เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 7.1
“เช่นนั้นเจ้าต้องการสิ่งใดกัน” สาวน้อยอ้าปากจะร้องไห้ เอ่ยว่า “สิ่งที่ข้ามอบให้เจ้าได้มีเพียงสิ่งนี้แล้วนะ…”
“ข้าไม่ต้องการสิ่งใดทั้งนั้นนะ” จิ่งเหิงปัวกล่าวอย่างใกล้ชิดสนิทสนมว่า “เจ้าแย่งว่าที่สามีของข้าไปแล้ว ข้าเลยต้องตามมายกเลิกการหมั้นหมายกับเขาก่อน จากนั้นค่อยเป็นเจ้าภาพจัดงานสมรสให้เจ้าอย่างไร”
“อ๊ะ เจ้าก็คือสตรีที่สู้ราคากับข้านางนั้น” สาวน้อยร้องไห้กระซิกพลางเอ่ยว่า “ข้าไม่อยากแย่งบุรุษของเจ้า ข้าไม่เอาแล้ว เจ้าเอาคืนไปเลย”
“นี่ เจ้าก็เห็นว่าข้าเป็นแม่เล้าหรืออย่างไร ของมือสองยังต้องการอีกหรือ?” จิ่งเหิงปัวส่ายหน้า กล่าวต่อไปว่า “ไม่ได้ๆ คนเราต้องรับผิดชอบเรื่องราวที่ตนเองกระทำลงไป พอเจ้าแย่งกลับไป เขาย่อมสมรสกับผู้อื่นไม่ได้แล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าเขาเคยถูกเจ้าล่วงเกินหรือไม่? อย่างไรเสียข้าไม่ต้องการเขาแล้ว มอบให้เจ้าละกัน ข้าเป็นเจ้าภาพงานสมรสของพวกเจ้า พวกเจ้าเข้าเรือนหออย่างยินดีปรีดา ดีหรือไม่?”
“ไม่เอานะ!” สาวน้อยร้องเสียงหลงอยู่ใต้ฝ่ามือนาง เอ่ยว่า “ข้าไม่ได้มองเห็นชัดเจนด้วยซ้ำว่าเขามีรูปร่างหน้าตาอย่างไร!”
“เช่นนั้นเจ้าต้องการแย่งเขาไปเพื่อเหตุใด เพียงเพื่อปะทะอารมณ์กับข้าหรือ? ทว่าข้าจำได้ว่าเจ้าต้องการแย่งเขาก่อนนี่ ตกลงเจ้าจะปะทะอารมณ์กับข้าหรือว่าปะทะอารมณ์กับผู้อื่นกันแน่?”
สาวน้อยไม่ขยับเขยื้อนในครู่เดียว ขนตากะพริบสองครั้ง จิ่งเหิงปัวจึงรู้สึกว่าริมฝ่ามือเปียกชื้นขึ้นมากะทันหัน
นางถอนหายใจ
เดาถูกจริงด้วย
นางก็เป็นสตรีโง่เขลาที่ทุกข์ทรมานเพราะความรักอีกนางหนึ่ง
“ฮือๆๆ ฮือๆ…” ก๊อกน้ำเปิดออกแล้ว จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าน้ำตาพรั่งพรูผ่านฝ่ามือ เพียงพริบตาเดียวก็เปียกชุ่มกระทั่งปากแขนเสื้อ
นางได้แต่ปล่อยมือออก มิฉะนั้นนางกังวลว่าประเดี๋ยวเสื้อผ้าทั้งชุดจะสวมใส่ไม่ได้แล้ว
ผลไม้เคลือบน้ำตาลถูกคว้ากลับไปเคี้ยวอย่างออกรสออกชาติ นางนั่งไขว่ห้าง กินขนมไปพลางชมวิวทิวทัศน์ไปพลาง…ให้นางร้องไห้ไปเถอะ เด็กหญิงตัวน้อยที่ตกอยู่ในภวังค์ความโศกเศร้าของตนเองก็ไม่มีกะจิตกะใจจะไปทำร้ายใครหรอก
“เขาๆๆ เขาทำเช่นนี้กับข้าได้อย่างไร…” เด็กหญิงตัวน้อยยิ่งร้องไห้ยิ่งเสียใจ ร้องไห้เฉกเช่นดอกสาลี่ต้องฝน ร้องไห้จนทั่วร่างสั่นเทิ้ม ร้องไห้จนนั่งไม่อยู่ หมอบลงบนเข่านางเสียเลย
“ฮือๆๆ ข้าชื่นชอบเขามานานหลายปีขนาดนั้น…”
“ฮือๆๆ เรื่องความรู้สึกยอมให้กันได้หรือ ยอมให้กันได้ด้วยหรือ…”
จิ่งเหิงปัวชูผลไม้เคลือบน้ำตาลไว้ เบิกตากว้างมองดูศีรษะน้อยที่โคลงเคลงไปมานั่น ในใจคิดว่าด้วยท่าทางอ่อนต่อโลกแบบนี้ ท่านพ่อท่านแม่กล้าปล่อยออกมาได้อย่างไร
แอบหนีออกมาล่ะมั้ง?
