เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 34.2
“เช่นนี้คือการได้รับการต้อนรับ ได้รับการเลื่อมใสของพวกเจ้า? ถูกเคารพราวกับเทพเจ้า?” จิ่งเหิงปัวถามเจ็ดสังหาร
“ใช่แล้ว” อีชีไม่หน้าแดงเลยแม้แต่น้อย เชิดศีรษะ เอ่ยว่า “หากไม่ใช่ด้วยเพราะภาพลักษณ์พิเศษ ฐานะตราตรึงในจิตใจพวกเขา จะมีปฏิกิริยามากขนาดนี้หรือ? นี่เป็นเพียงวิธีการแสดงออกอีกแบบหนึ่งเท่านั้น!”
“พวกเรารีบขึ้นเขากันดีกว่า” จิ่งเหิงปัวก้าวขึ้นรถอีกครั้ง เดิมทีนางยังอยากพักค้างคืนในเมือง เรียนรู้วิถีชีวิตท้องถิ่นสักหน่อย ตอนนี้ดูท่าคงไม่จำเป็นแล้ว มีโรงเตี๊ยมกล้ารับพวกเขาไว้ด้วยเหรอ เข้าไปพักจะไม่มีคนตกใจตายเหรอ
“เจ้าเอ่ยว่าอยากค้างแรมสักคืนไม่ใช่หรือ?” ลู่เอ่อร์เอ่ยว่า “พักสิ”
“โรงเตี๊ยมปิดประตูกันหมดแล้ว ที่รัก”
“โอ๊ย บุกเข้าไปเลย” ตอบตามเหตุตามผลเป็นเสียงเดียวกันขนาดนั้น
จิ่งเหิงปัวมองฟ้า กล่าวว่า “พวกเจ้าไม่ใช่เจ็ดสังหาร พวกเจ้านามว่าเจ็ดชั่วแน่แท้”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?” เอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน
…
สุดท้ายจิ่งเหิงปัวยังคงขึ้นรถจากไป นางรู้สึกว่าถ้ายังเตร็ดเตร่อยู่อีกไม่กี่ชั่วยาม อัตราโรคหัวใจกำเริบของชาวเมืองท้องถิ่นจะเพิ่มขึ้นร้อยละสาม
อีกทั้งนางทนเห็นลูกตานับไม่ถ้วนที่กลอกกลิ้งไปมาผ่านซอกประตูนั้นไม่ได้ด้วย
แล่นผ่านถนนยาวตลอดทาง มองเห็นลูกตาที่ซอกประตูเหล่านั้นมองตามหลังอย่างยินดีปรีดาตลอดทาง ความรู้สึกนั้นไม่ค่อยดีเท่าไรเลย
ซ้ำยังได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์หลังบานประตูรำไร
“โอ้ คราวนี้มีคนใหม่ขึ้นเขา”
“ดีเลยๆ คราวนี้เจ็ดชั่วไม่มีเวลามาแกล้งพวกเราแล้ว”
“เฮ้อ มีคนโชคร้ายอีกแล้ว”
“นางไม่ลงนรกแล้วผู้ใดจะนรก? ขอบคุณพวกนาง ช่วยชีวิตพวกเราไว้”
“มาๆ ชนแก้วให้ความโชคดีของพวกนาง”
“ไชโย!”
…ไชโยน้องสาวแกสิ!
รถม้าเพิ่งจะเลี้ยวผ่านถนนสายยาว ข้างหลังพลันเกิดเสียงพายุดังปึงปังๆ คล้ายมีสิ่งของนับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามาชน
จิ่งเหิงปัวเลิกม่านมองไปข้างนอก ถูกยงเสวี่ยคว้ากลับมาในครั้งเดียว ร้องว่า “ระวัง!”
ไข่ไก่ลูกหนึ่งเฉียดผ่านปลายจมูกนาง กระแทกบนก้นม้าข้างหน้าดังโพละ
เสียงปึงปังๆ หลังรถม้าดังไม่หยุดหย่อน จื่อหรุ่ยฟังพลางหรี่ตาเอ่ยว่า “ผักกวางตุ้ง…ไข่ไก่…หน่อไม้แห้ง…มะเขือม่วง…”
“นี่เจ้าฟังออกด้วยหรือ!” จิ่งเหิงปัวประหลาดใจ
“นายท่าน พวกเราขุนนางหญิง หลังเข้าวังต้องเรียนรู้ศิลปะร้อยอย่าง ต้องเรียนรู้ตำแหน่งทุกกองในวัง ฉะนั้นข้าน้อยเองเคยไปดูแลพ่อครัวหลวงระยะหนึ่ง คุมตาชั่งสั่งอาหารกระไรด้วยตนเองทั้งนั้น ได้กลิ่นก็รู้ว่าเป็นอาหารใดแล้ว”
“ยังดีที่มีพวกเจ้าสองคน” จิ่งเหิงปัวถอนหายใจ กล่าวว่า “ทำให้ข้ารู้สึกว่าชีวิตนี้ยังปกติ ยังพอปรับตัวเข้ากับชีวิตนี้ได้ มิฉะนั้นอยู่กับคนไม่ปกติกลุ่มนี้นานเข้า โรคจิตก็คือจุดจบเพียงหนึ่งเดียวนะที่รัก”
นางแง้มม่านออก มองเห็นเจ็ดสังหารเดินเหินอย่างอิสระกลางพืชผักไข่ไก่พายุ แต่ละคนหิ้วตะกร้าหนึ่งใบ คว้าพลางตะโกนว่า “ดูว่าผู้ใดคว้าได้เยอะ! ผู้ใดแพ้แล้วผู้นั้นไปหายายเฒ่าปีศาจ!”
