เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 40.2
“ที่รักของข้า!” ท่านอาจารย์จื่อเวยตอบด้วยเหตุผลแน่นหนัก เอื้อมมือจูงนางไว้ “การทดสอบเสร็จสิ้น อีกเดี๋ยวสิบสามองครักษ์ก็จะมากันแล้ว หากเจ้าถูกขวางไว้ใต้ดินนี้ หักยี่สิบแต้ม”
นางยังอยากดิ้นรน แต่ข้อมือของท่านอาจารย์จื่อเวยดุจคีมเหล็ก ใช้มือลากนางเดินไป นางเดินไปพลางพยายามโบกมือใส่ข้างหลังไปพลาง เปิดประตูออกดังพลั่ก แต่ข้างในประตูมืดสนิท มองไม่เห็นคนด้วยซ้ำ
เผยซูวิ่งออกมาจากข้างห้อง เวลานี้เขาฟื้นแล้ว จิ่งเหิงปัวเก็บเจ้าหมาโง่ที่หลบอยู่ฝั่งหนึ่งตรงปากประตูหลุมฝังศพไปด้วย หันหน้ากลับไปหาเฟยเฟย แต่เฟยเฟยหายไปแล้ว
นางก็ไม่มีกะจิตกะใจสนใจ อย่างไรเสียสัตว์ประหลาดน้อยลึกลับซับซ้อน ซ้ำยังรู้จักจำแนกผู้คนอย่างยิ่ง หาทางกลับมาได้ตลอดเวลา ในใจนางคิดแค่อยากรู้ว่าเมื่อครู่เกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ไม่มีคนยอมให้คำตอบนาง
หรือว่าตัวนางเอง ก็ไม่อยากคิดให้ลึกซึ้งอีกต่อไป?
ท่านอาจารย์จื่อเวยลากนางออกจากสุสานมาไกลโพ้นแล้วถึงปล่อยมือ ต่อให้จิ่งเหิงปัวคิดหันกลับไปตรวจสอบอีกครั้งก็เป็นไปไม่ได้ นางนวดข้อมืออย่างอารมณ์เสีย ถามว่า “คิดคะแนนอย่างไร?”
นางรอให้ท่านอาจารย์จื่อเวยเอ่ยว่า “มีคนโกง! ช่วยเจ้าหยิบของ หักยี่สิบแต้ม!” เช่นนี้ก็จะพิสูจน์ได้ว่าคนเมื่อครู่ไม่ใช่ท่านอาจารย์จื่อเวย
ทว่าท่านอาจารย์จื่อเวยโบกมืออย่างไม่สนใจไยดี เอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าคิดได้ว่าต้องมาแย่ง ซ้ำยังแย่งไปได้ นับว่าเจ้าชนะก็ได้”
จิ่งเหิงปัวถลึงตาใส่จิ้งจอกเฒ่าตัวนี้ หันหน้ามองสุสานที่มืดสนิท
ค่ำคืนนี้ไร้เดือนไร้ดาว สาดส่องให้ท้องฟ้าที่มืดมิดแห่งนี้สว่างไสวไม่ได้
…
เขาดิ้นรนลุกขึ้นในห้องโกโรโกโสที่คับแคบ คลุมชุดป่าน นั่งขัดสมาธิบนพื้น ชั่วครู่หนึ่งถึงหยุดยั้งการสั่นเทิ้มของเรือนร่างไว้ได้
ผ่านการจู่โจมปานกระแสน้ำเชี่ยวกราก บนใบหน้าของเขาไร้ซึ่งสีโลหิต ทว่าปกคลุมด้วยสีขาวน้ำค้างรำไร
ครู่ใหญ่เรือนร่างเขาสั่นสะท้าน เสียงดังพรวด เลือดคั่งสีดำคล้ำซึมเข้าพื้นดิน
