เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 7.2
รถม้าแทบจะไม่ได้ผ่านการซักถามสอบสวนใด ก็แล่นเข้าสู่ประตูวังโดยตรง
มองจากท่วงท่าสีหน้าขององครักษ์ข้างทาง องค์หญิงเหอหว่านมีตำแหน่งในวังสูงส่งเหมือนที่นางคาดคะเนไว้
จิ่งเหิงปัวจำได้ว่าเหยียลี่ว์ฉีเคยเอ่ยไว้ว่าองค์หญิงท่านนี้คือธิดาองค์เดียวของกษัตริย์แคว้นเซียง เล่ากันว่าก่อนนางเกิดมาแคว้นเซียงประสบภัยแล้งครั้งใหญ่ ไร้ฝนมาสามเดือนแล้ว ทั่วทั้งแคว้นใช้ทุกหนทางขอฝนแต่ไม่สำเร็จ ขณะประสบภัยพิบัติเลวร้าย ยามนั้นองค์หญิงก็ลืมตาดูโลก ครู่หนึ่งนั้นที่ร้องอุแว้ออกมา พายุฝนก็ตกร่วงหล่นบนผืนดินแคว้นเซียง
กษัตริย์แคว้นเซียงปีติยินดียิ่งนัก ฝนตกหนักคราวนี้มาทันเวลาเช่นนี้ ทำให้เมล็ดพันธุ์ท้องนาได้เก็บเกี่ยว ช่วยเหลือชีวิตผู้คนไว้นับไม่ถ้วน ยามนั้นจึงขอพระราชทานยศจากตี้เกอให้องค์หญิง ฉะนั้นตามกฎเกณฑ์แล้ว บุตรสาวของกษัตริย์แห่งหกแคว้นจะเรียกว่าธิดากษัตริย์ ทว่านางนี้ได้ยศเป็นองค์หญิง
สตรีที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ในวังหลวง ได้รับการปกป้องอยู่ตลอดเวลา ซื่อตรงไร้เดียงสาไม่รู้เรื่องราวทางโลก พอมีความรักจึงนึกว่าสะเทือนเลือนลั่น เป็นทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้
คบค้าสมาคมกับเด็กหญิงน้อยที่ไร้ซึ่งประสบการณ์ชีวิตแบบนี้ จิ่งเหิงปัวก็รู้สึกว่าตนเองใช้สมองแค่ครึ่งเดียวก็เพียงพอที่จะรับมือแล้ว
รถม้ายังไม่ทันได้หยุดลงตรงตำหนักหมิงสี่ขององค์หญิง จิ่งเหิงปัวก็ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจนจบแล้ว
กล่าวอย่างเรียบง่ายคือความรักสามเส้าน้ำเน่า
โอ้ซ้ำยังมีส่วนประกอบทางศีลธรรมบางส่วน
องค์หญิงวัยเยาว์รู้จักกับผู้อ่อนวัยหล่อเหลาในงานเลี้ยงครั้งหนึ่ง ความรักสลักฝังลึก สุดท้ายได้รู้ว่าเขาคือน้าชายของตนเอง
นายน้อยเจ็ดจี้อีฝานผู้เป็นบุตรชายของภรรยาเอกแห่งตระกูลจี้ คือน้องชายคนสุดท้องของราชินีจี้ องค์หญิงเหอหว่านเกิดจากพระชายาฮุ่ย หากกล่าวตามสายเลือด นางไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับน้าชายปลอมๆ คนนี้ ทว่าหากกล่าวตามจริยธรรมแล้ว นางก็อ่อนวัยกว่าเขารุ่นหนึ่งโดยแท้
จี้อีฝานย่อมไม่กล้าท้าทายจริยธรรมของสังคมศักดินา ด้วยเหตุนี้จึงหลบหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า กระทั่งหลงระเริงกลางหมู่สตรี สำมะเลเทเมาผ่านวันเวลา ยอมได้รับฉายาจอมเสเพลแห่งนครหลวง เพื่อให้เหอหว่านเสียใจจนยอมหลีกถอย แสวงหาคู่ครองอื่น
คู่ครองปรากฏตัวขึ้นในที่สุด กษัตริย์แคว้นเซียงเลือกยงซีเจิ้งผู้เฉลียวฉลาดอนาตตไกลเช่นเดียวกันกับเหอหว่าน เขามาจากตระกูลใหญ่โต ความสามารถโดดเด่น ชื่อเสียงงดงามเลื่องลือทั่วฉงอาน
เหอหว่านย่อมไม่ยอมอย่างแน่นอน นางหลบหนีออกจากพระราชวังก่อนคืนงานเลี้ยงหมั้นหมาย นัดพบกับจี้อีฝานโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดทั้งสิ้น เอ่ยกระทั่งว่าจะหนีตามกันไป เพียงแต่จี้อีฝานไม่ยินยอม จิ่งเหิงปัวมองเห็นสองคนถกเถียงกันที่โรงน้ำชา ช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาที่เหอหว่านเสียใจผิดหวังเป็นที่สุดพอดี
