เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 48-3 ว่าที่พระสวามี
นางตามคนพวกนี้ลงเขา มองออกว่าคนพวกนี้น่าจะมาจากหนึ่งในกลุ่มอำนาจที่ค่อนข้างทะนงศักดิ์ของไต้เม่า ใบหน้าพวกเขาไม่มีความไม่สบายใจกับความระมัดระวังที่ผู้ถูกกดขี่มีอยู่เสมอ สีหน้าเป็นธรรมชาติ ท่วงท่าตามใจ เอ่ยวาจาเสียงดังลั่น ตอนแรกยังกังวลเรื่องความต้องการของหัวหน้า เบาเสียงจะได้ไม่ถูกคนนอกเช่นนางนี้ได้ยิน แต่สุดท้ายแล้วคนพวกนี้ไม่ได้สนใจนาง ค่อยๆ เริ่มเสียงดังอีกครั้ง นางได้ยินบางคนในหมู่พวกเขาสนทนากันอย่างจริงจัง รอให้ส่งหมีสีน้ำตาลกลับไป ควรจะขอรางวัลกับหัวหน้ากลุ่มอย่างไร
อ้าว มาจากสักกลุ่มในเจ็ดกลุ่ม
บางคนยังบอกว่าแม้นี่เป็นสิ่งที่หัวหน้ากลุ่มพวกเจ้าต้องการ พวกเราคอยช่วยเหลือเคียงข้าง แต่อย่างไรเสียก็ออกแรง หัวใจกับเนื้อหนังของหมีสีน้ำตาลเอาไปทำยา ส่วนที่เหลือพวกเราก็ควรแบ่งกันใช่หรือไม่
อ้าว ที่แท้ไม่ใช่กลุ่มเดียวกัน เป็นกลุ่มเล็กใหญ่หลายกลุ่มร่วมมือกัน
คนกลุ่มหนึ่งโวยวายเรื่องแบ่งหมีสีน้ำตาลอยู่นาน แต่หัวหน้าคนนั้น ท่าทางเหนือกว่าไม่ร่วมด้วย ใบหน้าเจือด้วยสีหน้า “เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้มีอะไรน่าแย่ง เรื่องใหญ่อยู่ต่อจากนี้ต่างหากเล่า” ตั้งแต่ต้นจนจบ จิ่งเหิงปัวได้ยินเขาเอ่ยกับหลายคนข้างกายเขาว่า “พวกเราก็ไม่แย่งหมีสีน้ำตาลแล้ว เจ้าสำนักเอ่ยว่าขายให้เจ้าหวาเป็นน้ำใจ ทว่าเรื่องราชินีต่อจากนี้ เขาแย่งไปไม่ได้หรอก”
อ้าว ยังมีหนึ่งในสามสำนัก ดูท่าทางยังครองตำแหน่งผู้นำ
เดินทางถึงใกล้จุดลงเขามีแหล่งน้ำ คนกลุ่มนั้นไล่นางไปล้างหน้า
นี่ก็เป็นปัญหาที่จิ่งเหิงปัวกลุ้มใจอยู่พอดี เลือดบนใบหน้าอย่างไรก็ต้องล้างออก หน้าตางดงามเกินไปเช่นนี้จะทำให้เกิดอันตราย ตอนนี้เอง หลายคนในกองทัพจ้องมองเรือนร่างที่ร้อนแรงเกินไปของนาง สายตาเริ่มชั่วร้ายแล้ว นางไม่กลัวพวกเขาทำชั่ว แต่ไม่อยากให้เสียแผน นี่เป็นโอกาสดีที่จะได้เข้าใจกลุ่มอำนาจในไต้เม่าและโจมตีโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว นางไม่อยากเสียไป