เขาใช้มือยันพื้น หวังรอให้ค่อยๆ ยืนขึ้น พลันมองเห็นกระดุมเม็ดหนึ่งบนพื้น เป็นกระดุมของคอเสื้อนาง หลุดออกมายามที่ถอดอาภรณ์ก่อนหน้านี้
เขาเก็บกระดุมขึ้นมา กำไว้ในฝ่ามือแน่น
ขอบกระดุมโค้งมน ทว่าคล้ายจะกรีดหัวใจจนเจ็บปวด
ผ่านไปครู่ใหญ่เขาเก็บกระดุมไว้ ก้าวออกนอกห้อง ยามที่เขาเดินออกนอกประตู สิ้นไร้ความย่ำแย่ หลังตรงแน่ว ท่วงท่าสูงศักดิ์เช่นเดิม
เขาเดินไปพลาง ฉวยมือโปรยผงสีแดงบางส่วนไปพลาง ซ้ำยังหลงเหลือรอยมือสีดำหลายรอยในมุมที่ไม่สะดุดตาของห้องโถง
เสร็จสิ้นทุกสิ่งนี้ เขาถึงเดินออกไปอย่างสุขุม ยามนี้ข้างนอกแว่วเสียงกีบเท้าม้าถี่กระชั้น คนของสิบสามองครักษ์ได้ข่าวรีบตามมาแล้ว
ยามที่พวกเขามาถึง กำลังเจอเขาออกจากประตู เขาปิดบังใบหน้า เดินผ่านท่ามกลางฝูงชนที่เผชิญศัตรูตัวฉกาจด้วยฝีก้าวผ่อนคลาย ที่ซึ่งเดินผ่าน ฝนโลหิตโปรยปราย
รอให้เขาหายไปจากบนทุ่งกว้าง คนของสิบสามองครักษ์ถึงกล้าบุกเข้าฐานใต้ดิน ปราดแรกมองเห็นลูกน้องที่บาดเจ็บล้มตาย ห้องโถงที่ระเกะระกะ ห้องเล็กสิบสี่ห้องถูกปล้นจนเกลี้ยง อดจะทั้งตกใจทั้งโกรธแค้นไม่ได้
พวกเขาค้นหาใต้ดิน พบเจอองครักษ์สิบสองที่ถูกตัดเส้นเอ็นข้อมือในห้องดิน ทว่าเจ้าผู้นั้นก็ไม่ได้มองเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องอย่างชัดเจน เพียงเอ่ยอย่างคลุมเครือว่ามีผู้ที่ท่าทางคล้ายผีดิบทำร้ายเขา ซ้ำยังมีสตรีที่หน้าตางดงาม ซ้ำยังมีบุรุษที่ป่าเถื่อนบุกเข้ามา…
เขาเอ่ยวาจาสะเปะสะปะ ทุกคนฟังไม่รู้เรื่องจึงอดจะร้อนรนไม่ได้ บุรุษสูงใหญ่ผู้หนึ่งที่อยู่หน้าฝูงชน สีหน้าหนักแน่นดุจสายน้ำฟังอยู่ตลอดเวลา ยามนี้แค่นเสียงออกมา ปรายตามององครักษ์สิบสองอย่างเย็นชาปราดเดียว เข้าสู่ห้องโถงค้นหาอีกครั้ง
ครานี้พวกเขาค้นพบผงสีแดงติดอยู่บนพื้นเล็กน้อย บุรุษสูงใหญ่ผู้นั้นเปลี่ยนสีหน้า “สิ่งนี้คล้ายเป็นดินเขาชื่อซานของพรรคเลี่ยหั่ว!”
“ปริมาณน้อยนัก ติดมากับรองเท้าหุ้มข้อ จากนั้นจึงเหลืออยู่บนพื้นใช่หรือไม่? พื้นของพวกเรานี้มีความเหนียว ซึมซับดินได้ตลอด…หรือว่าพวกที่บุกเข้ามาจะเป็นคนของพรรคเลี่ยหั่ว?”
“คนเมื่อครู่นั้นมีวรยุทธ์สูงส่ง หากไม่ใช่ระดับผู้อาวุโสแห่งสามสำนักสี่พรรคคงไม่มีความสามารถเช่นนี้แน่!”
