เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 28.3
ตี้เกอ
แสงอาทิตย์ชำระล้างจิ้งถิง ทว่าหน้าต่างห้องหนังสือปิดสนิทแน่น ซ้ำยังคลุมด้วยผ้าโปร่งสีดำอ่อนหนึ่งชั้น จนทำให้ในห้องขาดแคลนแสงสว่างยิ่งนัก อยู่ตรงหน้ายังไม่แน่ว่าจะมองเห็นอีกฝ่ายชัดเจน
ทว่าขุนนางใหญ่ที่เดินทางมาอภิปรายราชการเคยชินนัก ด้วยเพราะตั้งแต่ยามเหมันต์คราวก่อน เล่ากันว่าท่านราชครูเป็นโรคตา เจอแสงสว่างไม่ได้ ห้องของจิ้งถิงจึงมืดมิดมากยิ่งขึ้น
แสงสว่างค่อยๆ มืดลงทีละน้อยในระยะเวลาสองเดือน ฉะนั้นต่อให้ช่วงนี้มืดลงรวดเร็วก็มองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจนแล้ว ทุกคนไม่รู้สึกว่าปรับตัวไม่ได้กระไรเช่นกัน
ตั้งแต่ก่อนราชครูไม่ชอบอากาศร้อน ไม่ชอบแสงอาทิตย์โชติช่วงเป็นเรื่องที่ทุกคนร่วมรับรู้ ด้วยวรยุทธ์สายหิมะน้ำแข็งของเขา เรื่องเช่นนี้ปกติยิ่งนัก เพียงแต่น้อยคนนักจะคิดได้ว่าการไม่ชื่นชอบแสงอาทิตย์โชติช่วงกับการชื่นชอบความมืดมิด แท้จริงแล้วเป็นคนละเรื่องกัน
ท่ามกลางลำแสงมืดสลัว ราชครูบนเก้าอี้มองดูสมุดพับอย่างเงียบกริบ กำปั้นค้ำมุมปาก กระแอมเล็กน้อยอยู่บ่อยครั้ง
เขาเอ่ยวาจาน้อยครั้ง เสียงแหบแห้งอยู่บ้างคล้ายร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง เหล่าขุนนางใหญ่ไม่กล้าถามมากเช่นกัน เพียงเลือกเอ่ยสิ่งสำคัญจากเรื่องของตนเองไม่กี่ประโยค เวลาส่วนใหญ่ราชครูที่อยู่บนเก้าอี้จะพยักหน้าเล็กน้อย หากพบเจอเรื่องยากตัดสินใจก็จะให้ทิ้งสมุดพับไว้ ประเดี๋ยวค่อยแทงหนังสือแสดงความคิดเห็น
วันนี้มีสมุดพับสองเล่มถูกทิ้งไว้
เล่มหนึ่งคือเซวียนหยวนจิ้งลาป่วย อีกเล่มหนึ่งคือบรรดาตระกูลเก่าแก่ใหญ่โตร่วมลงนาม เลือกเหยียลี่ว์หยางบุตรชายคนโตของตระกูลเหยียลี่ว์เข้ารับตำแหน่งราชครูฝ่ายซ้าย
การสืบทอดตำแหน่งราชครูต้าฮวงไม่คัดเลือกจากเหล่าขุนนาง ปกติแล้วคนหนึ่งถูกกำหนดโดยอดีตราชครูผู้กุมอำนาจแท้จริง อีกคนหนึ่งร่วมลงนามคัดเลือกโดยบรรดาตระกูลผู้ดีที่สถาปนาแคว้น การคัดเลือกของตระกูลผู้ดีมีกฎเกณฑ์ต่างกันไป ส่วนใหญ่คือผลัดกัน เช่น ราชครูรุ่นก่อนมาจากตระกูลขุนนางเซวียนหยวน ครั้งนี้ถึงคราวตระกูลขุนนางเหยียลี่ว์ เช่นนี้จะรับรองการรักษาผลประโยชน์ของตระกูลขุนนางใหญ่โตกับความสมดุลยุติธรรมขั้นพื้นฐาน
บางคนสังเกตว่ายามเลือกสมุดพับส่งขึ้นไป หัวหน้าองครักษ์เหมิงหู่ที่เฝ้ารับใช้อยู่ฝั่งหนึ่งกระตุกหว่างคิ้ว
ราชครูวางสมุดพับชั้นแล้วชั้นเล่าไว้ข้างซ้าย ท่วงท่าเช่นนี้หมายความว่าไม่ได้มอบหมายงาน
เหล่าขุนนางใหญ่อำลา
ม่านแต่ละชั้นแผ่สยาย ท่ามกลางแสงเงาสีดำอ่อนมัวสลัว ราชครูที่ไม่เอ่ยวาจาแม้เพียงคำเดียวเอียงศีรษะมองดูหัวหน้าองครักษ์
…
หลังแผ่นป้ายโอ้อวดบนหลังคาหนึ่งวัน ตอนกลางคืนก็ถูกจิ่งเหิงปัวหายตัวไปปลดป้ายลงมาจนได้ ด้วยความหวาดกลัวอับอาย องครักษ์เฝ้าธงหลายนายนั้นก็พลันจะฆ่าตัวตายตรงหน้าเผยซู จิ่งเหิงปัวเพียงแค่ยิ้มเยาะ
“เผยซู เจ้ามีหน้าให้พวกเขาปลิดชีพตนเองด้วยเพราะเรื่องเช่นนี้ ตลอดชาตินี้เจ้าก็อย่าได้คิดฟื้นคืนเกียรติศักดิ์แห่งขุนพลน้อยหลงเฉิงอีกเลย!”