นางขยับไปล้างหน้าอย่างเชื่องช้า ข้างหลังมีคนเฝ้าติดตาม นางใช้สายตาค้นหาว่ามีเครื่องมืออะไรทำให้นางเปลี่ยนหน้าตาได้อย่างรวดเร็วบ้าง แต่ริมฝั่งแม่น้ำน้อยแห่งนี้มีแค่ใบไม้ร่วงกับดินเหนียว แม้แต่หินสักก้อนยังหาไม่เจอ
เหนือศีรษะพลันแว่วเสียงลม ในสายลมมีกลิ่นหอมอ่อน กลิ่นหอมนี้ค่อนข้างคุ้นเคย ดวงตานางสว่างวาบ พอก้มหน้าก็มองเห็นข้างล่างสายน้ำตื้นตรงหน้า ยาขี้ผึ้งหนึ่งเม็ดเพิ่มขึ้นมากะทันหัน
คนที่เฝ้าติดตามนางพิงต้นไม้หัวเราะสนุกสนาน ไม่รับรู้ถึงลมระลอกนั้นกับการเปลี่ยนแปลงตรงหน้านางยามนี้เลยแม้แต่น้อย
จิ่งเหิงปัวช้อนยาเม็ดขี้ผึ้งขึ้นมา บีบให้ละเอียด ข้างหูแว่วเสียงกระซิบของท่านอาจารย์จื่อเวย “กินแล้ว ภายในเจ็ดวัน ผิวกายเจ้ากลางวันจะเปลี่ยนแปลง กลางคืนจะกลับเป็นปกติ ฮิๆ ฮิๆ ไม่มียาถอนพิษ กล้ากินหรือไม่?”
จิ่งเหิงปัวก็กลืนยาเม็ดลงท้องโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย กระซิบว่า “เฮ้ ถามหน่อยสิ เมื่อครู่เจ้ากับสวินหรู ผู้ใดขืนใจผู้ใดกันแน่?”
“ฟิ้ว” ดังขึ้น ลมแรงหอบหนึ่งพุ่งมาจากข้างหลังก้น นางเตรียมพร้อมนานแล้ว ม้วนตัวกลิ้งไปฝั่งหนึ่ง
“เกิดเรื่องใดขึ้น?” คนที่เฝ้าติดตามนางถูกทำให้ตกใจ ยืดตัวตรงสอบถาม
“มีงูน้ำ” จิ่งเหิงปัวส่งเสียงสั่นเครือพลางชี้ผิวน้ำ
ลมแรงที่เตรียมเตะก้นนางหอบนั้นซัดสาดเลียบผิวน้ำเป็นเส้นคดเคี้ยวพอดี ดูท่าทางราวกับงูน้ำตัวใหญ่ของจริง
“งูน้ำมีอะไรน่ากลัว กระต่ายตื่นตูม” คนที่เฝ้าติดตามนางกระซิบ “ไปเถิด”
“ข้าเกลียดงูที่สุดเลย” จิ่งเหิงปัวเดินไปพลางร้องด่าว่า “หน้าดั่งปีศาจจิ้งจอก เอวดั่งอสรพิษน้ำ บุรุษก็ไม่ใช่สตรีก็ไม่เชิง เจ้าเล่ห์ไร้ยางอาย สัตว์ที่น่าขยะแขยงที่สุดในโลกหล้า!”
“ดูเด็กหญิงคนนี้สิ โง่นิดหน่อยนะ” คนที่ตามหลังนางหัวเราะเอ่ยว่า “งูนี้มีหน้าด้วยหรือ?”
“ใช่แล้วหน้าไม่อาย! เร็วขนาดนี้ก็ออกมาแล้ว ไหวแน่ไหมเนี่ย?” จิ่งเหิงปัวหัวเราะ
“เจ้ากำลังเอ่ยอะไรกันแน่เนี่ย…อ๊าก!” เจ้าผู้นั้นปิดก้นไว้ “คล้ายมีงูกัดข้า โอ๊ย!”
