เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 6.1
“เหตุใดว่าที่สามีของข้าต้องยอมสวมรอยเป็นสามีให้เจ้าด้วย?” จิ่งเหิงปัวก้าวขึ้นมาอย่างเชื่องช้า คล้องแขนของเหยียลี่ว์ฉีไว้อย่างเป็นธรรมชาติ กล่าวว่า “ข้าทำเองได้นะ”
เหยียลี่ว์ฉีหันหน้ามามองนางโดยพลัน
จิ่งเหิงปัวไม่ได้มองเขา นางเพียงแต่ซบศีรษะลงบนหัวไหล่ของเขาอย่างออดอ้อน กะพริบตาให้เฟยหลัวอย่างยั่วยุ ก่อนกล่าวว่า “เสนาหญิงอายุมากแล้ว เรื่องแบบนี้ให้ข้าผู้เป็นว่าที่ภรรยาของเขากังวลแทนท่านเถิด ดีหรือไม่?”
“อึก…” สีหน้าของเฟยหลัวประเดี๋ยวเขียวคล้ำประเดี๋ยวซีดเผือดคล้ายถูกโจมตีจนไม่ทันได้ตอบโต้ ผ่านไปนานครู่ใหญ่ถึงได้เอ่ยว่า “เจ้า…ว่าที่ภรรยาโผล่มาจากที่ใดกัน?”
จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มไม่กล่าวอะไร…นางเขียนต้นเรื่องเสร็จสิ้น ไม่สนใจเรื่องราวต่อจากนี้ ได้เวลาให้เหยียลี่ว์ฉีออกโรงแล้ว
ในเมื่อถูกผลักลงมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว เวลาเพียงชั่วพริบตานางเองก็คิดออกได้แค่วิธีนี้ โชคดีที่ฝีมือการแต่งหน้าของนางไม่เลว ซ้ำยังบีบเสียงไว้ ด้วยความตกใจเฟยหลัวจึงจำนางไม่ได้เลย
ส่วนเหยียลี่ว์ฉีนั้น เขาย่อมรู้แน่นอน
เหยียลี่ว์ฉีรู้สึกตัวรวดเร็วยิ่งนัก ยิ้มแย้มประคองแขนของนางไว้โดยพลันพลางเอ่ยว่า “เจ้าตามมาได้อย่างไร? ช่างซุกซนจริงเชียว…” แล้วเอ่ยกับเฟยหลัวอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “ท่านนี้คือคุณหนูสกุลหนานแห่งแคว้นอวี่ ขณะนี้นับเป็นคู่หมั้นของข้า”
“สกุลหนานจะสมรสกับตระกูลเหยียลี่ว์ของท่านได้อย่างไร? เหตุใดก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยได้ยิน?” สายตาของเฟยหลัวฉายแววสงสัย
“เจ้าออกจากแคว้นอวี่เนิ่นนานแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะต้องบอกเรื่องราวในภายหลังให้เจ้าได้รับรู้” เหยียลี่ว์ฉีตอบอย่างไม่เกรงใจเช่นกัน เอ่ยสืบต่อไปว่า “เรื่องนี้เป็นการจัดการของตระกูล เจ้าย่อมรู้ว่าข้าคือผู้ที่เคยทำผิดพลาด ข้าไม่มีทางคัดค้านการจัดการของตระกูลได้”
เฟยหลัวถูกโจมตีเข้าจุดอ่อนจนต้องหุบปากลงโดยพลัน ความผิดพลาดของเหยียลี่ว์ฉีนั้นเกิดขึ้นเพราะนาง
“ทว่าข้าพอใจในตัวแม่นางหนานยิ่งนัก” เหยียลี่ว์ฉีหันหน้ามายิ้มให้จิ่งเหิงปัว เอ่ยสืบต่อว่า “นางมีน้ำใจไมตรี ปราดเปรียวเฉลียวฉลาด กิริยามารยาทงดงาม หวังครองคู่สุขสันต์ นับเป็นผู้มีคุณสมบัติของภรรยาหลวงที่ตัวข้าเหยียลี่ว์ฉีเฝ้าฝันหา”