เท้าที่เตะออกไปของเผยซูหยุดค้างกลางอากาศ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงร้องด่าขึ้นว่า “ผู้ใดต้องการให้พวกเขาสิ้นชีพ? พวกสวะ!” ฝีเท้าเตะลูกน้องหลายคนไปให้พ้นสายตา ก่อนจะกระฟัดกระเฟียดไปนอนแล้ว
จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮ่าๆ ตบมนุษย์เทาที่ลุกขึ้นมาจากพื้นหลายคนนั้น แล้วกล่าวว่า “ดูสิ ขุนพลน้อยของพวกเจ้ายังห่วงใยพวกเจ้าอยู่นะ ภายหลังพวกเจ้าก็ต่อต้านคำสั่งพิลึกพิลั่นเหล่านี้ของเขาได้เลย เขาไม่สังหารพวกเจ้าหรอก!”
“แม่นาง” เหล่ามนุษย์เทาลุกขึ้นมาจากพื้น หน้าตาบึ้งตึงเอ่ยว่า “เช่นนั้นไม่ได้หรอก พวกเราเพิ่งได้รับคำสั่งจากขุนพลน้อย ต้องไปทำงานแน่ะ”
“หา?” จิ่งเหิงปัวตามพวกเขาออกไป เพิ่งเห็นว่ามนุษย์เทากลุ่มใหญ่กำลังรีบทำงานอยู่แน่ะ ย้ายแผ่นไม้ยกก้อนหิน ดูท่าทางนั้นคล้ายต้องการสร้างเวทีประลอง
อะไรกัน? เผยซูรีบร้อนอยากดัง หวังแสดงฝีมือข้างถนน ประลองทั่วโลกหล้าไร้คู่ต่อสู้ จะได้เผยแพร่ชื่อเสียงอย่างรวดเร็วหรือ?
หรือว่าเขาคิดแผนการเฮงซวยอะไรอีกแล้ว?
จิ่งเหิงปัวมองอยู่ครู่ใหญ่ไม่ได้สาระสำคัญ ในใจมักรู้สึกว่าเจ้าคนนี้ไม่มีอะไรดี แต่จะล้มล้างแผนการของเขาตอนนี้ไม่ได้ ได้แต่ไปนอนด้วยความโกรธแค้น
ค่ำคืนนี้นางนอนไม่ค่อยหลับเท่าไร
นางพักอยู่ชั้นสองของโรงเตี๊ยม อากาศยังหนาว นางปิดหน้าต่างสนิท ตอนเที่ยงคืนรู้สึกถึงเสียงลมกะทันหัน
เป็นความรู้สึก ไม่ใช่การได้ยิน ท่ามกลางการสะลึมสะลือ นางรู้สึกถึงแขนเสื้อกลางแสงจันทร์ รู้สึกถึงชีพจรไหลเวียนกลางแขนเสื้อพลิ้วไหว อยู่ตรงหลังคาห้องนาง
ความรู้สึกแบบนั้นช่างประหลาดเหลือเกิน นางรู้สึกว่าตัวเองมองเห็นกระทั่งจันทร์เหลืองอร่ามดวงใหญ่เหนือหลังคานั้น รัศมีเรืองแสงแดงอ่อน ก้อนเมฆเป็นสีเทา เยือกแข็งรอบดวงจันทร์ประหนึ่งรูปสลัก
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่หรือตั้งแต่นางกินยาเม็ดนั้นจากห้องยาแคว้นเซียง การรับรู้สัมผัสของนางก็เฉียบไวยิ่งกว่าเมื่อก่อน เวลาดึกสงัดเงียบสงบจิตใจผ่องใสบริสุทธิ์ยิ่งเกิดความรู้สึกราวกับเบิกเนตรสวรรค์ ไม่ต้องลืมตา เห็นได้ทั่วหล้า
เพียงแต่ความสามารถแบบนี้ต้องอยู่ใต้สภาวะแสนสงบแสนกระจ่างว่างเปล่า ขยับเขยื้อนเล็กน้อย แค่ลืมตายังหายไป
เงาคนนั้นบนหลังคาบ้าน แขนเสื้อพลิ้วสยาย สูงใหญ่เหลือเกิน จิตใจของนางแค่รู้สึกได้ถึงเงาคนเลือนราง จำแนกหน้าตาไม่ได้ แค่รู้สึกรำไรว่าคนคนนี้คล้ายไม่มีเจตนาร้าย