จิ่งเหิงปัววิ่งไปในฝูงชนตั้งนานแล้ว หลายคนรอคอยการเปิดตัวของนาง ผลลัพธ์พอนางเงยหน้า ทุกคนพลันมีสีหน้าแตกต่างกัน
แม่นางนี้ จะว่าไปหน้าตาก็คล้ายงดงามไม่น้อย เพียงแต่เหตุใดผิวกายนี้…
เอ่ยว่าคล้ายงดงาม ด้วยเพราะใบหน้านั้นเดี๋ยวเหลืองเดี๋ยวขาวประหนึ่งเป็นโรคด่างขาว ลายพร้อยคล้ายผิวกำแพงผุกร่อน ผิวกายที่น่ากลัวจนใกล้น่าขยะแขยงเช่นนั้น ทำให้ผู้อื่นไม่กล้ามองซ้ำอีกครั้ง ผู้ใดยังสนใจว่านางรูปร่างหน้าตาอย่างไร?
สำคัญยิ่งกว่านั้น ริ้วรอยดำด่างเช่นนี้คล้ายก็แผ่ขยายไปบนร่าง บนลำคอก็มีร่องรอยเช่นนี้
เหล่าบุรุษที่เดิมทีสนใจนางยิ่งนักพลันหมดอารมณ์ ต่อให้หน้าตางดงาม เห็นผิวกายที่น่าขยะแขยงดั่งอสรพิษเช่นนี้ก็ไม่มีความอยาก
“โรคด่างขาวกระมัง?” วาจาประโยคนี้ออกจากปาก ทุกผู้คนก้าวถอยพร้อมกัน ทิ้งระยะปลอดภัยข้างกายนาง
จิ่งเหิงปัวลูบหน้า ในใจคิดว่าไอ้แก่หนังเหนียวกลุ้มใจแค่ว่าแกล้งได้ไม่โหดเ**้ยม สิ่งที่มอบให้นาง อยากน่ารังเกียจแค่ไหนก็ต้องน่ารังเกียจแค่นั้น
แต่แบบนี้ก็ดี ปลอดภัยแล้ว
ลงเขาตลอดทาง เปลี่ยนเป็นขี่ม้าบริเวณที่ราบภูเขา ทว่าไม่มีผู้ใดยอมร่วมนั่งกับนาง หัวหน้าผู้นั้นจึงเอ่ยว่า “ให้นางขี่ม้าที่จะให้คุณชายลี่ไปก่อนเถิด อีกเดี๋ยวถึงในเมือง ค่อยซื้ออีกตัวให้นาง”
จิ่งเหิงปัวเห็นแล้ว นั่นเป็นถึงม้าดีตัวหนึ่ง สูงใหญ่พันธุ์ดี มันขลับอิ่มเอิบ พู่แดงบังเ**ยนม่วง อานเงินโกลนทอง ซ้ำยังเป็นสีขาวแสนหลอกตาทั้งตัว โดยทั่วไปแล้ว ม้าเช่นนี้เป็นม้าที่คุณชายร่ำรวยในตี้เกอชอบขี่ที่สุด เป็นของวิเศษที่ต้องเตรียมเพื่อเสแสร้งแอ๊บหล่อจีบสาวย่ำวสันต์ บนหญ้าเขียวใต้ฟ้าคราม ม้าขาวสะบัดแผงคอ เสื้อคลุมแดงเริงระบำ ควบไปทางหญิงโง่ที่ส่งสายตาหวานเยิ้มฝูงนั้น เห็นแล้วจะสูงส่งเลิศล้ำแค่ไหน เช่นเดียวกับสมัยปัจจุบัน หนุ่มสูงหล่อรวยต้องเตรียมรถสปอร์ตไว้อวด จะได้ควงสาวแอ๊บแบ๊วสะดวกหน่อย
ให้นางขี่ม้าเช่นนี้? ใจกว้างขนาดนี้? ม้าของคนที่เหลือยังไม่ดีเท่าตัวนี้เลยนะ
บางคนกำลังหัวเราะเยาะ เอ่ยว่า “พี่ใหญ่ เช่นนี้ไม่ดีกระมัง คุณชายลี่ชี้ตัวต้องการม้านี้ ไม่ยอมให้พวกเราแตะต้องด้วยซ้ำ น่าจะไม่ยอมให้ท่านนี้นั่ง”
“เขาจะเก็บไว้ให้ราชินีนั่งแน่ะ เก็บไว้ร่วมนั่งเคียงข้าง ควบม้าห้อตะบึงกับองค์ราชินีแน่ะ” บางคนพลันหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
ทุกคนพากันหัวเราะ น้ำเสียงแลคล้ายเคารพ “คุณชายลี่” ท่านนั้น แท้จริงแล้วเหยียดหยาม
จิ่งเหิงปัวกะพริบตา…อาไร้? ราชินี? นินทาอะไรกันเหรอ?