ทุกคนพลันมองหน้ากันไปมา…ฐานลับแห่งนี้ถูกพรรคเลี่ยหั่วที่มีความสามารถล้ำเลิศอยู่ลำดับก่อนหน้าพบเข้า ย่อมจะกลายเป็นหายนะของกลุ่มสิบสามองครักษ์
“ไม่ใช่ รอยนี้ทางนี้คืออะไร?” บางคนร้องโวยวายอีกครั้ง ทุกคนตามไปดู ข้างศพหนึ่งตรงมุมกำแพงห้องโถง เห็นรอยมือหลายรอยรำไร ดูท่าทางคล้ายอีกฝ่ายสังหารคนแล้ว ฉวยมือเช็ดบนกำแพงโดยไม่ตั้งใจ
บุรุษสูงใหญ่เข้าใกล้รอยมือนั้น ตรวจสอบโดยละเอียด ซ้ำยังสั่งให้จ่อแสงเทียนเข้าไปส่องสว่าง
“องครักษ์เจ็ด นี่มัน…” บางคนก้าวเข้าไปถาม
“รอยมือมีแสงเรืองเจือจาง คล้ายเป็นลูกไฟวิญญาณที่กลุ่มอวี้ไต้ใช้สำหรับฝึกวรยุทธ์โดยเฉพาะ…”
ทุกคนมีสีหน้างงงวยและไม่สบายใจยิ่งขึ้น…เดิมทีนึกว่าพรรคเลี่ยหั่วเป็นคนลงมือ ผู้ใดจะรู้ว่ามีกลุ่มอวี้ไต้โผล่มาอีกพวก ต่างเป็นกลุ่มอำนาจใหญ่ที่อยู่ลำดับต้นๆ ของบึงโคลนเฮยสุ่ย ครู่เดียวปรากฏสองพวก นับว่าไม่ใช่สัญญาณที่ดี
เป็นความบังเอิญ หรือว่ากลุ่มอำนาจใหญ่ทั้งสองนี้ร่วมมือกัน ตรวจสอบฐานใต้ดินสำคัญแห่งนี้ของสิบสามองครักษ์?
ทุกคนนึกถึงความร้ายแรงของข้อหลัง สีหน้าจริงจัง
องครักษ์เจ็ดยืดตัวตรง เอ่ยด้วยเสียงทุ้มว่า “สถานการณ์เร่งด่วน ส่งข่าวให้องครักษ์รองโดยพลัน รายงานเรื่องคืนนี้โดยละเอียด พวกเราเหลือคนครึ่งหนึ่งไว้ลาดตระเวนที่นี่ ค้นหาเบาะแส อีกครึ่งหนึ่งรีบกลับไปฐานที่มั่นโดยเร็ว!”
“ขอรับ!”
เงาคนเฉียดออกไปดุจสายฟ้า แขนเสื้อที่เหินว่อนสะบั้นท้องฟ้ารุ่งอรุณเป็นเศษเสี้ยว
บรรยากาศที่ตึงเครียดแพร่ขยายทั่วรุ่งสางแห่งน้ำค้างนี้อย่างเงียบเชียบ ไม่แน่ว่าอีกไม่นานก็จะพัดม้วนทั่วทั้งบึงโคลนเฮยสุ่ย
องครักษ์เจ็ดยืนอยู่ท่ามกลางลมหนาวเยือกเย็นยามเช้าตรู่ ต้อนรับแสงรุ่งอรุณที่ทิ่มแทงมาปานกระบี่คมกริบ ทว่ากลางแววตาคล้ายมองเห็นอีกไม่นานหลังจากนี้ ลมฟ้าลมฝนกำลังมาเยือนลุ่มน้ำต้าฮวง
…
จิ่งเหิงปัวถูกลากกลับเมืองชีเฟิง เรื่องที่เกิดขึ้นในสุสานที่ห่างไกลเมืองเล็กๆ ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของชาวเมืองเล็กๆ จริงด้วย จิ่งเหิงปัวเชื่อว่าอีกไม่นาน สุสานนั้นก็จะกลายเป็นสุสานที่แท้จริง
