เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 3.1
เสียงป่าวร้องยืดยาวเดังสะท้านจนทุกผู้คนหยุดนิ่งไม่ขยับเขยื้อน
จิ่งเหิงปัวที่หลับตาลงรวบรวมสมาธิฟังความเคลื่อนไหวอยู่ใต้รถเข็นมาโดยตลอดพลันลืมตาขึ้น
พริบตาเดียวนี้ แม้แต่ช่องทรวงอกยังคล้ายเจ็บปวดขึ้นมา ท่วมท้นด้วยน้ำลายเจือโลหิตเข้มข้นร้อนผ่าวเมื่อคืนนี้
กงอิ้น!
เขายังไม่ตาย!
การแทงครั้งนั้นฆ่าเขาไม่ได้จริงๆ ด้วย!
หรือว่าที่จริงเขาใกล้ตายแล้ว แต่ฝืนพาร่างมาตรวจตราประตูจิ่วเพื่อสยบสถานการณ์?
ตอนนี้เขามาเพื่อจะไล่ล่านางหรือ?
เขาไม่ยอมปล่อยนางให้เป็นอิสระ ต้องเห็นนางตายถึงจะพอใจหรือ?
ในปากท่วมท้นด้วยรสชาติขมฝาดเจือด้วยรสชาติหวานคาว คล้ายเรื่องราวกลางสายลมหิมะเมื่อคืนนี้ซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง คนที่ไม่เคยทำให้นางผิดหวังเลยคนนั้น สุดท้ายแล้วกลับแทงข้างหลังนางอย่างโหดเ**้ยม
การแทงครั้งหนึ่งนี้ทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุด หวังสะบั้นหิมะของค่ำคืนนี้ให้ได้หรือ?
รอบด้านเงียบสงบลงแล้ว นางได้ยินเสียงลมหายใจที่เจือด้วยความโกรธแค้นของพวกอีชี ได้ยินเสียงขุนพลที่ก่อเรื่องคนนั้นเก็บหอกร่นถอยอย่างว่องไว ได้ยินเสียงเถี่ยซิงเจ๋อหลบหลังรถม้าอย่างรวดเร็ว ได้ยินเสียงฝูงชนแยกย้ายกันเชื่องช้าแล้วหมอบคลานอยู่บนพื้น
“ข้าไม่คุกเข่าให้เขา…” เจ็ดสังหารเอ่ยด้วยเสียงเล็กเสียงน้อย
อีชีพลันถูกยงเสวี่ยเตะเข้าครั้งหนึ่ง
แม่นางน้อยที่นิ่งเงียบจนคล้ายไม่รู้สึกถึงการดำรงอยู่อะไรได้กลับเตะคนเป็นครั้งแรก อีชีตกใจจนขาอ่อนยวบต้องคุกเข่าลง
“หากอยากตายเจ้าก็ตายเองสิ อย่าทำร้ายพี่ต้าปัวของข้า!” ยงเสวี่ยเอ่ยด้วยเสียงโหดเ**้ยม
อันที่จริงศิษย์พี่ศิษย์น้องสายฮาทั้งหกคนก็รู้สึกว่าจะคุกเข่าหรือไม่คุกเข่าก็ได้ เมื่อมองเห็นท่าทางที่อีชีคุกเข่าลงไปก็น่าสนุกยิ่งนัก พลันเจ้าถีบข้าครั้งหนึ่ง ข้าถีบเจ้าครั้งหนึ่ง ต่างคนต่างถีบจนต้องคุกเข่าลงไป
จิ่งเหิงปัวเตรียมพร้อมให้เจ็ดคนอาละวาดแล้ว ใครจะรู้ว่ายงเสวี่ยจัดการแก้ไขให้เรียบร้อย…นี่เรียกว่าสิ่งหนึ่งย่อมข่มอีกสิ่งหนึ่งใช่หรือไม่?