“เอ่ยให้น้อยหน่อย” หัวหน้าผู้นั้นมองนางปราดหนึ่ง เอ่ยว่า “อย่างไรเสียก็เพียงชั่วคราว เดี๋ยวข้าอธิบายกับคุณชายลี่ก็พอแล้ว”
กล่าวเช่นนี้นางก็ไม่เกรงใจ ขึ้นม้าอย่างชำนาญ ฝึกขี่ม้าจนเชี่ยวชาญตั้งนานแล้ว ไม่ปล่อยไก่แน่นอน
ควบม้าไปข้างหน้าตามทุกคนตลอดทาง จิ่งเหิงปัวสังเกตว่าแทบทุกสิบลี้ หัวหน้ากลุ่มจะหยุดนิ่ง ข้างทางจะมีคนคอยแจ้งข่าว ระหว่างทางคนเดินถนนส่วนใหญ่แต่งกายแบบชาวยุทธภพ แต่แทบมองไม่เห็นเจ้าหน้าที่ของทางการ เช่น ทหาร พนักงานศาลาว่าการ พนักงานกรม เป็นต้น
จากเรื่องนี้จะพบว่ากลุ่มอำนาจยุทธภพยึดครองอำนาจส่วนใหญ่ในเผ่าไต้เม่าแห่งนี้แล้ว อำนาจของกษัตริย์ที่นี่ถูกบีบให้จนมุม กระเสือกกระสนเอาชีวิตรอด
เล่ากันว่าเมืองซั่งหยวนของไต้เม่าเป็นสภาพการณ์อีกรูปแบบหนึ่ง ภายในเมืองชั้นในแทบไม่มีราษฎรใดๆ อาศัยอยู่แล้ว เหลือแค่ขุนนางกับกองทัพของเมืองหลวง ผู้นำเผ่าไต้เม่าละทิ้งการปกครองทั้งเผ่าไต้เม่าแล้ว กองกำลังทหารทั้งหมดใช้เพื่อปกครองซั่งหยวน พระราชโองการประกาศใช้แค่ในเมืองซั่งหยวน กองทัพอยู่แค่ในเมืองซั่งหยวน คุ้มกันวังหลวงอย่างแน่นหนา เล่ากันว่าอาวุธที่กองทัพซั่งหยวนชูขึ้นแน่นขนัดจนแมลงวันบินเข้าไปไม่ได้
นี่นับเป็นโครงสร้างที่อัศจรรย์และเลวร้ายรูปแบบหนึ่ง คล้ายภาพจำลองของต้าฮวง ไม่มีที่ไหนนอกจากไต้เม่าอีกแล้ว
ข้างล่างเชิงเขาลูกที่เจ็ดคือกวนจยาชวนซึ่งเป็นเมืองชายแดนทางเหนือของไต้เม่า คนหนึ่งขบวนจะเติมเสบียง พักผ่อนที่นี่ชั่วคราว จากนั้นแบ่งกำลังเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งพาหมีสีน้ำตาลกับข่าวสารไปรายงาน อีกส่วนหนึ่งพร้อมด้วยจิ่งเหิงปัว ฉวยโอกาสตามหาร่องรอยของราชินี
คนพวกนี้รู้ข่าวเร็วจริง ระหว่างทางคนกลุ่มนี้ก็ได้รับคำสั่งจากเบื้องบน บอกว่าจะจัดหากองกำลังตามมารวมกัน ต้องไล่ตามราชินีให้ทัน จะให้ราชินีติดต่อกับสิบสามองครักษ์ก่อนไม่ได้
ทุกคนจะพักผ่อนที่ลานน้อยแห่งหนึ่งในเมือง สะสมอาหาร รอคอยการมาถึงของกองกำลังเสริม
พอเข้าสู่เขตศูนย์กลางไต้เม่า จิ่งเหิงปัวก็พบว่าอากาศของที่นี่ค่อนข้างมีปัญหา ปรากฏหมอกสีเทาอ่อนชนิดหนึ่ง ดมกลิ่นก็ไม่ค่อยหอม คล้ายหมอกควันที่เล่ากันในสมัยปัจจุบันเล็กน้อย