นางนึกว่าคนนี้เป็นคนผ่านทาง จากนั้นเสียงลมดังแผ่วเบา ครู่ต่อมาเขาเข้าสู่ภายในห้อง
คล้ายเมฆก้อนหนึ่งที่ถูกลมหอบมา เงาจันทร์ลอดหน้าต่างยังไม่ถูกบดบัง
ในใจของนางตื่นตระหนก ต้องการลุกขึ้น แต่พบว่าตัวเองขยับเขยื้อนไม่ได้ จิตสำนึกเลือนรางร่างกายแข็งทื่อ คล้ายผีอำที่เล่ากันไว้
จนตอนนี้นางยังไม่รู้ว่านี่เป็นความฝันหรือความจริง ทุกสิ่งลวงตาดุจกั้นด้วยผ้าโปร่ง
เงาคนนั้นเดินเข้ามาใกล้
หัวใจของนางเต้นตึกตัก
ลมหายใจเจือจางพัดผ่าน ไม่ใช่กลิ่นหอม แต่ทำให้รู้สึกว่าบริสุทธิ์สดชื่นอย่างยิ่ง มีพลังทำให้จิตใจสงบ ไม่รู้เพราะอะไร นางเริ่มไม่ตึงเครียดแล้ว…คนที่มีลมหายใจแบบนี้คงไม่ใช่คนที่ไม่เป็นมิตร
แต่คนที่ทำให้นางรู้สึกแปลกหน้าเหลือเกินคนนี้ แอบย่องเข้ามากลางดึกเพราะอะไรกัน?
ไม่ทำอะไรสักอย่าง
นางรู้สึกว่าเขาเดินมาหน้าเตียง หยุดฝีเท้าลง คล้ายก้มลงเล็กน้อย จ้องมองนางอย่างใจจดใจจ่อ
จากนั้นเขาคล้ายกำลังเอื้อมมือหวังแตะต้องนาง ทว่ามือยื่นมาครึ่งหนึ่งแล้วหยุดยั้ง ทอดลงข้างจอนผมนาง
เขาคล้ายเขี่ยผมยุ่งกลุ่มหนึ่งบนหน้าผากนางออก นิ้วมือเริ่มเคลื่อนย้ายลงล่าง
นางเริ่มตึงเครียดอีกครั้ง แต่นิ้วมือของเขาหยุดลงตรงผ้าคลุมผ้าห่มของนาง ลากผ้าห่มที่ถูกนางเลิกไปใต้หน้าอกขึ้นมาให้
หลังจากนั้นนิ้วมือเขาทอดลงบนมือที่วางไว้นอกผ้าห่มของนาง ปลายนิ้วสัมผัสชีพจรข้อมือของนางอย่างแผ่วเบา หยุดนิ่งอยู่ชั่วครู่ ก่อนวางมือของนางคืนตำแหน่ง
ทุกการกระทำแผ่วเบาเหลือเกิน เบาจนคล้ายใยแมงมุมร่วงสู่ผิวกาย ทุกความรู้สึกเลือนรางเหลือเกิน คล้ายมองโลกผ่านกระจกฝ้าหรือเดินในฝันที่สั่นไหว จนทำให้การเคลื่อนไหวต่อเนื่องครั้งนี้เป็นเพียงการคาดการณ์ของนาง ไม่มีทางแน่ใจได้เลย
แม้แต่ลมหายใจนางยังเงียบสงบ ไม่ว่าในใจรู้สึกแปลกประหลาดแค่ไหน ทั่วร่างกายคล้ายเยือกแข็งในครู่หนึ่งนี้
นอกหน้าต่างแสงจันทร์กระจ่าง ขาวโพลนทั่วท้องฟ้า
เขาเงียบสงัดกลางแสงจันทร์ กระจ่างแจ้งกว่าแสงจันทร์ แววตาคือเมฆผืนหนึ่ง ห่อหุ้มสตรีบนเตียงอย่างแผ่วเบา
นางเอียงศีรษะเล็กน้อย ผมดำขลับม้วนอยู่ข้างหู ลมหายใจเยือกเย็นสงบนิ่ง แก้มเจือด้วยสีกุหลาบเฉียงเวยหายาก แตกต่างจากความงดงามเพริศแพร้วยามทิวา บัดนี้เป็นโฉมงามนิทราผู้บริสุทธิ์นางหนึ่ง
สายลมแทรกผ่านซอกแสงจันทร์พัดพลิ้วผมของเขา กลางสายลมนำพาลมหายใจหอมกรุ่นยามเริ่มวสันต์มาด้วย
…
เช้าแล้ว!