คนกลุ่มนี้ต่างคุกเข่าล้อมรอบรถเข็นของจิ่งเหิงปัว เตรียมพร้อมชิงตัวนางออกไปทุกเวลา
แต่จิ่งเหิงปัวเองกำลังเหม่อลอย
เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว หากเขามุ่งมาหาตนเองแบบนั้นจริง แม้หนีก็คงหนีไม่พ้น นางพบว่าตอนนี้ตนเองไม่รู้สึกทุกข์ร้อนเสียด้วยซ้ำ
รอบด้านเงียบสงัด มีเพียงเสียงซ่าๆ ของสายลมพัดเศษหิมะ จิ่งเหิงปัวมองดูข้างนอกผ่านซอกรถเข็นอย่างมึนงง กำแพงเมืองสีเขียวเผยให้เห็นฐานรากจากดินเหลือง ประดับด้วยหิมะลายพร้อย ข้างกำแพงเมืองคล้ายเป็นแผงขายของ โถกระเบื้องมีไอร้อนลอยล่องอย่างเงียบเชียบ
จู่ๆ ก็นึกถึงน้ำแกงโถกระเบื้องที่เคยกินที่จวนเหยียลี่ว์ในวันนั้นขึ้นมา
‘…เจ้าอาจจะเห็นว่ากงอิ้นประหลาดไปทุกสิ่ง ไม่คู่ควรจะเป็นสามีผู้ใดทั้งนั้น ทว่าข้าบอกเจ้าได้ว่าเขาอาจจะไม่เอ่ยวาจากับข้า หรือวาจาที่เอ่ยอาจจะไม่ไพเราะ ทว่าวาจาที่เอ่ยออกมาจนถึงยามนี้ล้วนเป็นความจริง เขายิ้มแย้มน้อยครั้งนัก เวลาส่วนใหญ่มักทำหน้าเย็นชาใส่ข้าน่ารังเกียจยิ่ง ทว่ายามเขายิ้มให้ข้าครั้งแรกเป็นรอยยิ้มจริงใจ ด้วยเพราะข้าผ่านพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จมาได้ คนที่เขาไม่ชื่นชอบมีมากมายนัก เอ่ยได้ว่าทั่วทั้งโลกหล้าต่างเป็นศัตรู ถึงขนาดยามนี้ข้ายังไม่แน่ใจเลยว่าเขาชื่นชอบข้าเพียงใดกันแน่ ทว่าข้ารู้สึกว่าแม้มีความชื่นชอบเพียงเสี้ยวเดียว นั่นย่อมเป็นความชื่นชอบที่แท้จริง’
‘เช่นเดียวกับอาหารนี้ คล้ายพระกระโดดกำแพงนั่นของพวกเราอยู่บ้าง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดอาหารหม้อนี้ของเจ้าถึงได้หอมขนาดนี้? วัตถุดิบทุกอย่างภายในนี้ต่างเป็นของจริง เป็นของชั้นสูง เป็นวัตถุดิบที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำหรือสารเจือปนซ้ำยังถูกคัดเลือกอย่างพิถีพิถัน ฉะนั้นน้ำแกงข้นหม้อหนึ่งนี้ถึงได้มีรสชาติเลิศล้ำ…ความรู้สึกก็เป็นเช่นนี้’
การดื้อรั้นเชื่อมั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตนี้ สุดท้ายแล้วกลับถูกโชคชะตาพิสูจน์ว่าเป็นความรู้สึกที่ผิดพลาดสินะ
เช่นเดียวกับน้ำแกงที่ถูกปรุงแต่งนับครั้งไม่ถ้วน แล้วถูกต้มจนเดือดในหม้อนี้
น้ำลึกไฟร้อน พลิกคว่ำกลับหัวกลับหาง สุดท้ายก็เข้าสู่ท้องของผู้ตะกละตะกลาม
เปลือกตาของนางพลันสั่นสะท้าน
มองเห็นม้าขาวราวหิมะตัวหนึ่ง
จากมุมสายตาของนางยังสามารถมองเห็นรองเท้าข้อยาวสีขาวราวหิมะ สาบเสื้อขาวราวหิมะที่ห้อยสยาย อาภรณ์บางยิ่งนักพัดพลิ้วดุจเมฆเบาด้วยเพราะสายลม บนสาบเสื้อคลุมไม่ได้ห้อยถุงเครื่องหอมป้ายหยกใดที่บุรุษในยามนั้นมักสวมใส่ ทั่วร่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
นางรู้ว่าเอวของคนคนนี้คาดเข็มขัดหยกจนเพรียวบางอย่างยิ่ง
