่เหลือกลายเป็นพวกเงียบขรึมไม่มีตัวตน กลัวแสงสว่างกลัวพระอาทิตย์กลัวฝูงชน คาดว่าต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะเริ่มปรับตัวได้
นางได้แต่แกล้งมองไม่เห็น แอบย่องหลบเข้าห้อง ตัดสินใจว่าถ้าไม่ใช่เรื่องจำเป็น นางจะไม่ออกมาให้อับอายขายหน้าเด็ดขาด
แผ่นป้ายโบกสะบัดเชื่องช้าใต้ท้องฟ้าสีคราม ทั้งเมืองพากันฮือฮา บางคนยอมเดินทางหลายสิบลี้จากนอกเมืองตามมาชมความแปลกใหม่ ต่างคาดเดาว่าซูในป้ายสู่ขอนี้เป็นบุรุษเกรียงไกรเพียงใด? ถึงกล้าสู่ขออย่างแปลกแยกแตกต่างเพียงนี้? แล้วปัวนี้เป็นโฉมสะคราญเพียงใดกัน? ทำให้บุรุษหล่อเหลาเลิศล้ำนั้นไม่กลัวคำวิจารณ์กระทำการเปิดเผยเช่นนี้ได้?
ผู้คนทยอยพลุกพล่าน ถนนหน้าโรงเตี๊ยมถูกเบียดเสียดแน่นขนัด แม้แต่ประตูเมืองยังแออัดกว่าแต่ก่อน ยามคนเสื้อเทาผู้หนึ่งเดินเข้าเมือง ฝีเท้ากรีดกราย ไร้คนสนใจ
เขาเดินไปพลางดื่มสุราไปพลาง ดื่มเสร็จยื่นมือเพียงครั้ง สหายติดตามสองคนข้างกายพลันรับกระบอกเปล่าไว้ ส่งสุราเต็มกระบอกให้เขา จากนั้นหยิบถุงสุราใบใหญ่ที่แบกไว้ข้างกาย รินสุราใส่กระบอกเปล่านั้นจนเต็ม เตรียมพร้อมสับเปลี่ยนทุกเวลา
ความเร็วในการสับเปลี่ยนกระบอกสุรารวดเร็วยิ่งนัก เพียงเดินผ่านถนนสั้นสายหนึ่ง เปลี่ยนไปสามครั้งแล้ว
ข้างหน้ามีฝูงชนจ้อกแจ้กจอแจ ขัดขวางเส้นทางไว้ คนชุดเทาที่ดื่มสุราพลันเงยหน้า มองเห็นธงพลิ้วไหวโอ้อวดบนหลังคาโรงเตี๊ยม
ยามแรกเขาหัวเราะฮ่าๆ สายตาพลันเฉียดผ่านอักษร ‘ซู’ บนธง ดวงตาสว่างวูบ
“ฮ่า! คงไม่ใช่ไอ้เด็กนั่นกระมัง! คล้ายท่าทางของเขา!” เขาพึมพำกับตนเอง ทิ้งกระบอกสุราให้สหายติดตาม ร้องว่า “ไป ไปดูหน่อย!”
ทว่าเขาขยับเขยื้อนฝีเท้าไม่ได้ ไหล่ถูกคนรั้งไว้
เขาหันหน้ากลับมา มองเห็นดวงตาคุ้นเคยคู่หนึ่งใต้หมวกกุ้ยเล้ยลึกล้ำนั้น
“เจ้า…” เขาตกใจ หุบปากโดยพลัน สายตาเหลียวมองรอบด้าน เอ่ยว่า “เจ้ามาได้อย่างไร? เช่นนั้นเขาเล่า…”
“สมุหราชองครักษ์โปรดชะลอฝีก้าว” คนผู้นั้นกระซิบกระซาบ บุ้ยปากไปทางถนนตรอกฝั่งหนึ่ง
สองคนแฝงกายกลางฝูงชน เดินเข้าตรอกน้อยไร้คนฝั่งหนึ่ง
ผ่านไปสักพัก คนเสื้อเทาก้าวเท้าออกจากตรอก ในมือเขายังคงมีกระบอกสุรา ทว่าไม่ได้ลิ้มรส
ฝีเท้าของเขาคล้ายเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ก่อนหน้านี้เกียจคร้านอืดอาด ยามนี้แต่ละย่างก้าว เหยียบย่ำค่อนข้างสงบนิ่ง
คนรอบด้านมองเห็นคนผู้นี้ ไม่รู้ด้วยเหตุใดในใจก็รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย เดินเลี่ยงเขาอย่างควบคุมไม่ได้
ราวกับไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น เขาเงยหน้ามองธงบนหลังคาปราดเดียว
ธงบนหลังคาปลิวว่อน อักษร ‘ซู’ ขนาดใหญ่กับอักษร ‘ปัว’ พลิ้วไหว ป้ายแนวนอนสะบัดดังพึ่บพั่บ แสงทองลานตา
คนผู้นั้นมองปราดเดียว จากนั้นเบนสายตาออก
เปรี๊ยะ เสาธงอักษร ‘ซู’ บนหลังคาบ้านพลันปรากฏรอยร้าวสายหนึ่ง