เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 54-2 เมาอีกครั้ง
ผู้ตรวจตราเดินผ่านเส้นทางปลอดภัยเพียงหนึ่งเดียวในถ้ำ เสียงก้าวเท้าว่างเปล่าและห่างไกล มีคนอยู่ในหลายถ้ำรอบด้าน เขาเห็นเด็กคนหนึ่งเข้าสู่ถ้ำไฟสวรรค์
เขาเผยยิ้มออกมาเล็กน้อย รอยยิ้มนั้นเจือด้วยความชั่วร้าย
ทันใดนั้นเอง แสงสีแดงกะพริบวูบในความมืดมิด ขี้เถ้ากลุ่มหนึ่งฟุ้งกระจายออกมา โปรยปรายบนเสื้อผ้ากับหลังเท้าของเขา
ไม่มีแม้แต่เสียงร้องโหยหวน โดนลบออกไปจากโลกในชั่วพริบตา ครอบครัวของเขาอาจยังนึกว่าเขาเสวยสุขอยู่ที่ใดสักแห่ง ไม่รู้ว่าลูกหลานของตนเองลงนรกเกิดใหม่ตั้งนานแล้ว
ผู้ตรวจตราแบะปากออก ร้องด่าว่าโง่เง่า ก่อนจะปัดเถ้ากระดูกบนแขนเสื้อทิ้งไปอย่างไม่สนใจไยดี เหยียบขี้เถ้าเหล่านั้นก้าวไปนอกถ้ำ
เขาชอบเส้นทางตรวจตราสายนี้ยิ่งนัก อบอุ่น ปลอดภัย ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องใช้แส้หวดพวกหายใจเช่นเต่าใต้หิมะอดทนไม่ขยับตัวไม่ได้เหล่านั้น ซ้ำยังไม่ถูกลิ่มน้ำแข็งในน้ำตกบาดมือและใบหน้า ไฟสวรรค์ในถ้ำช่วยเขาจัดการทุกอย่างได้
ใต้ฝ่าเท้าส่งเสียงดังแกรกกราก ขี้เถ้าสีขาวเทามากมายทำให้เดินสบายยิ่งนัก
ข้างหลังมีเสียงร้องโหยหวน นั่นคือเสียงของผู้ที่ได้รับความทรมานจากการเคี่ยวกระดูกเปลี่ยนผิวหนังกำลังร้องตะโกนในถ้ำหินเลือด หินเลือดที่ร้อนผ่าวจะแนบติดกระดูกและกล้ามเนื้อของพวกเขา ชะล้างเส้นเอ็นและกระดูกของพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงร้องโหยหวนที่น่าเวทนากระทบผนังถ้ำที่หนาทึบ ทั้งถ้ำเต็มไปด้วยเสียงสะท้อนที่น่าสะพรึงกลัว
พร้อมด้วยแสงสีแดงเปล่งประกายวูบวาบ เถ้ากระดูกฟุ้งออกมาไม่หยุดหย่อน ราวกับนรกภูมิ
ทว่าเขากลับรู้สึกคุ้นเคยยิ่งนัก
ทุกคนที่มีชีวิตอยู่ที่นี่ต่างก็ผ่านมาเช่นนี้ เคยชินเสียแล้ว กระทั่งด้วยเหตุนี้เอง พอเห็นเด็กที่โง่เขลาเดินเข้าถ้ำเถ้าสวรรค์เหล่านั้น ก็เกิดความรู้สึกเหนือกว่าทางสติปัญญา
เขาเห็นแสงท้องฟ้าริบหรี่ข้างหน้า จะออกจากถ้ำแล้ว รีบตั้งคอเสื้อขึ้น ข้างนอกหนาวจัด
ออกจากถ้ำแล้วก็เป็นทะเลสาบน้ำแข็งแห่งหนึ่ง อยู่ไกลๆ ก็เห็นได้ว่าทะเลสาบน้ำแข็งดั่งกระจก แท่งน้ำแข็งยาวเกือบฉื่อริมฝั่งดั่งดาบดั่งต้นไม้
มีคนอยู่ในทะเลสาบน้ำแข็งเช่นกัน เด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปีที่เปลือยท่อนบนบางส่วนกำลังต่อสู้บนทะเลสาบน้ำแข็ง