นางรู้ว่าอาภรณ์ของเขาเป็นผ้าเนื้อบางขาวราวหิมะทั้งนอกทั้งใน
นางรู้ว่าคอเสื้อจะมีไข่มุกเม็ดหนึ่ง ปกติแล้วเป็นสีทองอ่อน
นางเกลียดความรู้ดีของตนเอง นางไม่อาจลืมเลือนได้โดยง่าย ความทรงจำบางอย่างลึกซึ้งเหลือเกิน สลักเสลาบนดวงใจ หวังจะขจัดออกไปย่อมต้องกรีดเนื้อเถือหนังจนโลหิตชุ่มโชกเสียก่อน
มองจากท่วงท่าควบม้า นางโศกเศร้าที่พบว่าเขายังคงมีท่วงท่าตรงตระหง่านเฉกเช่นเมื่อก่อน
ดูท่าทางแล้วคงไม่เป็นไรสินะ
นางรู้สึกรีบร้อนอยากฝึกวรยุทธ์จากก้นบึ้งของหัวใจอีกครั้ง
ม้าตัวนั้นค่อยๆ เข้ามาใกล้ เขามาทางนี้แล้วจริงด้วย จิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงลมหายใจของเจ็ดสังหารถี่กระชั้นมากยิ่งขึ้นอย่างชัดเจน นิ้วมือของอีชีหยุดอยู่ใต้รถเข็นโดยตลอด เตรียมคว้าอาวุธออกมาได้ทุกเวลา
จิ่งเหิงปัวมองดูเงาขาวผืนหนึ่งนั้นโดยไม่กะพริบตาเลยสักครั้ง สองจั้ง หนึ่งจั้ง ครึ่งจั้ง สามฉื่อ สองฉื่อ…
บรรยากาศตึงเครียดจนใกล้จะระเบิดแล้ว
อาวุธของอีชีถูกคว้าออกมาครึ่งหนึ่ง อีกมุมหนึ่งมองเห็นผิวใบมีดสีดำขลับ
กงอิ้นพลันหยุดลงแล้ว
หยุดลงตรงข้างรถเข็นของจิ่งเหิงปัว ห่างจากจิ่งเหิงปัวครึ่งฉื่อ
ไหล่ของอีชีแข็งทื่อเสียจนเกือบจะเป็นตะคริว
จิ่งเหิงปัวจ้องมองรองเท้าหุ้มข้อของกงอิ้นเขม็ง
ใกล้ขนาดนี้…ใกล้เพียงนี้…
ข้างมือคือกริชที่เอาไว้ป้องกันตัว พุ่งออกไปเพียงครั้งย่อมแทงไปถึงเขา ทักษะการใช้มีดของนางพอจะทำให้เขาพิการตลอดชีวิตได้
นิ้วมือขยับเขยื้อนเชื่องช้า ความทะเยอทะยานที่ไม่สามารถควบคุมได้ พอพลิกปลายนิ้วมีดก็อยู่ในมือแล้ว แสงสว่างผืนหนึ่งเวียนวนอยู่ในชั้นประกบมืดมิด
ฉากหนึ่งในอดีตพลันกะพริบวูบกลางแสงรุ่งโรจน์
‘เจ้าคิดจะถลกหนังสัตว์หรือหนังมนุษย์กันแน่?’
‘ระวังข้อต่อ ข้อต่อ!’
‘แทงตรงส่วนที่สาม ใช่ ถูกต้อง ขึ้น!’
‘วันนี้เจ้าจงชำแหละกระต่ายและกวางโรหนึ่งร้อยตัวนี้ให้เสร็จสิ้น’
‘กงอิ้น สิ่งที่เจ้าสอนข้าคล้ายจะไม่ใช่วิธีการถลกหนังสัตว์นะ คงไม่ใช่วิธีสังหารคนหรอกกระมัง? ระวังไว้เถิด หากข้าฝึกฝนจนชำนาญแล้วข้าจะเชือดเจ้า’
‘เจ้าลองทำดูสิ’
นางพลันน้ำตาท่วมหน้าท่ามกลางความมืดมิด
ความทรงจำที่เก็บรักษาไว้ในอดีตที่ผ่านมาเหล่านั้น ความทรงจำที่แท้จริงแล้วงดงามทว่าได้แหลกสลายเลือนรางจนสิ้น
ฝุ่นละอองใต้รถเข็นร่วงหล่นปะปนกับน้ำตาไหลรินสู่มุมปาก นางกลืนลงไปอย่างรุนแรง ไม่อยากลืมรสชาติของทุกช่วงชีวิต
กงอิ้นไม่ได้เอ่ยวาจาใดตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ได้มองมาที่รถเข็นด้วยซ้ำ เขาคล้ายกำลังมองประตูเมือง
จากนั้นจิ่งเหิงปัวก็ได้ยินเสียงของเหมิงหู่ถ่ายทอดคำสั่งยาวนานว่า “อวี้จ้าวเปลี่ยนผลัดการป้องกันกับคั่งหลง ผู้ออกนอกเมืองกลุ่มสุดท้ายให้ออกนอกเมือง ผ่านพ้นเค่อหนึ่งแล้วให้ปิดประตูเมือง!”