จิ่งเหิงปัวลูบแขน รู้สึกขนลุกขนชันขึ้นมาบ้าง อดกลั้นไม่มองสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้งของเขา เพียงพิงศีรษะลงบนแขนของเขาอย่างนุ่มนวล
บนศีรษะคล้ายมีเสียงกระเบื้องร้าวดังขึ้นอีกครั้ง ทว่าคราวนี้เฟยหลัวกำลังฟุ้งซ่านจึงไม่ได้สังเกต
“คู่หมั้นของท่านหรือ?” เห็นได้ชัดว่านางยังไม่ยอมเชื่อ สายตาพินิจตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เอ่ยว่า “นางตามมา หรือว่าท่านพานางมาด้วย? นางมาแอบฟังความลับระหว่างข้ากับท่านได้อย่างไร” เสียงวาจาสุดท้ายพลันเดือดดาล มีไอสังหารเข้มข้น
“แน่นอนว่าข้าต้องเป็นคนพานางมา พวกเราสามีภรรยาเสมือนเป็นคนคนเดียวกัน ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกัน มีความลับต่อกันเสียที่ใด?” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มอ่อนโยนจนแทบมอมเมาผู้คนได้
สีหน้าของเฟยหลัวดูอัปลักษณ์มากยิ่งขึ้น เอ่ยออกมาว่า “ไม่ได้! นี่เป็นความลับของข้า! ข้าไม่ให้ผู้อื่นแอบฟัง! ข้าจะลงโทษนาง!”
“เจ้าไม่อยากให้ข้าช่วยเหลือแล้วหรือ?” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือย
เฟยหลัวหยุดฝีเท้า หน้าผากเขียวคล้ำ ร้องว่า “ท่าน…”
“ข้ารู้ว่าคงมีคนดักซุ่มอยู่ไม่ไกลจากลานบ้านคอยสนับสนุนเจ้า” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ทว่าเจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าคนเหล่านั้นยังอยู่?”
สีหน้าของเฟยหลัวเปลี่ยนแปลงไปโดยพลัน
“เจ้าพบกับข้าเป็นการส่วนตัวยังต้องตระเตรียมองครักษ์พร้อมต่อสู้ เจ้าเตรียมไว้ต่อสู้กับผู้ใดกันเล่า?” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้ม รอยยิ้มเยือกเย็นลึกล้ำ
“ไม่ใช่นะ ข้าไม่ได้เตรียมองครักษ์ไว้เพื่อต่อสู้กับท่าน…หากข้าไม่เชื่อใจท่าน ข้าจะกล้าพบเจอท่านที่ศาลบรรพชนแห่งนี้เพียงลำพังได้อย่างไร…ท่านจะไม่ทำร้ายข้าเป็นแน่ ข้ารู้” เฟยหลัวรีบเร่งอธิบายว่า “เพียงแต่ข้ากังวลว่าอาจมีศัตรูคู่แค้นเข้ามาใกล้ เช่น พวกยงซีเจิ้ง…”
“หากเจ้าคิดแตะต้องคนของข้า” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยอย่างนุ่มนวลว่า “เช่นนั้นข้าอาจจะต้องทรยศความเชื่อใจของเจ้าแล้ว”