พวกเขายืนเท้าเปล่า ถือกระบี่ แสงกระบี่คมกริบเหน็บหนาวดั่งแท่งน้ำแข็ง แต่ละกระบวนท่าร้องหาจุดสำคัญของคู่ต่อสู้
ด้วยเพราะระหว่างคนทั้งสองนั้น อยู่รอดได้เพียงคนเดียว
บนใบหน้าของเด็กหนุ่มเหล่านั้นส่วนใหญ่มีหยาดน้ำแข็งสะท้อนแสง…นั่นคือหยาดเหงื่อที่เยือกแข็ง
รอดมาได้ถึงบัดนี้ รอดมาได้ถึงที่นี่ คบค้าสมาคมกับสหายหลายปีแล้ว ส่วนการประลองกระบี่บนทะเลสาบน้ำแข็ง ผู้จัดงานจะตั้งใจเลือกคู่นั้นที่มีไมตรีแน่นแฟ้นที่สุดมาประลองกระบี่
ข่มใจไร้ความรู้สึก ถึงทำในสิ่งที่ผู้อื่นไม่ทำได้
ผู้ตรวจตรายืนนิ่ง กอดอกชมการประลองกระบี่อย่างเพลิดเพลิน บนทะเลสาบน้ำแข็งมีรอยลากสีแดงเข้มหลายรอย หนาบ้างบางบ้าง รอยบางเป็นรอยเลือดที่เกิดจากฝ่าเท้าเสียดสีผิวน้ำแข็งขรุขระ รอยหนาย่อมเป็นรอยเลือดที่เกิดจากการลากร่างมนุษย์
เด็กหนุ่มคู่หนึ่งกำลังประลองกระบี่มาถึงตรงหน้าเขา สองคนคนหนึ่งสูงคนหนึ่งเตี้ย ต่างลงมือได้ว่องไวยิ่งนัก ความเจ็บปวดยามแรกเริ่มผ่านพ้นไปแล้ว ยามนี้บนใบหน้าของทั้งสองฝ่ายต่างเป็นความโหดร้ายที่ไร้เดียงสา เห็นแล้วน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม
ผู้ตรวจตราพลันเหม่อลอยเล็กน้อย คล้ายกลับสู่เมื่อหลายปีก่อน ก็เป็นหิมะโปรยปราย ทะเลสาบน้ำแข็งใต้หิมะ เหน็บหนาวเนิ่นนาน
มีเด็กหนุ่มคู่หนึ่งกำลังประลองกระบี่ ก็เป็นคนหนึ่งสูงคนหนึ่งเตี้ย หยดน้ำตาบนใบหน้าทั้งสองคนหล่นลงบนผิวทะเลสาบดังเปาะแปะ เสียงก้องกังวาน
…เด็กหนุ่มตัวสูงที่อยู่ตรงหน้าพลันแทงกระบี่ด้วยองศากลับกลอก จากใต้สีข้างมุ่งสู่ท้องน้อยอีกฝ่าย
เด็กหนุ่มตัวเตี้ยในยามนั้นพลันแทงกระบี่ มุ่งสู่หว่างคิ้วอีกฝ่าย
…เด็กหนุ่มตัวเตี้ยที่อยู่ตรงหน้าพลันทำท่าสะพานโค้ง แผ่นหลังแตะพื้น กระบี่ลอยขึ้นจากปลายเท้า
เด็กหนุ่มตัวสูงในยามนั้นพลันแทงกระบี่ลอยขึ้นจากใต้ศอก มุ่งสู่หน้าอกของเด็กหนุ่มตัวเตี้ย
…เด็กหนุ่มตัวสูงที่อยู่ตรงหน้าโซเซถอยหลัง ฝ่าเท้าลื่นไถล ร่วงลงริมฝั่งทะเลสาบน้ำแข็ง ต้นไม้น้ำแข็งที่อยู่ข้างหลังแหลมคมดั่งหนาม เขากระแทกลงไป ส่งเสียงร้องโหยหวน หนามน้ำแข็งแทงทะลุหน้าอกเขา
…เด็กหนุ่มตัวเตี้ยในยามนั้นก็ต้านไม่ทัน โซเซถอยหลัง เห็นกระบี่ใกล้แทงหน้าอก เด็กหนุ่มตัวสูงกลับพลันยั้งมือ กระบี่ร่วงหล่น
เขายื่นมือมาประคองเขา
เขาเงยหน้ามองเขา
กระบี่หนึ่งพลันลอยมา แทงทะลุหน้าอกของเด็กหนุ่มตัวสูงในยามนั้น ในหยาดโลหิตสาดกระเซ็นมีเสียงยิ่งใหญ่เอ่ยขึ้นอย่างหนักแน่นว่า “ผู้ที่ใจอ่อนทิ้งกระบี่ โทษตาย!”