จากนั้นทหารกลุ่มใหญ่ก็วิ่งมา ทั้งกลุ่มคือทหารอวี้จ้าวที่สวมเครื่องแบบเกราะหนังสีขาว เข้าแทนที่ตำแหน่งของคั่งหลง
พวกเจ็ดสังหารกับเถี่ยซิงเจ๋อพากันถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก รีบเข็นรถเข็นตามกระแสคนที่หลั่งไหลออกนอกเมือง จิ่งเหิงปัวเบิกตาโพลงมองดูรถเข็นห่างไกลจากกงอิ้นมากยิ่งขึ้นด้วยความรวดเร็วอย่างยิ่ง
ตอนนี้อยากฆ่าเขาก็ทำไม่ได้แล้ว
สูญเสียโอกาสครั้งนี้ไปแล้ว ภายภาคหน้าสุดขอบฟ้าอาจจะไม่ได้พบเจอกันอีกเลย ความเกลียดชังและความรักในชีวิตนี้เพียงเยือกแข็งโลหิตเมื่อคืนนี้ที่จัตุรัสหวงเฉิง หลงเหลืออยู่ ณ ตี้เกอตลอดกาล
เขาอยู่หน้าประตูเมือง นางอยู่ในรถเข็น เขาอยู่ท่ามกลางแสงสว่าง นางอยู่ท่ามกลางความมืดมิด
ห่างไกลกันออกไป
จิ่งเหิงปัวหลับตาลง
ไม่ได้ลงมือนับเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว คนอื่นยังเต็มใจลำบากเพื่อชีวิตของนางได้ เหตุใดนางจะละทิ้งโอกาสสังหารเพื่อความปลอดภัยของคนอื่นบ้างไม่ได้
ใกล้จะออกนอกประตูเมืองในไม่ช้า
ปากประตูเมืองพลันเกิดแรงสั่นสะเทือนระลอกหนึ่งคล้ายมีม้าศึกประชิดเข้ามา พื้นผิวสั่นไหวเลือนราง บนเส้นขอบฟ้ามีทหารม้าหลายนายควบอาชาประหนึ่งสายลมกระหน่ำ ทหารม้าบนหลังม้ายังไม่ทันมาถึงประตูเมืองก็ลงจากอานม้าแล้ว ป่าวร้องเสียงยาวด้วยท่าทางกระหืดกระหอบ
“รายงาน…ทหารเยียนซาเอ่ยว่าเจ้านายถูกใส่ร้าย ต้องการยื่นอุทธรณ์ต่อหน้าท่านราชครู ยามนี้ประชิดใกล้ประตูเมืองแล้ว!”
ไม่ต้องรอให้เขาตะโกน แท้จริงแล้วทุกผู้คนมองเห็นกันทั่ว บนเส้นขอบฟ้าฝุ่นตลบอบอวลผืนหนึ่งนั้นพลันปรากฏทหารเยียนซาที่วิ่งมาประหนึ่งสายลม
แม้อากาศหนาวจัดขนาดนี้ พวกเขายังคงสวมเกราะหนัง เปลือยอก บนแขนแข็งแกร่งมีเส้นเลือดปูดโปน ความเร็วรวดเร็วดุจควบอาชาแม้เดินเท้า เข้าใกล้หน้าประตูเมืองในพริบตา
“ปิดประตู!”
ทหารเฝ้าประตูเมืองปิดประตูโดยพลัน ประตูเมืองหนาหนักที่เปิดออกสองฝั่งค่อยๆ ปิดลง
ยามนี้รถเข็นของจิ่งเหิงปัวอยู่กึ่งกลางประตูเมืองพอดี!