แต่นี่มันสมัยโบราณ เขาเขียวน้ำใสไร้มลภาวะ หมอกควันมาจากไหน? เกี่ยวข้องกับบึงโคลนเฮยสุ่ยที่เล่ากันว่ากระจายไอพิษเป็นนิจใช่หรือไม่?
จิ่งเหิงปัวตามคนกลุ่มนั้นไป เลี้ยวผ่านทางตรอกอึมครึมหลายสาย มองเห็นประตูไม้สีแดงพุทราบานหนึ่ง
ดอกเบญจมาศป่าสีเหลืองสว่างหลายดอกผลิบานประปรายในซอกอิฐเขียวใต้ประตู มีคนมาเปิดประตู ผลักบานประตูออกดังแอ๊ด
อิฐเขียวทั่วพื้นในลานบ้านบริสุทธิ์ดั่งสายธารในแสงอาทิตย์หลังเที่ยง อาภรณ์ขาวกรอมพื้นอิฐเขียว ไม่แปดเปื้อนฝุ่นธุลี
จิ่งเหิงปัวมองเห็นเสื้อผ้ากับท่าทางนั้นในแวบเดียว หัวใจเต้นรัว ดึงบังเ**ยนโดยสำนึก
พอเหลียวมองเงาด้านหลังของคนนั้นอีกครั้ง อดจะสั่นเทิ้มไม่ได้
แสงอาทิตย์เจิดจ้าเหลือเกิน จำแนกโครงร่างแท้จริงไม่ได้ เพียงแวบหนึ่งนั้นจึงทำให้นางเหน็บหนาวทั่วร่าง รู้สึกแค่ว่าหน้ามืดตาลาย อดไม่ได้ที่จะขยับม้าคิดหนีไป
แต่เพราะม้าตัวนี้ของนางเป็นม้าพันธุ์ดี วิ่งอยู่ข้างหน้าตามธรรมชาติ ตอนนี้ถูกคนข้างหลังขวางไว้ ถอยไปไม่ได้ด้วยซ้ำ
นางนั่งแข็งทื่อบนหลังม้า หนีไม่ได้จึงได้แต่เผชิญหน้า ในใจมึนงงวิงเวียน รู้สึกเหลวไหลคล้ายฝันไป
คนผู้นั้นในลานบ้านน่าจะได้ยินเสียงดังเอะอะตั้งแต่แรก ทว่าไม่ได้หันหน้าโดยพลัน ยังเอามือไพล่หลังเล็กน้อยคล้ายมองไปไกลโพ้น
จิ่งเหิงปัวไม่ได้มองเห็นสีหน้าเยาะเย้ยบนใบหน้าทุกคนข้างหลังนาง
นางถูกเสื้อผ้านั้นกับเงาร่างเลือนรางนั้นโจมตี ชั่วขณะนี้ในสมองว่างเปล่า แม้แต่ตัวเองอยู่ที่ไหนยังจำได้ไม่ชัด จะทันได้จำแนกสีหน้าคนอื่นที่ไหน
คนผู้นั้นในลานบ้านคล้ายวางมาดใหญ่โตพอแล้ว สุดท้ายค่อยๆ หันหน้ากลับมา
พริบตาหนึ่งนี้จิ่งเหิงปัวว้าวุ่นใจเหลือเกิน ไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้าหรือควรหลบหน้า แต่ลำคอแข็งทื่อเช่นนี้ ก่อนที่นางจะตัดสินใจ หน้าตาของคนคนนั้นพุ่งสู่ม่านตาของนางแล้ว
แวบแรก นางสั่นสะท้านอีกครั้ง แทบจะตกม้า
แต่กวาดสายตาแวบต่อมา เรือนร่างที่ใกล้ตกม้าของนางค่อยๆ หยุดนิ่ง
นางชะงักงัน พินิจเป็นแวบสาม
จากนั้นสายตานางท่วมท้นด้วยแววตาโกรธแค้น
นางรู้แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น!