นัดพบแฟนหนุ่มที่โรงน้ำชาแต่ตกลงกันไม่ได้ พออารมณ์เสียขึ้นมาจึงก่อเรื่องแย่งผู้ชายเพื่อกระตุ้นแฟนหนุ่ม สุดท้ายแล้วอีกฝ่ายยังคงหมางเมินเฉยเมย หญิงสาวตัวน้อยเสียใจผิดหวัง รู้สึกว่าถูกโลกทั้งใบทอดทิ้ง ตอนนี้กำลังซุกหน้าร้องไห้ระบายความในใจอยู่บนหัวเข่าของโจรสาว
จุดเริ่มต้นล้าสมัยยิ่งยวด จุดจบปกติธรรมดายวดยิ่ง
นางถอนหายใจ ใช้ผลไม้เคลือบน้ำตาลเคาะศีรษะของเด็กหญิงคนนั้น กล่าวว่า “เหล่าบุรุษพวกนี้ใจแข็งดั่งเหล็กกล้าเป็นที่สุด ยามพวกเขาตัดสินใจว่าไม่ต้องการเจ้าแล้ว ต่อให้เจ้าร้องไห้จนฟ้าถล่มลงมาก็ไม่มีประโยชน์ รีบลุกขึ้นเถิด เจ้าทำกางเกงข้าเปียกไปหมดแล้ว”
“ฮือๆๆ ฮือๆ เขาชื่นชอบข้า เขาต้องชื่นชอบข้าเป็นแน่…” เด็กหญิงน้อยเกียจคร้านไม่ยอมลุกขึ้น ซ้ำยังเขยิบขึ้นมาถูไถในอ้อมแขนนาง
จิ่งเหิงปัวกุมขมับ นางเสียใจกับการเดินทางด้วยรถม้ารอบนี้แล้ว รถม้าไม่ถูกกับนางจริงๆ ด้วย
“ฮือๆๆ ข้าจะต้องออกเรือนแล้ว ไม่มีโอกาสอีกแล้ว เขายังไม่ยอมเอ่ยวาจาอย่างชัดเจนให้ข้าได้ยินแม้เพียงประโยคเดียว…” น้ำตาของเด็กหญิงน้อยพรั่งพรูประหนึ่งก๊อกน้ำ หลั่งรินชุ่มโชกบนสาบเสื้อนาง เอ่ยว่า “ข้าเอ่ยกระทั่งว่าจะหนีตามเขาไปอย่างหน้าไม่อายแล้ว แต่เขายังทำท่าทางตายด้านเช่นนั้นอยู่อีก…”
“หนีตามบุรุษแม่งสิ แต่ไหนแต่ไรมาสตรีที่หนีตามบุรุษไปมีจุดจบที่ดีสักกี่รายกัน ยามเจ้าร่ำรวยมีเกียรติบุรุษผู้หนึ่งยังไม่กล้าสมรสกับเจ้า หรือว่าพอเจ้าผิดหวังท้อใจขึ้นมาเขาจะหลงรักรูปร่างหน้าตาน่าเวทนาของเจ้า? นี่มันตรรกะใดกัน!” จิ่งเหิงปัวกวัดแกว่งผลไม้เคลือบน้ำตาล เคี้ยวดังกร๊อบอย่างรุนแรงครั้งหนึ่ง
“นี่…” เด็กหญิงน้อยเงยหน้าปานดอกสาลี่ต้องฝนในอ้อมแขนนาง สูดจมูกพลางเอ่ยว่า “กลิ่นหอมใดอยู่บนกายเจ้า หอมเหลือเกิน บอกข้าหน่อยว่าผงหอมชนิดใด ข้ารู้สึกว่ากลิ่นหอมนี้พาให้เกิดอารมณ์หวั่นไหวได้ดียิ่งนัก…”
จิ่งเหิงปัวใช้ฝ่ามือผลักนางออกไปจากเข่าของตนเองทันที
ไม่ใช่ว่าเจอเลสเบี้ยนเข้าแล้วหรอกมั้ง?