จิ่งเหิงปัวคิดว่าเกิดความคิดชั่วร้ายอะไรอีกแล้ว? ไม่ใช่บอกว่าจะไปพบท่านอาจารย์จื่อเวยหรอกเหรอ?
สำหรับบุคคลที่ใกล้เคียงเทพเจ้าในตำนานของต้าฮวงท่านนี้ เดิมทีนางเคารพเลื่อมใสอย่างยิ่ง ตามตำนานเล่ากันว่าท่านอาจารย์จื่อเวยมีฐานะยากจนข้นแค้น ตอนเกิดมาตรงขอบฟ้ามีนกหลวน[1]บินว่อน ตอนอายุเจ็ดขวบถูกฟ้าผ่าแต่ไม่ตาย ถูกใจเจ้าสำนักลับโด่งดังสำนักหนึ่งในตอนนั้น จึงรับไว้เป็นลูกศิษย์ใกล้ชิด หลังจากเข้าสำนักความสามารถโดดเด่น พรสวรรค์ล้ำเลิศ มีโอกาสได้รับตำแหน่งเจ้าสำนัก ฉะนั้นจึงทำให้ศิษย์ร่วมสำนักริษยา ผ่านไปไม่นานเขาแขวนกระบี่เหนือตำหนัก ออกจากสำนัก เที่ยวท่องทั่วหล้า ช่วยเหลือผู้คน ด้วยเพราะล่วงรู้ทุกเรื่องความสามารถเลิศล้ำ จึงค่อยๆ โด่งดังไร้เทียบเทียม สำนักดั้งเดิมของเขากลับค่อยๆ เสื่อมสลาย เล่ากันว่าเขามีนิสัยเฮฮาปลิ้นปล้อน เจ้าอารมณ์ กระทำเรื่องราวไร้เหตุผลทั่วไป หลังวัยกลางคนร่องรอยค่อยๆ จางหาย ลึกลับซับซ้อนไม่เปิดเผยตัวตน ฉะนันจึงยิ่งน่าพิศวง ค่อยๆ กลายเป็นบุคคลในตำนาน
แท้จริงแล้วตำนานเรื่องนี้เล่าไว้ไม่ชัดเจน ประสบการณ์ในระหว่างนั้นก็ไม่ลึกลับซับซ้อน คล้ายวาจาซ้ำซากเป็นทางการ ผู้เก่งกล้าใช้ได้ทุกคน จิ่งเหิงปัวสงสัยเหลือเกินว่าประสบการณ์ชีวิตจริงของท่านอาจารย์จื่อเวยต้องสุดยอดกว่าตำนานโหรงเหรงพวกนี้มากแน่ ต้องออกนอกลู่นอกทางมากแน่ อีกทั้งเพราะว่าออกนอกลู่นอกทางเกินไป เอ่ยแล้วเป็นเรื่องต้องห้าม ตำนานพวกนี้ถึงได้เลือนรางขนาดนี้
ทำไมถึงอนุมานแบบนี้? เห็นเจ็ดสังหารก็รู้แล้ว
“ข้าจะบอกให้นะ ภรรยา” อีชียื่นศีรษะเข้ามา ส่งผลผิงกั่ว[2]ลูกหนึ่งให้นาง ตนเองแทะอีกลูกหนึ่งดังกร้วม เอ่ยว่า “คนในเมืองกลัวพวกเราขนาดนี้ ไม่ใช่ความผิดของพวกเราจริงๆ นะ”
“ด้วยเพราะเจ้าผู้ชราลงเขาก่อกวนบ่อยครั้ง” เอ่อร์ลู่ยื่นศีรษะเข้ามา
“เจ้าผู้ชราชื่นชอบแทะโลมสาวชาวบ้านเป็นที่สุด” ซานอู่ยื่นศีรษะเข้ามา
“ซ้ำยังชื่นชอบแทะโลมหนุ่มชาวบ้าน” ซือซือยื่นศีรษะเข้ามา
“แม้แต่หญิงสูงวัยยังไม่ปล่อยไป อมิตพุทธ” อู่ซานยื่นศีรษะเข้ามา
“หยิบฉวยสินค้าจากแผงขายของบ่อยครั้ง” ลู่เอ่อร์ยื่นศีรษะเข้ามา
“รีดไถตระกูลร่ำรวยบ่อยครั้ง” ชีอี้ยื่นศีรษะเข้ามา
“ฉะนั้น” เจ็ดสังหารประกาศเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไม่เกี่ยวกับพวกเรา! ผู้เฒ่าชั่วช้าเกินไป! พวกเราถูกเหมารวมไปด้วย!”
