เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 41.1
สำหรับเผยซูแล้ว อยากทำก็ไปทำ ใส่ใจมากขนาดนั้นทำอะไรกัน
เช่น ได้ยินนางเสียงแหบแล้วรู้สึกรำคาญ พลันนึกได้ว่าวุ้นผลึกแก้วที่ตนเคยกินดีต่อลำคอที่สุดจึงไปตามหา หาไม่เจอก็ไปไกลหน่อย เรื่องธรรมดา ส่วนเรื่องทั้งต่อสู้ทั้งวิ่งไปหลายร้อยลี้เพื่อขนมโก๋กับวุ้นอะไรนี้…แน่นอนว่าข้าคิดจะทำอะไรต้องทำให้ถึงที่สุด ไม่ใช่ไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้นเพื่อสตรีเสียหน่อย เฮอะ
เขาก็แค่เห็นนางน่าสนุกสนาน จะว่าอย่างไร?
เจ้าดึงข้าข้าดึงเจ้า เจ้าพลิกข้าข้าพลิกเจ้า เจ้าแกล้งข้าข้าแกล้งเจ้าในหุบเขาเทียนฮุยนั้น เขาเกิดความสนใจในสตรีเป็นครั้งแรก หลายปีมานี้ เคยเห็นเพียงสตรีที่เจ้าคะเจ้าขาข้างกายบุรุษ อ่อนแอน่าเบื่อประหนึ่งดอกฝอยทอง หรือไม่ก็แลคล้ายอ่อนแอน่าเบื่อทว่าความทะเยอทะยานท่วมท้น หวังใช้ความอ่อนแอของตนมาพิชิตบุรุษทั้งวัน เฉกเช่นหมิงเฉิงนางนั้น
มีแต่นาง โอหังเหนือชาย อิสระเหนือชาย ทั้งที่มีหน้าตางดงามคล้ายเพศหญิงเหลือเกิน ทว่าทำเรื่องมากมายที่เพศชายยังไม่กล้าทำ
หลังออกจากหุบเขาแล้วได้ยินเรื่องนางถูกขับไล่ออกจากตี้เกอ ก็คือยามที่เข้าสู่เมืองเทียนหลินเผ่าจั๋นอวี่ คืนนั้นเขาร่ำสุราทั้งคืน ฟังเรื่องของนางแล้วนึกถึงเรื่องของตนเอง นึกถึงช่วงเวลาที่ยามแรกตนเองโกรธแค้นดิ้นรนโศกเศร้าอยู่ในหุบเขา หลังจากนั้นไม่ยอมฮึกเหิมอีกเลย นั่นเป็นความทรงจำที่เสียดแทงหัวใจ ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งเช่นเขารำลึกแล้วยังรู้สึกเจ็บปวด ส่วนนางก็น่าจะผ่านประสบการณ์ด้านจิตใจเช่นเดียวกัน ทว่านางยังคงยิ้มแย้มดุจมวลผกา สว่างไสวดุจท้องฟ้าที่แวบออกมาหลังลมแรงบังเอิญพัดผ่านหุบเขาเทียนฮุย
หลังจากค่ำคืนนั้น ถึงได้มีการขอสมรสโดยไม่คาดคิดในวันรุ่งขึ้นกับการตามจีบหลังจากนั้น
ขอสมรสเอย ตามจีบเอย เหตุผลที่ลากออกมาเหล่านั้นเอย ยามแรกเขาไม่ค่อยจริงจัง เพียงแต่สงสารเล็กน้อยเท่านั้น ทว่าความสงสารนี้เป็นความสงสารนางหรือสงสารเคราะห์ร้ายที่คล้ายกับเขาของนางกันแน่ เขาก็ไม่แน่ใจ ยังเป็นวาจานั้น นึกได้ก็ไปทำเสียเลย ทำแล้วรู้สึกดีใจนัก ก็พอแล้ว
เขาจ้องจิ่งเหิงปัว ตนเองยังไม่รู้ตัวว่ามุมปากตนเองกำลังยิ้มแย้ม คล้ายดีใจคล้ายโปรดปราน
จิ่งเหิงปัวกินไปสักพัก รู้สึกว่าบรรยากาศผิดปกติ พอเงยหน้าก็มองเห็นเขาใช้สายตาเป็นประกายจ้องตัวเอง ท่าทางคล้ายหิวมาก คิดอยู่ชั่วครู่ ก้มหน้ามองชาม ส่งไปให้ “เจ้าก็หิวแล้วสินะ? กินหน่อยสิ?”