เฟยหลัวกัดริมฝีปากล่างแน่น มองจิ่งเหิงปัวอีกปราดหนึ่ง ท่ามกลางแสงมืดสลัวภายในศาลบรรพชนร้าง จิ่งเหิงปัวที่อิงแอบแนบชิดเหยียลี่ว์ฉีด้วยท่าทางหวานปานน้ำผึ้งโดยตลอด มองผิวเผินดูเป็นสาวน้อยที่ค่อนข้างดูดีมีสกุลหลายส่วนเสียจริง ทว่าไร้ซึ่งเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว
ตอนนี้จิ่งเหิงปัวไม่ได้สวมรองเท้าส้นสูงแล้ว แม้แต่ความสูงยังให้ความรู้สึกแตกต่างจากเมื่อก่อน
จิ่งเหิงปัวรู้สึกได้ว่าภายในดวงตาของเฟยหลัวเต็มไปด้วยไอสังหาร…แท้จริงแล้วผู้หญิงประเภทนี้รักแต่ตัวเอง มีความรู้สึกว่าตัวเองสูงส่งอย่างยิ่ง และมีความปรารถนาที่จะครอบครองอย่างแรงกล้า ผู้ชายที่โดดเด่นทุกคนเป็นเหยื่อในสายตาของพวกนาง แม้ว่าพวกนางไม่ต้องการเหยื่อทั้งหมด แต่ภายในจิตใต้สำนึกของพวกนางคิดว่าเหยื่อเหล่านั้นรอคอยให้ตนเองไปครอบครอง หากถูกผู้ล่าคนอื่นชิงตัดหน้าจะรู้สึกทันทีว่าศักดิ์ครีของตัวเองถูกแตะต้อง แค่ถูกแย่งผลไม้ แทบอยากจะคว้าปืนอาก้ามาฆ่าล้างตระกูลอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา
ฉะนั้นนางจึงยิ้มแย้มอย่างหวานชื่นและไร้เดียงสามากยิ่งขึ้น ท่วงท่าคล้องแขนเหยียลี่ว์ฉีเหมือนสาวน้อยมากยิ่งขึ้น
ยิ้มแย้มไปพลางก็รู้สึกแปลกใจกับตนเองไปพลาง ทั้งที่คนตรงหน้าเป็นหนึ่งในศัตรู ทั้งที่กำลังเกลียดชังเหลือเกิน แต่นางยังคงเล่นละครตบตาได้ แสร้งยิ้มแย้มออกมาได้ ซ้ำยังไม่มีความลำบากใจเลยแม้แต่น้อย
บางครั้งคนที่ตายไปรอบหนึ่งแล้วคงแตกต่างจากเมื่อก่อนสินะ
สำหรับเฟยหลัวรวมทั้งทุกคนที่เคยทำร้ายนาง นางไม่คิดจะแทงให้ตายในครั้งเดียวแล้วจบแค่นั้น
นางจะให้ทุกคนได้ลิ้มรสชาติขมฝาดยามที่ชีวิตตกต่ำ นางจะให้พวกเขาได้สัมผัสช่วงเวลาที่เจ็บปวดทรมานยามที่ร่วงจากสรวงสวรรค์สู่ขุมนรก ยามที่นึกว่าตนเองครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างสู่ยามสิ้นไร้ทุกซึ่งทุกอย่าง
เสมือนการกระโดดบันจีจัมพ์ที่ล้มเหลว ศีรษะพุ่งตรงลงข้างล่าง ร่วงหล่นกรีดร้องตื่นตระหนก สัมผัสความทรมานจากหัวใจจนสิ้น สุดท้ายแล้วน้อมรับการกระแทกจบสิ้นชีวิตดังพลั่ก
โลกมนุษย์เจ็บปวดทรมาน ความตายนับเป็นเรื่องที่ง่ายดายที่สุด
เหยียลี่ว์ฉีอมยิ้มหันหน้ามองดูนาง เอื้อมมือออกมาโอบเอวของนางอย่างแผ่วเบา
จิ่งเหิงปัวพลันชะงัก คราวนี้เขาจะทำเกินไปหน่อยแล้ว มือแอบเอื้อมไปข้างหลังของเขา หยิกเนื้อตรงเอวของเขาอย่างรุนแรง…ปล่อยมือ! รีบปล่อยมือ!