“ไปตายซะ!” จิ่งเหิงปัวปิดประตูรถดังพลั่ก ผลักศีรษะทั้งเจ็ดออกไปอย่างรุนแรง
…
รถม้ามาถึงครึ่งเขา แล่นต่อไปข้างหน้าไม่ได้อีกแล้ว ครึ่งเขามีบ้านกลางเขาหลังหนึ่ง เป็นสถานที่หยุดพักแต่ก่อนของเจ็ดสังหาร จอดรถม้ากับม้าไว้ที่นั่นย่อมมีคนคอยดูแล บ้านกลางเขาทรุดโทรมยิ่งนัก ห้องหลังคากระเบื้องสามห้องมีห้องหนึ่งล็อกไว้ด้วย
ผู้รับผิดชอบเฝ้าบ้านกลางเขานั้นคือสามีภรรยาเฒ่าคู่หนึ่ง ตลอดเส้นทางที่จิ่งเหิงปัวเดินทางมา พวกเขาเป็นเพียงสองคนที่เห็นเจ็ดสังหารแล้วไม่ได้แสดงความหวาดกลัวกับความคิดหลบหนี เพียงแต่ไม่ว่าพวกเขาทำเรื่องอะไร จะเอนเอียงร่างกายครึ่งหนึ่ง พยายามหลีกเลี่ยงไม่เข้าใกล้เจ็ดสังหาร ท่วงท่าดูคล้ายทั้งเหนื่อยทั้งย่ำแย่เหลือเกิน
คนขึ้นเขามากเกินไปไม่เหมาะสม จิ่งเหิงปัวทิ้งเหล่านายกองบรรดาศักดิ์กับลูกน้องฝูงนั้นของเผยซูไว้ มอบเงินให้พวกเขา ให้พวกเขาไปแก้ไขปัญหาซื้อวัสดุสร้างบ้านกันเอง
นางรู้อยู่แล้วว่ากองทัพทั้งสองนี้เป็นศัตรูคู่อาฆาต เผยซูก็รู้เช่นกัน ทั้งสองคนไม่ได้สนใจ…การคัดเลือกโดยธรรมชาติ ผู้เหมาะสมเท่านั้นที่จะอยู่รอด เกิดอารมณ์เป็นศัตรูกันก็เป็นศัตรูกันไป ไม่ว่าใครก็ต้องเรียนรู้ที่จะปกป้องตัวเองในสภาพแวดล้อมยากลำบากโหดร้ายให้ได้ แค่นี้ยังทำไม่ได้ จะว่ากันเรื่องปกป้องคนอื่นหลังจากนั้นได้อย่างไร?
จิ่งเหิงปัวไม่เลี้ยงคนไร้ประโยชน์ เผยซูยิ่งมั่นใจในลูกน้องของตนเอง
เรื่องจำพวกคบค้าสมาคมกับชาวเมืองเล็กๆ รวมทั้งซื้อวัสดุสร้างบ้านต่อจากนี้ นับเป็นบททดสอบของพวกเขา พวกเขาจะแข่งขันกันเองก็ดี จะปล่อยวางความแค้นก็ดี จะร่วมมือกันชั่วคราวแล้วค่อยสู้กันก็ดี ขึ้นอยู่กับตัวพวกเขาเองทั้งนั้น จิ่งเหิงปัวกับเผยซูจะไม่เปลืองความคิดจัดการ
ระหว่างทาง จิ่งเหิงปัวนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้กะทันหัน…พวกเฮฮาเจ็ดคนชอบหยอกเย้าสรรพสัตว์ แต่ทำไมไม่ได้หยอกเย้านาง? แม้ทำเรื่องเฮงซวยหลายอย่าง แต่แนวโน้มส่วนใหญ่ไปในทางที่ดี ท่าทางยังค่อนข้างเรียบร้อย นี่เป็นเพราะอะไร
“ด้วยเพราะเจ้าเป็นว่าที่ภรรยาข้าอย่างไร” อีชีตอบอย่างเบิกบาน
“เจ้าผู้ชราเอ่ยว่าล่วงเกินเจ้าได้เลย ต่อไปชีวิตจะสุขสันต์ยิ่งนัก” อีกหกตัวเอ่ยว่า “หลังจากปรึกษาหารือกัน พวกเราตัดสินใจไม่ล่วงเกินเจ้า”
จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าวาจาหลังค่อนข้างเชื่อได้มากกว่า
“ด้วยเพราะเหตุใด?”