“เจ้ากินเหลือแล้วให้ข้ากิน อืม?” ขุนพลน้อยทำหน้าบึ้งตึง เหลือแค่ไม่ได้ใช้สองมือเท้าสะเอว
จิ่งเหิงปัวยักไหล่ทันที ชักมือกลับ ไม่กินก็ช่างสิ ฉันยังเสียดายอยู่เลย
“เจ้าก็จะห่วงแต่ให้ตนกิน?” นางยอมแล้ว เจ้าคนนั้นกลับไม่ยอมสำรวม วาจาเย็นชาไล่ตามมาอีกครั้ง
ตกลงจะเอาอย่างไรกันแน่!
จิ่งเหิงปัวหน้านิ่วคิ้วขมวด ตัดสินใจว่าคราวหลังจะไม่รับน้ำใจของเจ้าคนนี้อีกแล้ว เรื่องเยอะเหลือเกิน
“เจ้าป้อนข้าข้าถึงกิน” เผยซูเชิดคิ้วเสนอเงื่อนไข
กล่าวคล้ายนางต้องคุกเข่าขอร้องให้เขากินกระนั้น
จิ่งเหิงปัวไม่อยากสนใจเขาเลย แต่เห็นเขาหน้าตามอมแมม กลางหน้าผากมีสีหน้าเหน็ดเหนื่อยที่พยายามซ่อนไว้ เริ่มใจอ่อนอีกแล้ว
นางรู้สึกว่าเผยซูเหมือนน้องชายจริงๆ เด็กฉลาดที่ถูกตามใจจนเหลิงแบบนั้น ลำบากมามาก ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงความร่าเริงสดใสในใจ หายากเหลือเกิน
หรือว่านางก็รู้สึกหัวอกเดียวกันมั้ง แม้ปากร้ายรังแกเขาบ่อยครั้ง ในใจย่อมมีความอ่อนโยนต่อเขาดำรงอยู่ด้วย
นางตักวุ้นดอกไม้หนึ่งช้อน “มาสิ อ้าปาก”
เผยซูยินดีปรีดา ไม่เพียงแต่อ้าปาก ซ้ำยังหลับตาหันหน้าหานาง พริบตานั้น จิ่งเหิงปัวเกิดภาพลวงตาว่าเจ้าคนนี้กำลังรอให้นางจุมพิตเขา
ราชินีจุมพิตปลุกมังกรร้าย องค์ชายจะพิโรธปราบมังกรหรือไม่?
ความคิดนี้กะพริบผ่านเพียงครั้ง ช้อนของนางใกล้ยื่นไปถึงข้างปากเผยซู วุ้นดอกไม้สั่นไหว คล้ายหัวใจที่อ่อนโยน
ข้างกายเกิดลมขึ้นกะทันหัน พริบตาต่อมาช้อนกับวุ้นดอกไม้ในมือหายไปหมดแล้ว พอนางหันหน้าก็มองเห็นวุ้นดอกไม้เข้าไปในปากของอิงไป๋แล้ว ส่วนอิงไป๋กำลังยัดกระบอกสุราที่เปิดฝาแล้วเข้าไปในปากของเผยซูที่รอคอยอย่างหวานชื่น กระดกขวดก็เทลงไป
วุ้นดอกไม้ที่หวานอร่อยกลายเป็นสุราที่เผ็ดร้อน เผยซูสำลักจนไอออกมา ลืมตามองเห็นอิงไป๋ กำปั้นก็ต่อยออกไป
“ออกไปตีกันข้างนอก!” จิ่งเหิงปัวตะโกนว่า “อีกเดี๋ยวพี่ยังอยากนอนหลับ!”
สองคนนั้นตีกันออกไปประหนึ่งลมแรงพายุกระหน่ำ จิ่งเหิงปัวถอนใจกล่าวว่า “เวรกรรม! เวรกรรม! อิงไป๋ เจ้าวิ่งมาทำอะไร?”