เสียงเหน็บหนาวถึงกระดูกนั้น ตราตรึงส่วนลึกของทะเลสาบน้ำแข็งแห่งใจ ไม่ละลายอีกเลย
…
บนต้นไม้น้ำแข็ง ศพของเด็กหนุ่มตัวสูงห้อยต่องแต่ง เด็กหนุ่มตัวเตี้ยจ้องมองเขาอย่างเลื่อนลอย สีหน้าบนใบหน้าของเขาคล้ายอยากร้องไห้ ทว่าเขาไม่กล้าร้องไห้ หากน้ำตาไหลลงมาจริงๆ เขาก็ผ่านด่านสุดท้ายไม่ได้ กลายเป็นลูกศิษย์ในนามไม่ได้
ผู้ตรวจตราค่อยๆ กอดอกเป็นครั้งแรก คล้ายรู้สึกถึงความหนาวในที่สุด
เด็กหนุ่มตัวเตี้ยผู้นั้นในยามนั้นก็ไม่ได้ร้องไห้
เด็กหนุ่มผู้นั้นในยามนั้นหยิบกระบี่ขึ้นมา หันหลังอย่างเงียบเชียบ เดินเข้าไปในป่าน้อยที่ครึ่งเขา กลายเป็นลูกศิษย์ในนามคนหนึ่งที่นั่น ผ่านการฝึกฝนอีกสามปี กลายเป็นลูกศิษย์ทางการ ผู้ดูแลโถงนอก ผู้ดูแลโถงใน จนกระทั่งวันนี้
เด็กหนุ่มผู้นั้น คือเขา
นั่นเพราะเด็กหนุ่มตัวสูงที่ทิ้งกระบี่ถูกฆ่า คือพี่ชายฝาแฝดของเขา
…
ผู้ตรวจตราพลันไม่อยากตรวจตราอีกต่อไปแล้ว เรื่องหลังจากนี้ก็ไม่จำเป็นต้องให้เขาดูแลเท่าใด
แตกต่างจากจินตนาการของผู้อื่น ภูเขาหิมะไม่ใช่ยิ่งขึ้นไปยิ่งเจอผู้วิเศษ ตรงกันข้าม ยอดเขาคือด่านแรก คนที่ลงเขาได้ถึงมีทางรอด
เขายืนอยู่บนครึ่งเขา มองเชิงเขาอยู่ไกลๆ สถานที่ซึ่งเกือบใกล้เชิงเขามีบ้านไม้น้อยๆ ที่นั่นคือเส้นทางที่ลูกศิษย์นอกสำนักต้องเดินผ่านเพื่อก้าวสู่ในสำนัก
ต้องเข้าสู่ในสำนักถึงนับว่าเป็นชาวสำนักอย่างแท้จริง สำนักจะรับผิดชอบความเป็นความตายทุกอย่างของคนผู้นั้น
นึกถึงทุกสิ่งที่ได้เผชิญยามที่เดินเข้าบ้านน้อยๆ หลังนั้นในยามนั้น เขาผู้ที่มีนิสัยเย็นชาก็อดจะหนาวสั่นทั้งร่างไม่ได้
ตำแหน่งสำคัญบางแห่งในร่างเริ่มเจ็บปวดขึ้นมากะทันหัน เตือนเขาถึงความหมายที่แท้จริงของ ‘ข่มใจไร้ความรู้สึก’
เขายืนอยู่ตรงนั้น สูดหายใจยาวเฮือกหนึ่ง ปราณถ่วงตานเถียนให้ค่อยๆ ลงไป ลงไป
ปราณแท้จมลงไปถึงระดับหนึ่งในร่าง จากนั้นก็เป็นความรู้สึกเจ็บปวดสาหัสระลอกหนึ่ง เขารู้ว่ามาถึงแล้ว
ตรงนั้น ตำแหน่งที่สำคัญที่สุดของบุรุษ มีเข็มเล่มหนึ่ง
ตัดอารมณ์ ระงับตัณหา
เขาสูดหายใจอีกเฮือกหนึ่ง ใช้ปราณแท้ค่อยๆ ดึงเข็มเล่มนั้นที่รู้สึกได้ขึ้นไป
พื้นที่หนาวเย็นเช่นนี้ เขากลับมีสีหน้าแดงก่ำ ทั่วทั้งร่างสั่นเทิ้ม หน้าผากมีเหงื่อซึมออกมาเป็นเม็ดๆ หยาดเหงื่อร่วงลงพื้นดังเปาะแปะ กลมกลืนหายไปกับกองหิมะ