เหยียลี่ว์ฉียืนตระหง่านไม่ขยับเขยื้อน รอยยิ้มในดวงตายิ่งเบิกบาน ท่าทางดูดั่งพวกที่ชื่นชอบความเจ็บปวด
แม้ว่ายามนี้เอวของจิ่งเหิงปัวจะถูกห่อหุ้มด้วยผ้าหลายชั้น สัมผัสแล้วแข็งทื่อแน่นหนา แต่เขายังคล้ายรู้สึกได้ถึงทรวดทรงที่เพรียวบางและผิวกายที่เนียนนุ่มใต้ผืนผ้าหยาบกร้าน ยิ้มแย้มจนสายตาวูบไหวดั่งเปล่งประกาย
ทั้งคู่ดูท่าทางสนิทสนมกลมเกลียว บนกระเบื้องหลังคาคล้ายมีเสียงผิดปกติ จิ่งเหิงปัวไม่รู้ว่าข้างบนเกิดอะไรขึ้นเช่นกัน ได้แต่พยายามไอโขลกกลบเกลื่อนเสียงพวกนั้น
“เช่นนั้นเรื่องของข้าจะว่าอย่างไร?” เฟยหลัวฝืนสะกดกลั้นความโกรธเคืองมากล้น ถามด้วยเสียงเย็นชา ความนิ่มนวลอ้อมค้อมเมื่อครู่หายไปแล้ว
“คู่หมั้นว่าอย่างไร ข้าก็ว่าอย่างนั้น” เหยียลี่ว์ฉีมองจิ่งเหิงปัวด้วยความรู้สึกลึกซึ้งอย่างยิ่ง ดุจดั่งสามีคนดีที่ให้เกียรติว่าที่ภรรยา
จิ่งเหิงปัวยิ้มหวานให้เขา ส่วนมือก็หยิกอย่างหนักหน่วงมากยิ่งขึ้น พลางกล่าวอย่างหวานหยดย้อยมากกว่าเดิมว่า “ข้ารู้สึกว่าน่าสนุกยิ่งนัก ในเมื่ออาหญิงท่านนี้เอ่ยว่าต้องการให้เจ้าช่วยเหลือ ซ้ำยังสนิทสนมกันตั้งแต่เยาว์วัย ช่วยนางสักครั้งคงไม่เป็นไรกระมัง ทว่าข้าขอเอ่ยไว้ก่อนนะ…” นางทำปากจู๋ กล่าวอย่างออดอ้อนว่า “คนข้างกายเจ้าต้องเป็นข้าเท่านั้น คนที่ออกงานกับเจ้าต้องเป็นข้าเท่านั้น สตรีหน้าไหน ยายแก่แม่หม้ายสามีตายนางใดจะมาแทนที่ข้าไม่ได้ทั้งนั้น”
เฟยหลัวมีสีหน้าเขียวคล้ำภายใต้แสงไฟ จิกนิ้วมือแน่นถึงหยุดยั้งการสั่นเทิ้มด้วยความโกรธแค้นได้
“แน่นอนว่าต้องเป็นเจ้าเท่านั้น” เหยียลี่ว์ฉีลูบจมูกของนางอย่างรักใคร่ ก่อนจะหันหน้ามาเอ่ยกับเฟยหลัวด้วยท่าทางอารมณ์ดียิ่งนักว่า “ข้ากับคู่หมั้นจะเข้าร่วมงานเลี้ยงหมั้นหมายของยงซีเจิ้งกับองค์หญิง เจ้าหาเหตุผลให้พวกเราเข้าไปก็พอแล้ว ส่วนเรื่องราวต่อจากนั้นยังกระทำตามแผนการเดิม สรุปคือช่วยเจ้าบรรลุเป้าหมายได้ ว่าอย่างไร?”
เฟยหลัวครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เอ่ยออกมาอย่างจนปัญญาว่า “ช่างเถิด” แล้วกัดฟันกรอดเอ่ยกับนางว่า “หากไม่ใช่เพราะยงซีเจิ้งซื้อตัวคนทางนี้ของข้า ล่วงรู้การจัดวางลูกน้องของข้า ข้าจะใช้คนของตนเองแก้ไขปัญหาได้เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องรบกวนท่าน!”