จิ่งเหิงปัวลืมตา ลุกขึ้นนั่งดังพรึ่บ แสงอาทิตย์แสบตาทำให้นางงอแขนขวางกั้นทันที จากนั้นก็ได้ยินข้างนอกคึกคักแทบตาย เสียงเร่ขายสินค้า เสียงสัญจร เสียงไม้คานหาบเอี๊ยดอ๊าด ซ้ำยังแว่วเสียงกลองหลัวกู่
เสียงของโลกมนุษย์เช่นนี้พุ่งเข้าหน้าต่างอย่างครึกโครม จิ่งเหิงปัวที่เพิ่งดิ้นรนออกจากแดนฝันลึกลับลึกล้ำชะงักอยู่สักพัก รู้สึกแค่ว่าเสมือนอยู่อีกโลกหนึ่ง ตอนนี้แม้แต่ตัวเองอยู่ที่ไหนยังนึกไม่ออกชั่วขณะ
นางนั่งเหม่ออยู่บนเตียงครู่หนึ่ง รู้สึกแค่ว่าเกียจคร้าน ไม่อยากขยับเขยื้อนและไม่อยากครุ่นคิด แต่ถูกคลื่นเสียงดังสนั่นมากยิ่งขึ้นจากข้างนอกรบกวนจนนั่งไม่ได้ ลงจากเตียงสวมเสื้อผ้าด้วยความเดือดดาล วิ่งลงชั้นล่างปานลมหอบหนึ่ง
คนกลุ่มหนึ่งกำลังกินข้าวเช้า พากันเงยหน้ามองนาง จิ่งเหิงปัวเดินเข้าไปนั่งลง ถามเทียนชี่ว่า “เมื่อคืนนี้ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวอะไรหรือไม่”
“ไม่ได้ยิน!” เทียนชี่ตอบอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ เอ่ยว่า “อะไรหรือ?”
จิ่งเหิงปัวขมวดคิ้ว ห้องพักของเทียนชี่อยู่ใกล้นางที่สุด ถ้ามีใครได้ยินก็คงเป็นเขา เขาที่หูไวตาไวยังไม่ได้ยิน แสดงว่าตัวเองคงฝันไปจริงๆ กระมัง?
ร่างกายไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร ตอนตื่นเช้ามาผ้าห่มยังเลิกออกครึ่งหนึ่ง คล้ายว่าฝันไป
นางถามเจ็ดสังหารอีกด้วย พวกเฮฮาเจ็ดคนหัวเราะคิกคัก เอ่ยว่า “มีๆ!”
“เมื่อคืนนี้เจ้าห้าถูกลากลงนรกร้องโหยหวน พระพุทธองค์ตรัสว่าเขาแอบกินเนื้อต้องลงไปดึงลิ้น!”
“เมื่อคืนนี้ซือซือถูกยาพิษของตนเองทำให้ปัญญาอ่อนลุกไปเต้นระบำ!”
“เมื่อคืนนี้ซานอู่ออกไปไล่ผีสุดท้ายแล้วพาผีสาวสวยตนหนึ่งกลับมา!”
“เมื่อคืนนี้ชีอี้ข่มขืนเจ้าชีชีแล้ว เขาขัดขืนตลอดเลย!”
…
จิ่งเหิงปัวถอนหายใจ…ถามพวกเขายังไม่สู้ถามหมาโง่
หมาโง่กำลังท่องกลอนว่า “วสันต์ลมโชยหิมะโปรยคิมหันต์ ปัญญาดีไม่มีสองต้องหมาโง่”
จิ่งเหิงปัวหันหลังเดินไป ออกไปชมเรื่องสนุกสนานดีกว่า
“ข้างนอกทำกระไรกันอยู่?”
“เผยซูจัดประลองเลือกคู่!”