สัตว์เลื้อยคลานที่อาศัยกินซากสัตว์กับหนอนแมลงวันในท่อระบายน้ำใต้ดินฝูงนี้ ไม่นึกว่าจะใช้สมองมาถึงเรื่องส่วนตัวของนางแล้ว!
ไม่รู้ไปได้ยินประวัติความรักของราชินีจากที่ไหน ไม่นึกว่าจะกล้าหาคนคล้ายกงอิ้นมา หมายความว่าอะไร? กลยุทธ์พ่อรูปงาม?
นางติดกับดักง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?
ยังนึกว่านางจิ่งเหิงปัวเป็นผู้หญิงใจง่าย บ้ากามหน้ามืดตามัว คว้าหมาแมวที่ไหนมาแต่งตัวก็ชักจูงนางได้?
นางเคยนอนที่นอนซิมมอนส์ ต่อมาไม่ได้นอนแล้ว เท่ากับว่าหาหนังสือพิมพ์เน่าเปื่อยสักกองมาเขียนคำว่าที่นอนซิมมอนส์นางก็คิดว่าเป็นที่นอนซิมมอนส์จริงแล้ว?
นี่มันเหยียดหยาม!
เหยียดหยามนาง เหยียดหยามความรู้สึกของนาง ซ้ำยังเหยียดหยาม…เขา
เล่นเป็นกงอิ้นง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?
เล่นเป็นกงอิ้นง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ!
เดิมทีจิ่งเหิงปัวมีความคิดกึ่งล้อเล่น จนบัดนี้เต็มไปด้วยความคิดสังหารอบอวล
นางถูกคนอื่นดูถูกเยาะเย้ย เหยียบย่ำแทะโลมได้ แต่ความรู้สึกที่นางเคยมี ทุกสิ่งที่นางเคยชอบ ไม่ว่าจุดจบจะเป็นอย่างไร สิ่งนั้นเป็นของของนาง ไม่ยอมให้คนนอกวางแผนเลียนแบบ ลองท้าทายตามใจชอบ
ความคิดสังหารยังไม่หายไปจากแววตานาง ขณะกำลังคิดว่าจะลงโทษสถานหนักกับคนอื่นสักครั้งอย่างไร ไม่ว่ากลุ่มไหนคิดแผนการนี้ ตั้งแต่บนลงล่างต้องหนีไม่รอดสักราย แต่กลับมีคนพุ่งขึ้นมาจะลงโทษนางแล้ว
คนชุดขาวที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งเซียนผู้นั้นในลานบ้าน หลังจากที่หันกายด้วยท่าทางสง่างามแล้ว มองเห็นม้าใต้สะโพกของจิ่งเหิงปัว สีหน้าพลันเปลี่ยนไป
“ผู้ใดให้นางขี่ม้าตัวนี้?” เขาหน้านิ่วคิ้วขมวด เดินก้าวใหญ่เข้ามา เอื้อมมือคว้าแส้ของคนข้างกาย คลายแส้สะบัดใส่จิ่งเหิงปัว “เจ้ากล้าขี่ม้าตัวนี้ด้วย? ลงมาเดี๋ยวนี้!”