อวัยวะบนใบหน้าบิดเบี้ยวรวมกันด้วยเพราะความเจ็บปวดสาหัส แทบจะอัปลักษณ์ เขาพลันพ่นลมหายใจยาวออกมาเฮือกหนึ่ง ก่อนจะโซเซถอยหลังไป
หลังพิงบนผิวน้ำแข็ง เขาสั่นระริกอยู่สักพักถึงได้เริ่มสงบลง
ใช้ปราณแท้ตรวจสอบอีกครั้ง เขาพบว่าเข็มนั้นขยับขึ้นเป็นระยะทางประมาณเมล็ดข้าวหนึ่งเมล็ด
นี่ทำให้เขาดีใจอยู่บ้าง รู้สึกว่าครานี้ก้าวหน้ารวดเร็วนัก แต่ก่อนเคลื่อนย้ายได้ระยะทางเพียงเส้นผมหนึ่งเส้น
ยังห่างไกลจากการดึงเข็มเล่มนี้ออกจากตำแหน่งสำคัญ แต่เขาเชื่อว่ามีเวลาชั่วชีวิต ย่อมมีความหวังว่าจะทำได้
เขาจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลถึงได้วิธีนี้มาจากผู้ชราในสำนักนั้น การดึงเข็มออกไม่ง่ายเลย ด้วยเพราะควบคุมวิถีของเข็มได้ยากยิ่ง แทงอวัยวะภายในบาดเจ็บได้ง่ายนัก เล่ากันว่าหลายคนในสำนักที่สิ้นใจลงกะทันหัน ต่างด้วยเพราะแอบดึงเข็มออกไม่สำเร็จ
ไม่มีทางที่จะดึงเข็มออกจากร่างกายได้โดยสิ้นเชิง นานวันเข้าเหนี่ยวรั้งตำแหน่งสำคัญ แยกออกไม่ได้ ทุกคนที่แอบดึงเข็มออกก็เพียงหวังจะย้ายเข็มไปตำแหน่งอื่นที่ไม่สำคัญ ดีกว่าขวางอยู่ตรงนั้น เจ็บปวดทั้งวันทั้งคืน
มีคนทำสำเร็จหรือไม่? เขาไม่รู้ แต่เขาหวังว่าตนเองจะเป็นคนหนึ่งที่ทำได้
เขาพิงกำแพงน้ำแข็ง ชั่วครู่หนึ่งความเจ็บปวดสาหัสในร่างถึงได้สงบลง ทุกครั้งที่ดึงเข็มออกดั่งทัณฑ์ทรมาน ทำให้คนในสำนักที่ผ่านความทุกข์ทรมานเหล่านี้เช่นพวกเขายังรู้สึกว่าอดทนได้ยากนัก
เขาคิดว่าคนที่ย้ายเข็มทั้งเล่มนี้ออกไปได้ จะต้องเป็นบุรุษที่องอาจที่สุด อดทนที่สุด หนักแน่นที่สุดในโลกนี้
เขาเริ่มเดินขึ้นภูเขาอีกครั้ง เดินวนบนเส้นทางที่เคยเดินผ่าน ระหว่างที่เดินกลับไป เขาพลันนึกถึงคนผู้นั้นที่เดินลงเขาอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ภูเขาหิมะ
เขาไม่เพียงลงไปถึงเชิงเขาภูเขาหิมะ ถึงขนาดเดินออกจากเชิงเขา เดินไปสู่ต้าฮวงที่ไกลออกไป
เขาเป็นสิ่งต้องห้ามและสิ่งล่วงเกินไม่ได้ของสำนัก เงาร่างที่ถือกระบี่เดียวดายในยามนั้นปกคลุมในใจทุกคนดั่งเงามืด สำนักที่หยิ่งผยองได้ความอัปยศที่ไม่เคยเกิดขึ้นในรอบร้อยปีอย่างลึกซึ้งด้วยเพราะเขา จนบัดนี้สำหรับเรื่องนี้ ทั่วทั้งสำนักรู้อยู่แก่ใจ เก็บเป็นความลับขั้นสูงสุด
เขานึกถึงพี่ชายที่ถูกดาบเดียวทะลุหัวใจของตน ลอบถอนใจเล็กน้อย
ผู้อื่นมีโชคชะตาของผู้อื่น พวกเราเป็นคนธรรมดา ได้แต่ยอมเชื่อฟังโชคชะตาที่มืดมน
เพียงแต่ เขาทำสำเร็จหรือไม่นะ?