นางใช้เงินที่ขุดออกมาจากในสุสาน แลกเป็นธัญญาหารที่ร้านขายธัญพืชร้านนั้น สำเร็จภารกิจอย่างเป็นทางการ ฉะนั้นนางจึงได้รับใบประเมินคะแนนหนึ่งฉบับ
วางแผนเข้าเมืองชีเฟิงและได้รับความเชื่อถือ เพิ่มครึ่งแต้ม
หลอกเอาเงินได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพิ่มหนึ่งแต้ม
ค้นพบฐานใต้ดินของสิบสามองครักษ์ เพิ่มครึ่งแต้ม
ฉกฉวยสิ่งของของศัตรูได้ เพิ่มหนึ่งแต้ม
สำเร็จภารกิจ เพิ่มหนึ่งแต้ม
สำเร็จภารกิจเสริม เพิ่มหนึ่งแต้ม
สุดท้ายยังมีรายการเพิ่มคะแนน กล่าวทวงความเป็นธรรมให้เจ็ดสังหารในโรงเตี๊ยม เพิ่มครึ่งแต้ม
รายการหักคะแนนมีแค่ข้อเดียว คิดจะข่มขืนท่านอาจารย์จื่อเวยผู้งดงามในห้องลับ หักสองแต้ม
จิ่งเหิงปัวอ่านจบ หัวเราะฮิฮิ ขยำกระดาษเป็นก้อนกลมแล้วโยนไป กล่าวว่า “คิดจะข่มขืนท่านอาจารย์ ควรเพิ่มคะแนนให้ข้าถึงถูกต้อง จ้องมองใบหน้าชราขนาดนั้น รวบรวมความกล้าหาญกระทำเรื่องนั้น มันไม่ง่ายเลยนะ?”
ท่านอาจารย์จื่อเวยดูท่าทางอยากหักคะแนนอีกครั้ง จิ่งเหิงปัวยิ้มเยาะดีดม้วนกระดาษ “ทำสำเร็จแล้ว ห้ามแก้ไข!”
ท่านอาจารย์จื่อเวยพลันไม่โมโหอีกต่อไป ยิ้มตาหยีมองนาง ครุ่นคิดชั่วครู่ ยิ้มแย้มอีกครั้ง ครุ่นคิดอีกครั้ง สีหน้าแปลกประหลาดทั่วใบหน้า
โดนเจ้าผู้ชรานี้มองแบบนี้ทำให้รู้สึกขนลุกขนพองจริงแท้ จิ่งเหิงปัวอยากถาม กัดฟันกลั้นไว้ไม่ถาม ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไม่หลงกลเขา หันหน้าไปมองทิวทัศน์นอกรถม้า ตอนนี้นางกำลังออกจากเมืองไปทางเขาชีเฟิง ได้ยินเสียงกีบเท้าม้าถี่กระชั้นกะทันหัน ชะโงกหน้ามอง กองคาราวานม้ากลุ่มหนึ่งติดตามรถม้าคันหนึ่งตะบึงไปนอกเมือง ความเร็วน่าตกใจ ประหนึ่งรีบไปช่วยดับเพลิง
ไม่รู้ว่าเหตุใด จิ่งเหิงปัวมองรถม้าที่ตะบึงนั้น ในใจพวยพุ่งด้วยอารมณ์เศร้าสร้อยขึ้นมากะทันหัน ทั้งเป็นทุกข์ทั้งไม่สบายใจ คล้ายว่าคนสำคัญกับเรื่องสำคัญกำลังจากตัวเองไป
บนโลกใบนี้ หลายสิ่งหลายอย่างกล่าวได้ไม่ชัดเจน เข้าใจได้ไม่ถ่องแท้ อีกทั้งรักษาไว้ไม่ได้
…