“เปล่านะ…” เด็กหญิงน้อยเข้าใจสายตาของนาง เอ่ยอย่างขวยอายว่า “ข้าเคยถามเขาว่าเหตุใดเขาถึงอาลัยอาวรณ์หอคณิกาเหลาสุราเลิศรส เขาเอ่ยว่าชื่นชอบกลิ่นหอมของสตรีโตเต็มวัย กลิ่นหอมเฉกเช่นของเจ้านี้คงจะเป็นกลิ่นหอมของสตรีโตเต็มวัยกระมัง…”
จิ่งเหิงปัวแทบจะฟาดผลไม้เคลือบน้ำตาลในมือลงบนศีรษะนาง
ผู้ชายไร้ค่ายังรักอีก!
ตัวเองมีศักดิ์ศรีบ้างหรือเปล่า!
นางขึ้นรถมาไม่ใช่เพื่อช่วยอีชี ความจริงแล้วคือมองเห็นผู้ชายท่าทางสะดุดตาคนนั้นบนโรงน้ำชา เขาคือเจ้าคนนั้นที่แอบฟังอยู่บนหลังคาศาลบรรพชนและผลักนางลงสู่ศาลบรรพชนเมื่อคืนนี้ ก็แค่อยากจะแวะมาถามสักหน่อยว่าคนคนนั้นคือใคร
ตอนนี้นางไม่เพียงแต่อยากรู้ว่าคนคนนั้นคือใคร ซ้ำยังอยากลากออกมารุมกระทืบสักรอบด้วย
“ชายคนรักของเจ้าคนนั้นมีนามว่าอะไรหรือ” นางยิ้มตาหยีถามเด็กสาว
“เจ้าถามนามเขาด้วยเหตุใด” เด็กหญิงน้อยพลันระมัดระวังขึ้นมา พอเกี่ยวข้องกับบุรุษผู้เป็นที่รัก สติปัญญาก็เพิ่มมากขึ้นในพริบตา
จิ่งเหิงปัวยักไหล่…พวกผู้หญิงที่หลงใหลอยู่ในสายน้ำแห่งความรัก เมื่อพวกเจ้าใช้สติปัญญาเพื่อบุรุษ สติปัญญาของตนเองจะโลว์จนถึงจุดต่ำสุดแล้ว
“ข้าเป็นเถ้าแก่เนี้ยของหอเยี่ยไหลเซียงอย่างไรล่ะ” จิ่งเหิงปัวกะพริบตา กล่าวว่า “ชายคนรักคนนั้นของเจ้าอาจจะเป็นแขกประจำในหอของพวกเราก็ได้ หากเจ้าอยากได้เขาจริง ครั้งหน้าข้าจะช่วยเจ้าจับเขาไว้ ซักล้างอย่างสะอาดสะอ้านแล้วส่งขึ้นเตียงของเจ้าเสียเลย”
“เจ้าเอ่ยวาจาอะไรของเจ้ากัน?” นึกไม่ถึงว่าสาวน้อยนางนั้นพลันขมวดคิ้ว ท่าทางทนฟังไม่ได้ เอ่ยว่า “เยี่ยไหลเซียงคือสิ่งใดกัน? อีฝานเคยไปเพียงสถานที่ซึ่งมีรูปแบบสูงส่งงดงามระดับยอดเยี่ยมของฉงอาน เช่น หอจุ้ยเมิ่ง เรือนอี้เซียน ภายในหอต่างเป็นกุลสตรีตระกูลใหญ่โตที่เพียบพร้อมทั้งรูปโฉมสติปัญญา ท่องกลอนร้องเพลงร่ำสุราแบบนั้น มีแบบนั้นที่เจ้าเอ่ยเสียที่ใด…แบบนั้น…” นางหน้าแดงซ่าน ถลึงตามองจิ่งเหิงปัวอย่างรุนแรงปราดหนึ่ง
แต่จิ่งเหิงปัวไม่ได้ฟังด้วยซ้ำ นางกำลังเหม่อลอย
อีฝาน…อีฝาน…ชื่อนี้คุ้นหูเหลือเกิน เคยได้ยินจากที่ไหนนะ?