“ชั่วชีวิตนี้เจ้าผู้ชราไม่เคยทำเรื่องดีสักเรื่อง ติดตามเขา เจ้าจำไว้เรื่องเดียวก็พอแล้ว”
“อะไร?”
“เรื่องที่เขาให้เจ้าทำเจ้าจงทำตรงข้าม เรื่องที่เขาไม่ให้เจ้าทำเจ้าลองทำได้ เรื่องที่เขาไม่สนใจว่าเจ้าทำหรือไม่ เจ้าจงไม่ทำ”
“ด้วยเพราะเหตุใด?”
“ประเดี๋ยวเจ้าก็รู้แล้ว!”
จิ่งเหิงปัวมองแก้มที่แดงซ่าน มุมปากที่ยกโค้งของเจ็ดสังหาร เหน็บหนาวสั่นสะท้านทั่วร่าง เกิดความคิดอยากจะสาวเท้าโกยแนบ
…
เดินเท้าขึ้นเขา เจ้าผู้ชราไม่ได้พำนักอยู่กลางก้อนเมฆไม่รู้ตำแหน่งเฉกเช่นชาวโลกจินตนาการ เขาพำนักอยู่บนยอดเขานั่นเอง ตำแหน่งที่ใกล้ท้องฟ้าใกล้ก้อนเมฆที่สุด เจ็ดสังหารเอ่ยว่ามีสาเหตุดังนี้ ข้อแรก เขารู้สึกว่าที่นั่นอากาศชุ่มชื้น บำรุงความงามได้ ข้อสอง ยอดเขามีสายฟ้ามาก สายฟ้าจะได้ผ่าลูกศิษย์เจ็ดคนสิ้นชีพเร็วหน่อย
เจ็ดสังหารบอกว่าพวกเขาเห็นด้วยเช่นกัน ที่นั่นอากาศชุ่มชื้น สะดวกต่อการวางยาพิษอาจารย์ ยอดเขามีสายฟ้ามาก เขายังชื่นชอบแกล้งคนกลางสายฟ้า สายฟ้าจะได้ผ่าเขาสิ้นชีพเร็วหน่อย
อีกไม่นานจะถึงยอดเขา ชีอี้พลันเอ่ยว่า “ไอ้หยา วันนี้ข้าดื่มสุราเยอะจริง…” โซซัดโซเซล้มลง เกลือกกลิ้งตกหน้าผาไปแล้ว
จิ่งเหิงปัวตื่นตระหนก จะรีบไปช่วย ลู่เอ่อร์เอ่ยเสียงดังว่า “ข้าไปช่วยเอง!” กระโดดหน้าผาดังฟิ้ว
หลายคนที่เหลืออยู่เผยให้เห็นสีหน้าเสียดายที่ตามไปไม่ทัน
“อา! ดูสิ! แสงพระพุทธ!” อู่ซานพลันชี้ท้องฟ้าอย่างตื่นเต้น จิ่งเหิงปัวเงยหน้า ท้องฟ้าสว่างสดใส แสงพระพุทธมาจากไหน?
“แสงพระพุทธร้อยปีเห็นได้ครั้งเดียว อาตมาต้องเข้าเยี่ยมคำนับโดยพลัน! แล้วเจอกันนะทุกท่าน!” อู่ซานหายไปด้วยความเร็วแสง
“ช้าเร็วพระพุทธองค์ต้องส่งสายฟ้ามาผ่าเจ้าตาย” จิ่งเหิงปัวก่นด่า
นางหันหน้าจ้องซือซือเขม็ง ซือซือหัวเราะคิกๆ เอ่ยว่า “มองข้าด้วยเหตุใด? พวกเขากลัวว่าจะถูกเจ้าผู้ชราแก้แค้น ยามข้าจากไปไม่ได้ล่วงเกินเจ้าผู้ชราเลย โอ้ สุภาพบุรุษบริสุทธิ์ซื่อตรง ผู้ต่ำต้อยหวาดกลัวหวาดระแวง”
“นั่นสิ แน่จริงเจ้าบริสุทธิ์ซื่อตรงให้ตลอดสิ” จิ่งเหิงปัวลูบคาง