แส้ถึงตัว จิ่งเหิงปัวเอนร่างตกม้า ดูท่าทางก็คล้ายถูกแส้ลากลงมา คนที่เหลือเห็นแล้วยิ้มเยาะ ผู้อ่อนวัยชุดขาวที่ลงมือคนนั้นกลับชะงักงัน เขารู้สึกได้ว่าแส้ไม่ได้ใกล้ถึงสตรีนี้ด้วยซ้ำ เหตุใดนางถึงลงมาแล้ว?
ทว่าสิ่งนี้ก็ขัดขวางเพลิงโทสะของเขาไม่ได้ เขาเชิดคิ้วสองข้าง ชี้ม้าตัวนั้นตวาดว่า “ม้าตัวนี้ล้ำค่าเท่าใด! จะเก็บไว้ให้ข้ากับฝ่าบาทนั่งเคียงข้างกัน! ให้สตรีชนบทน่าขยะแขยงขนาดนี้ขี่ก่อนได้อย่างไร!”
“คุณชายลี่” หัวหน้าผู้นั้นเลิกคิ้วเล็กน้อย ยิ้มเยาะเอ่ยว่า “ระวังวาจาของเจ้า ฝ่าบาทอะไรกัน? ระวังกำแพงมีหูประตูมีช่อง!”
บางคนแอบพึมพำว่า “เรื่องราวยังไม่ได้เริ่มเลยนะ เอ่ยคล้ายกลายเป็นพระสวามีแล้ว”
ชายชาวยุทธภพฝูงนี้เชิดชูพละกำลัง ดูถูกหนุ่มหน้ามนที่ใช้หน้าตาหากินเช่นนี้ที่สุด เห็นเขายังไม่ได้คบกับราชินีก็แสดงตัวเป็นพระสวามีจริงจัง สายตายิ่งเหยียดหยาม
บางคนก็ยิ้มเย็นชาเอ่ยว่า “องค์ว่าที่พระสวามี ทรงระวัง ทรงระวัง ดูท่าทางเช่นนี้ของพระองค์สิ เห็นแล้วไม่คล้ายมหาราชครูในตำนานท่านนั้นเลยนะ พระองค์ทรงเป็นเช่นนี้ จะให้องค์ราชินีถูกพระทัยได้อย่างไรเล่า?”
“เหตุใดข้าต้องเกรงใจพวกเจ้า? เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง” คุณชายลี่ผู้นั้นมีสีหน้าเขียวคล้ำ เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ภายภาคหน้าย่อมได้พิสูจน์ให้เห็น!”
“พวกข้าจะตั้งตารอ” บางคนหัวเราะเยาะขานรับ
“เอ่ยวาจาให้น้อยหน่อย” หัวหน้าผู้นั้นเอ่ยว่า “ไม่ว่าอย่างไร นี่เป็นเรื่องในสำนักพวกเรา สำเร็จแล้ว ทุกคนจะได้ประโยชน์ ควรร่วมแรงร่วมใจกันสิ ล้มล้างซึ่งกันและกันทำอะไร!”
เขาคล้ายน่าเกรงขามไม่น้อย พอวาจานี้ออกมา ทุกคนพากันหุบปาก ต่างคนต่างจูงม้าเดินไป คุณชายลี่ผู้นั้นกลับยังโมโหไม่หาย เหลียวมองซ้ายขวา เหลือเพียงจิ่งเหิงปัวคล้ายมีวรยุทธต่ำสุด ยกมือชี้จมูกนาง ตะคอกว่า “เจ้า! จูงม้าไปอาบน้ำให้ดี จะต้องอาบมากกว่าสิบรอบ ล้างกลิ่นสกปรกที่เจ้าทิ้งไว้ให้สะอาดเดี๋ยวนี้!”