รถม้าพลันหยุดลง ข้างนอกมีเสียงฝีเท้า สารถีก้าวเข้าไปข้างหน้า จิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงแหลมคมจากเกราะเหล็กเสียดสีอาวุธที่คุ้นเคย
นางแง้มม่านรถออกเล็กน้อย เพียงแวบหนึ่งมองเห็นประตูใหญ่ตั้งตระหง่านที่ประดับด้วยหมุดทองแดงฝั่งตรงข้าม รวมทั้งกำแพงสีเทาเขียวไร้สิ้นสุดที่ลุกลามเข้ามาในขอบเขตสายตา
รูปแบบที่คุ้นเคยทำให้นิ้วมือนางหยุดชะงัก
จากนั้นนางก็หันหน้ามาจ้องมองสาวน้อยคนนั้น ค่อยๆ กล่าวว่า “เจ้าคงไม่ใช่องค์หญิงเหอหว่านกระมัง?”
…
ฝูงชนบนถนนสายยาวค่อยๆ แยกย้ายแล้ว จื่อหรุ่ยกับยงเสวี่ยมองดูข้างกายที่ว่างเปล่าอย่างไม่สบายใจ มองหน้ากันถอนหายใจอย่างจนปัญญา
การมีเจ้านายที่หายตัวได้เป็นความโศกเศร้าของผู้ติดตามทุกคนโดยแท้
เหยียลี่ว์ฉีกับเทียนชี่เบียดเสียดเข้ามา ทั้งคู่ไร้ซึ่งสีหน้าร้อนใจ
“รถม้านั่นคือรถม้าของราชวงศ์” เทียนชี่เอ่ย
“สาวน้อยนางนั้นคือองค์หญิงเหอหว่าน” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร เหอหว่านไม่มีวรยุทธ์ นิสัยดีด้วย แม้ท่าทางจะเย่อหยิ่งอยู่หลายส่วน แต่แท้จริงแล้วคือสตรีที่มีจิตใจงดงาม เหิงปัวน่าจะไม่เป็นอันใด”
“ข้ากลัวว่าองค์หญิงเหอหว่านจะเดือดร้อน…” เทียนชี่บ่นพึมพำ
ยามนี้เจ้าจิ่งเหิงปัวกระทำการไม่อาจคาดเดาได้ ทุกคนรู้สึกไม่ไว้วางใจ
“เหิงปัวไม่ใช่คนชอบก่อเรื่องมั่วซั่วเช่นกัน” เหยียลี่ว์ฉีกลับมีความมั่นใจ หยุดนิ่งชั่วครู่แล้วเอ่ยวาจาแฝงความนัยลึกล้ำว่า “ต่อให้ในใจนางมีความโกรธแค้น ทว่าผู้ใดก่อกรรมผู้นั้นต้องรับกรรม ข้าเชื่อว่าแต่ไหนแต่ไรมานางควบคุมตนเองไว้ได้”
เทียนชี่เหลือบมองเขา ยิ้มแย้มอย่างไม่เป็นมิตร
ในใจของเหยียลี่ว์ฉีท่วมท้นด้วยรสชาติขมฝาดเล็กน้อย ทว่าบนใบหน้าไร้ความเปลี่ยนแปลง ค่อยๆ เอามือไพล่หลัง เอ่ยว่า “พรุ่งนี้จะเป็นงานเลี้ยงหมั้นหมายขององค์หญิงแล้ว…”