ตอนที่รถม้าของจิ่งเหิงปัวกลับขึ้นเขา เจ็ดสังหารกับเทียนชี่ต้อนรับนางอย่างอบอุ่นตรงเชิงเขา จิ่งเหิงปัวยังนึกว่าพวกเขาจะขอบคุณเรื่องที่นางได้ปกป้องชื่อเสียงของพวกเขา สุดท้ายแล้วพวกเฮฮาเอ่ยว่าด้วยเพราะนางทำลายสถิติเท่านั้นเอง…พวกเขาก็เคยสอบข้อสอบคล้ายกันเช่นนี้ ไม่เคยได้คะแนนสูงขนาดนี้มาก่อน เจ็ดสังหารรู้สึกแปลกใจเลื่อมใสกับรายการหักคะแนนข้อสุดท้ายนั้นเป็นพิเศษ นอกจากอีชีแล้ว เห็นพ้องต้องกันว่าจะเลือกจิ่งเหิงปัวที่มีความกล้าหาญที่สุดเป็นพี่ใหญ่ของพวกเขา
อีชีแสดงความคิดเห็นว่าเขาคัดค้านไม่ให้จิ่งเหิงปัวเป็นพี่ใหญ่ แต่ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะสนับสนุนให้จิ่งเหิงปัวเป็นฮูหยินใหญ่
คำตอบของจิ่งเหิงปัวคือประทานบาทาให้คนละครั้ง
นางหันหน้ากลับไปคัดเลือกสิ่งของของศัตรู ตรงหน้ามีสิ่งของสิบกว่าอย่างวางกระจัดกระจาย ต่างเป็นสิ่งของที่หยิบออกมาจากในห้องเล็ก กล่อง สมุด ท่อ ม้วนหนังแพะเยอะแยะไปหมด จิ่งเหิงปัวตรวจสอบทีละอย่าง บางอย่างชัดเจนมาก เช่น สมุดเล่มหนึ่งก็คือบันทึกจุดอ่อนวรยุทธ์ของหัวหน้าพรรคขวงเตา บนสมุดยังเปื้อนคราบเลือดลายพร้อย ลายมือหวัด น่าจะเป็นของสายสืบที่ได้รู้ความลับนี้ คงแลกมาด้วยเลือดเช่นกัน น่าเสียใจที่เห็นได้ชัดว่าสมุดยังเขียนไม่เสร็จ เหลือช่องว่างให้เพิ่มเติมได้ทุกเวลา เดิมทีจิ่งเหิงปัวเสียใจนิดหน่อยว่าไม่น่าแย่งสมุดมาเร็วขนาดนี้ ภายหลังคิดได้แล้ว ขอแค่มีคนเข้าไปในฐานใต้ดินนี้ สิบสามองครักษ์จะต้องเกิดความระมัดระวัง เคลื่อนย้ายสิ่งของทั้งหมดออกไปทันที ฉะนั้นการชิงลงมือก่อนย่อมได้เปรียบเสมอ
มีม้วนหนังแพะม้วนหนึ่งเป็นหนังสือสัญญาฉบับหนึ่ง ดูจากวันที่คงตั้งแต่สิบปีที่แล้ว เป็นของพรรคเลี่ยหั่ว อ่านชื่อที่อยู่ข้างบนนั้นแล้วไม่คุ้นตาเลย บนหนังสือสัญญา คนสามคนสัญญาเป็นพี่ชายน้องชายร่วมมือกันก่อร่างสร้างตัว ภายหลังอำนาจเท่ากันไม่มีวันทรยศ ข้างล่างต่างคนต่างลงนามด้วยลายมือหงส์ฟ้อนมังกรเหินกับประทับรอยมือ บนหนังสือสัญญาฉบับนี้มีคราบเลือดเช่นเดียวกัน กำจายกลิ่นอายเก่าแก่และน่าครั่นคร้าม
หนังสือสัญญาแบบนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับความลับระดับสูงสุดของพรรคเลี่ยหั่ว เช่น คนสามคนที่อยู่บนหนังสือสัญญาได้รับผลประโยชน์จากความสำเร็จกันถ้วนหน้าหรือไม่? เอ่ยไว้ว่าไม่มีวันทรยศทำได้หรือไม่?