หลายวันนี้อิงไป๋หายไปเลย นางยังนึกว่าเขาเจอท่านอาจารย์จื่อเวยแล้วจึงจากไปไม่ลา ใครจะรู้ว่าเจ้าคนนี้วิ่งกลับมาอีกแล้ว ซ้ำยังฝุ่นเขรอะทั่วหน้า
“ข้ามาเพียงแค่อยากบอกเจ้าว่า” อิงไป๋ต่อสู้พลางเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “เรื่องเช่นแบ่งสมาธินี้ ต้องตั้งใจแบ่งสมาธิ”
“ตั้งใจแบ่งสมาธิ? หมายความว่าอะไร?” จิ่งเหิงปัวชะงัก สองคนนั้นกลิ้งไปต่อสู้ใต้หน้าผาแล้ว ดูจากระยะเวลาต่อเนื่องกับท่าร่างของเผยซู พิษของเขาคงดีขึ้นอีกแล้ว
จิ่งเหิงปัวสาวเท้าเดินไปข้างนอก เดินไปได้ครึ่งเดียวพลันนึกถึงเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ วิ่งกลับมาเกาะข้างหน้าต่างริมผาตะโกนใส่ข้างล่างว่า “นี่ อิงไป๋ เจ้าเพิ่งดื่มกระบอกสุรานั้นกระมัง? เจ้ากับเผยเผยจูบกันทางอ้อมแล้วล่ะ!”
ข้างล่างแว่วเสียง “อ๊าก” สองคนที่ต่อสู้กันตรงครึ่งหน้าผาพลันร่วงลงไปจนสิ้น…
จิ่งเหิงปัวหัวเราะก๊ากๆ รู้สึกอารมณ์ดี ออกไปฝึกฝน!
ใต้แสงจันทร์ บนยอดเขา คนร้องเพลงก็ร้องเพลง คนซักผ้าก็ซักผ้า
จิ่งเหิงปัวร้องเพลงไปด้วย นึกถึงวาจาของอิงไป๋ไปด้วย
ตั้งใจแบ่งสมาธิ…
ตั้งใจแบ่งสมาธิ…
นางนึกถึงวาจานี้ไปพลาง ปากกระซิบกระซาบไปพลาง ความคิดก็ลากเสื้อผ้าที่ยงเสวี่ยซักแล้ว ย้ายไปทางตู้ เปิดลิ้นชักไปพลาง…
จื่อหรุ่ยกับยงเสวี่ยพลันเปล่งเสียงร้องยินดี
นางตกใจ ได้สติ เสื้อผ้าร่วงดังฟึ่บ แต่กลางแววตานางเผยให้เห็นแสงแห่งความยินดีแล้ว!
นางเข้าใจแล้ว!
การทำหลายสิ่งพร้อมกันแบบนี้ก็คือต้องไม่ไปคิดว่าทำหลายสิ่งพร้อมกัน ไม่ต้องสนใจว่าตัวเองต้องทำกี่เรื่องพร้อมกัน ต้องตั้งใจเข้าสู่สภาวะหนึ่งก่อน ค่อยๆ ปรับตัวในสภาวะนี้ จากนั้นค่อยทำเรื่องที่เหลือไปด้วยในสภาวะแบบนี้ เวลาทำเรื่องที่เหลือต้องเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่จงใจ เงื่อนไขพร้อมงานสำเร็จ!
ฝึกฝนสภาวะแบบนี้สำเร็จ นางจะไม่มีวันถูกธาตุไฟเข้าแทรก จะไม่มีวันถูกเรื่องภายนอกรบกวน จัดการเอกสารสำคัญระหว่างต่อสู้ได้ ลงมือไปด้วยปรับปราณไปด้วย!
นี่ถึงเป็นเจตนาที่แท้จริงที่ไอ้แก่หนังเหนียวจื่อเวยทรมานนาง
ผู้ฝึกวรยุทธ์มีข้อจำกัดที่ใหญ่ที่สุดก็คือฝึกฝนปราณแท้ได้จำกัด ปราณแท้ที่ทรงพลังแค่ไหนก็ต้องมีเวลาหมดไป เหนื่อยแล้วก็ต้องหยุดพักเพื่อปรับปราณ
ส่วนความจำเป็นในการปรับปราณนี้ จะทำให้สูญเสียโอกาสมากเท่าไร?
ถ้าต่อสู้ไปด้วยปรับปราณไปด้วยได้ ก็เสริมพละกำลังตลอดเวลาได้ นั่นเท่ากับว่าในทางทฤษฎี จะต่อสู้ไปได้ตลอดไม่ใช่เหรอ? นั่นเท่ากับว่านางจะชนะได้ตลอดไม่ใช่เหรอ? คนที่เทพแค่ไหนก็เหนื่อยได้ แต่นางไม่เหนื่อย!