“ในเมื่อรู้ว่าเป็นการรบกวน ท่านอาคงเอ่ยวาจาปากเปล่าแล้วจบเรื่องไม่ได้กระมัง?” จิ่งเหิงปัวขานรับทันที กล่าวต่อไปว่า “ยามใช้งานผู้อื่นควรจ่ายค่าตอบแทนสักหน่อยมิใช่หรือ? คู่หมั้นของข้ามีฐานะสูงส่งขนาดนี้ ค่าตอบแทนควรจะเหมาะสมกับฐานะของเขาด้วยกระมัง? ต่อให้เขากับท่านสนิทสนมกันตั้งแต่เด็กนับว่าลดราคาได้ ทว่าข้ากับท่านไม่ได้สนิทสนมกันเสียหน่อย ข้าวิ่งแล่นกระทำแผนการสังหารผู้อื่นแทนท่านอย่างยากลำบาก ท่านก็ไม่คิดจะเกรงใจสักหน่อยเชียวหรือ? หรือว่าท่านพึ่งพาหน้าตาของตนเองใช้คนทำงานให้ แต่ไม่ยอมจ่ายเงินจนเคยชินแล้ว นึกว่าพบเจอคู่หมั้นของข้าแล้วจะเป็นเช่นนั้นไปด้วย? คู่หมั้นของข้าไม่ใช่พวกโง่เง่าไร้สมองที่มองเห็นสาวงามนิดหน่อยแล้วจะขาอ่อนยวบแบบนั้นหรอกนะ…” นางยิ้มแย้ม ยื่นนิ้วมือออกไปจิ้มแก้มของเหยียลี่ว์ฉี แล้วกล่าวว่า “เขาเป็นสุภาพบุรุษผู้มีจิตใจมั่นคงหนักแน่น คุณธรรมสูงส่ง ความประพฤติบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่เคยมักมากในกามเชียวนะ!”
“ใช่แล้ว” เหยียลี่ว์ฉีพยักหน้าตอบรับอย่างไร้ซึ่งความละอาย โอบเอวของนางให้แน่นยิ่งขึ้นด้วยท่าทางบริสุทธิ์ผุดผ่อง
กระเบื้องหลังคาส่งเสียงดังก๊อกแก๊กอย่างต่อเนื่อง คราวนี้แม้แต่เสียงไอโขลกยังกลบเกลื่อนไว้ไม่ได้ เฟยหลัวเชิดสายตามองไปปราดหนึ่ง ยิ้มเยาะพลางเอ่ยว่า “มีคนดักซุ่มคอยแอบฟังมากเพียงใดกันแน่?”
“องครักษ์ของข้าผู้เดียวเท่านั้น” จิ่งเหิงปัวยอมรับอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่
“ไม่เสียแรงที่เป็นคุณหนูตระกูลหนาน จู้จี้จุกจิกชอบวางแผนการ” เฟยหลัวมีสีหน้าเหยียดหยาม ไม่มองนางด้วยซ้ำ หันไปหาเหยียลี่ว์ฉี เอ่ยว่า “การสมรสเชื่อมสัมพันธ์ของเหยียลี่ว์ฉีกับตระกูลพ่อค้าร่ำรวยคงตกต่ำอย่างแท้จริงแล้ว”
“หากตกต่ำคงเป็นข้าเพียงผู้เดียว” เหยียลี่ว์ฉีพลันตอบรับด้วยรอยยิ้ม เอ่ยว่า “ผู้ใดใช้ให้ข้าเป็นนักโทษของตระกูลเล่า?”
เฟยหลัวได้แต่หุบปากอีกครั้ง
“อีกทั้งเป็นตระกูลพ่อค้าร่ำรวยแล้วอย่างไร? การได้พบเจอเสี่ยวหนานคือความโชคดีที่สุดในชีวิตของข้า ข้าไม่มีเหตุผลที่จะหยิ่งผยองเบื้องหน้านาง หวังเพียงว่านางจะได้รับสิ่งดีมากยิ่งขึ้น” เหยียลี่ว์ฉีหันหน้ามา จ้องมองจิ่งเหิงปัวด้วยแววตาดุจสายน้ำภายใต้แสงไฟ ประหนึ่งลุ่มหลงยิ่งนัก
จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มให้เขาอยู่ตลอด พอพบเจอสายตาเช่นนี้กลับชะงักงัน ปล่อยมือที่หยิกเขาอยู่ เรือนร่างหลบหลีกไปข้างหลังโดยไม่เหลือร่องรอยไว้
รู้สึกได้ว่าแขนของเหยียลี่ว์ฉีชะงักไปเล็กน้อย เขาปล่อยเอวของนางอย่างแผ่วเบาเช่นกัน ข้างใบหูดั่งมีเสียงถอนหายใจเจือจาง คล้ายมีทว่าไม่มี ไม่รู้ว่าหูฝาดไปหรือเปล่า