ถ้าทำตามนั้นได้ หนังสือสัญญาฉบับนี้ก็คงไม่ถูกสิบสามองครักษ์สิ้นเปลืองกำลังเสาะหามาขนาดนั้น ทะนุถนอมซ่อนไว้ใต้สุสานเมืองเล็กๆ แห่งนี้ รอคอยปล่อยออกมาในช่วงเวลาที่เหมาะสม
พวกนี้เป็นสิ่งของที่เห็นได้ชัดยิ่งว่าใช้ประโยชน์ได้ สามารถใช้ควบคุมศัตรูหรือยุยงให้ศัตรูแตกแยก ของพวกนี้ส่วนใหญ่เปื้อนคราบเลือด ทั้งเก่าทั้งใหม่ เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งการสังหาร
ส่วนสิ่งของบางอย่าง ขณะนี้ก็ยังมองไม่เห็นว่ามีประโยชน์ตรงไหน เช่น ข้างในกล่องเต็มไปด้วยสมุนไพรที่มีกลิ่นประหลาด นี่เป็นกล่องของกลุ่มเลี่ยอิ่ง มีท่อท่อหนึ่ง ข้างในบรรจุภาพอนาจาร ฝีมือการวาดประณีต บุคคลลักษณะชัดเจน มีชีวิตชีวาสมจริง แต่มีความหมายอะไรยังบอกไม่ได้เลย สัญลักษณ์ที่อยู่ข้างบนเป็นของสำนักหลิงเซียว
สามสำนักสี่พรรคเจ็ดกลุ่มสิบสามองครักษ์แห่งบึงโคลนเฮยสุ่ย สามสำนัก ได้แก่ สำนักหลิงเซียว สำนักหลิงซี และสำนักหลัวซา สี่พรรค ได้แก่ พรรคเลี่ยหั่ว พรรคขวงเตา พรรคซื่อเจี้ยน และพรรคหลงหู่ เจ็ดกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเสินเจวี๋ย กลุ่มเทียนจิ้ง กลุ่มเลี่ยอิ่ง กลุ่มจี้เสี่ย กลุ่มอวี้ไต้ กลุ่มหลงเซียง และกลุ่มเยี่ยนปัง
สิ่งของสิบสี่ชิ้นนี้ อนาคตต้องมีประโยชน์ใหญ่หลวง นางมอบสิ่งของให้จื่อหรุ่ยเก็บไว้ ตอนนี้เสร็จสิ้นเรื่องราวกลับขึ้นไปบนเขา นางเพิ่งรู้สึกเหนื่อย เอนหลังบนเตียงหวังนอนสักตื่น แต่ก็นอนไม่หลับ สิ่งที่วนเวียนไปมาในสมองล้วนเป็นห้องเล็กๆ ห้องนั้น ร่างกายที่โอบกอดกัน…ผิวกายที่ร้อนผ่าว…ริมฝีปากที่เยือกเย็นนุ่มนวล…ลมหายใจยุ่งเหยิงที่ทะลุออกมาจากร่าง…ท่าทางทะนุถนอมที่เฉียดผ่านข้างหน้าผากแผ่วเบา อีกทั้งความแข็งแกร่งกับความดุร้ายขณะพลิกตัวนั้น…
ในใจนางเกิดร้อนรุ่มกะทันหัน ความร้อนนี้ดุจเปลวไฟ ตลบอบอวลทั่วร่างในพริบตา นางยิ่งว้าวุ่นหงุดหงิด นอนพลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียง จากนั้นลุกขึ้นนั่งทันที สองมือประคองแก้มที่ร้อนดั่งไฟของตัวเอง
นางก้มตัวลง ท่วงท่าที่คล้ายหวังทำให้สมองโล่ง
ทำให้สมองโล่ง
เรื่องบางเรื่องแม้ห่างแค่เพียงเอื้อมมือ นางก็ไม่อยากไปใคร่ครวญ กลัวว่าพอคิดแล้วพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน นับแต่นี้สูญเสียเจตนาดั้งเดิม สับสนงงงวยบนเส้นทางชีวิตที่สำคัญที่สุด สูญเสียทิศทางที่มุ่งมั่นจะก้าวไปแต่แรกเริ่ม