แท้จริงแล้วผู้ฝึกวรยุทธ์ทุกคนนึกถึงจุดนี้ได้ แต่ทำไม่ได้ ด้วยเพราะการโคจรกับการสะสมของปราณแท้ ต่างคนต่างมีขีดจำกัดโดยกำเนิด แต่จิ่งเหิงปัวแตกต่างออกไป สิ่งที่นางใช้คือความสามารถพิเศษ คือพรสวรรค์ ไม่ต้องรวบรวมกับสะสมใดๆ ตอนนี้สิ่งที่นางต้องเรียนรู้คือทักษะ คือการเปลี่ยนแปลง คือการประยุกต์ใช้การเคลื่อนที่พริบตาเพียงอย่างเดียว หลอมรวมเข้าไปในการต่อสู้
การฝึกฝนที่เสนอให้เพื่อจัดการความสามารถของนางโดยเฉพาะเช่นนี้ ความคิดบรรเจิดเลิศล้ำ แต่ก็เป็นผลงานอันยอดเยี่ยม!
ตอนนี้ในใจจิ่งเหิงปัวเต็มไปด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจต่ออิงไป๋ ซ้ำยังไม่รู้สึกเกลียดชังไอ้แก่หนังเหนียวจื่อเวยแล้วด้วย เริ่มฝึกฝนด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ
เพียงแต่แม้เข้าใจในหลักการ แต่เริ่มลงมือทำไม่ง่ายเลย
ร้องไม่กี่คำ เคลื่อนย้ายสิ่งของ พาเสื้อผ้าลงไปในสระ…ลืมย้ายเข้าอ่างใหญ่ที่จื่อหรุ่ยกับยงเสวี่ยตาปริบๆ ถือไว้ก่อน พลาดแล้ว
ร้องไม่กี่คำ เคลื่อนย้ายสิ่งของ ย้ายเข้าอ่างใหญ่ ดี ค่อยย้ายลงสระน้ำ จื่อหรุ่ยกับยงเสวี่ยพยายามเริ่มซักผ้า เคลื่อนไหวเร็วเกินไป นางเห็นแล้วน่าสนุกสนาน หัวเราะคิกคิก ลืมร้องแล้ว
ท่ามกลางเสียงถอนใจกลัดกลุ้มของจื่อหรุ่ยกับยงเสวี่ย เอาใหม่
ร้องไม่กี่คำ เคลื่อนย้ายสิ่งของ ย้ายเข้าอ่างใหญ่ ดี ค่อยย้ายเข้าสระน้ำ ซักเสร็จ จื่อหรุ่ยโยนเสื้อผ้าขึ้นมา นางรับไว้ ย้ายไปทางตู้ สายตาหันไป ลืมเนื้อร้องอีกแล้ว
เอาใหม่
ร้องไม่กี่คำ เคลื่อนย้ายสิ่งของ ย้ายเข้าอ่างใหญ่ ดี ค่อยย้ายเข้าสระน้ำ ซักเสร็จ จื่อหรุ่ยโยนกางเกงชั้นในขึ้นมา นางรับไว้ ย้ายไปทางตู้…เดี๋ยวนะ กางเกงชั้นในตัวนี้สีอะไร? ซักจนเห็นไม่ชัดแล้ว…
“นี่ เจ้าลืมร้องอีกแล้ว” พวกเฮฮาเจ็ดคนโผล่ออกมา หัวเราะลั่น
เอาใหม่!
ยามราตรีความมืดมิดหายไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ยามทิวาท้องฟ้าสว่างไสว แสงอาทิตย์ปกคลุมทั่วใบหน้า บนใบหน้าทุกคนเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ทว่าแววตาเจิดจ้ากว่าแสงอาทิตย์ในครู่หนึ่งนี้
พระอาทิตย์เคลื่อนจากทางตะวันออกสู่ตรงกลาง จากนั้นเคลื่อนไปทางภูเขาตะวันตก เมฆหมอกทั่วภูเขาเกิดใหม่แล้วหายไปอีกครั้ง หยาดน้ำค้างเปียกชื้นแล้วแห้งเหือดอีกครั้ง ผ่านไปอีกหนึ่งวันหนึ่งคืน
สองวันสองคืน ไม่มีคนพักผ่อน