ด้วยความสิ้นหวังนางจึงกระทำการต่อรองราคาแย่งผู้ชายข้างถนน และไม่รู้ว่าอยากกระตุ้นจี้อีฝานหรือกระตุ้นตนเอง
เหอหว่านร้องไห้ไปพลางเอ่ยวาจาไปพลาง ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำมูกน้ำตาไปตะกร้าหนึ่ง ตนเองสะเทือนใจตนเอง ร้องไห้จนฟ้าหม่นแผ่นดินหมอง
จิ่งเหิงปัวนอนหาวอยู่บนเก้าอี้เอนนอน กินของว่างบนโต๊ะหนึ่งจนหมดเกลี้ยง
แต่ว่าสมองไม่ได้หยุดแล่น กินไปด้วยคิดไปด้วย เมื่อจานชามสะอาดเกลี้ยง แผนการเบื้องต้นแผนการหนึ่งก็เป็นรูปเป็นร่างแล้ว
เฟยหลัวอยากสังหารยงซีเจิ้ง แล้วโยนความผิดให้จี้อีฝาน
เหอหว่านไม่อยากแต่งงานกับยงซีเจิ้ง ทว่าอยากแต่งงานกับจี้อีฝาน
ตนเองอยากจัดการเฟยหลัว อยากได้ผลประโยชน์จากเรื่องนี้ ส่วนใครจะโยนความผิดหรือใครจะแต่งงานกับใคร นางอย่างไรก็ได้ มองเพียงว่าได้รับประโยชน์มากน้อยแค่ไหน
ประเด็นสำคัญของปัญหาอยู่ที่เหอหว่าน รวมทั้งงานเลี้ยงในวังครั้งนี้ หลังจากงานเลี้ยง พิธีสมรสจะถูกป่าวประกาศต่อทั่วโลกหล้ากลายเป็นเรื่องราวแน่ชัด ไม่มีทางกอบกู้พลิกสถานการณ์ได้อีก
หากกล่าวตามตำแหน่งแล้ว การแต่งงานของเหอหว่านกับยงซีเจิ้ง ยงซีเจิ้งได้รับตำแหน่งมหาเสนาบดี เรื่องนี้นับเป็นการโจมตีเฟยหลัว ขอแค่ส่งเสริมให้ลุล่วงด้วยดีก็พอแล้ว
เพียงแต่…จิ่งเหิงปัวชำเลืองตามองเหอหว่านแวบหนึ่ง เด็กหญิงคนนี้ไม่ร้องไห้แล้ว บนใบหน้าผุดเผยสีหน้าเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ดวงเนตรคลอน้ำตากลอกไปมาอย่างรวดเร็วยิ่งนัก พอมองแล้วรู้เลยว่าคงกำลังวางแผนการไร้คุณธรรมอะไรสักอย่างอยู่
จิ่งเหิงปัวรู้ว่าเด็กหญิงคนนี้ไม่ได้โง่เขลา ตอนนางหมอบอยู่บนเข่าของตนเองก่อนหน้านี้ ในแขนเสื้อซุกซ่อนมีดติดกายเอาไว้ด้วย
แน่นอนว่าในแขนเสื้อของตนเองก็มีมีดเช่นเดียวกัน วางอยู่หลังลำคอนางพอดี นางลงมือไม่แน่ว่าจะแทงตนเองให้ตายได้ แต่ตนเองลงมือก็จะสะบั้นคอสาวงามในมีดเดียวได้อย่างแน่นอน
จิ่งเหิงปัวดีดนิ้วมือ รู้สึกว่าหากไม่ตามติดเด็กหญิงคนนี้ก่อนงานเลี้ยงเริ่มต้น นางไม่วางใจ
“เคราะห์กรรมของเจ้าทำให้ข้าเห็นใจยิ่งนัก” นางถอนหายใจ กำปั้นทุบลงบนฝ่ามือ กล่าวว่า “ไม่มีสิ่งใดต้องเอ่ย ข้าจะเบิกตามองดูความรักงดงามที่แสนโศกเศร้าเลิศล้ำโลกหล้าสะท้านฟ้าดินสะเทือนภูตพรายเช่นนี้ให้สูญสลายต่อหน้าต่อตาได้อย่างไร? ข้าจะช่วยเจ้าอย่างแน่นอน!”
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะต้องเป็นสตรีผู้มีคุณธรรมน้ำมิตร! จะต้องช่วยข้าผดุงไว้ซึ่งความยุติธรรมเป็นแน่!” เหอหว่านกอดแขนของนางไว้อย่างดีอกดีใจ เอ่ยขึ้นว่า “ข้าลักพาตัวคู่หมั้นของเจ้าคนนั้นเข้ามาในวังแล้ว ประเดี๋ยวข้าจะปล่อยเขาออกไป”
“ไม่เป็นไร ขังไว้เถิด!” จิ่งเหิงปัวโบกมืออย่างไม่สนใจไยดี กล่าวว่า “ขังไว้ให้นานหน่อย! สบายใจดี!”
…
ภายในห้องลับมืดมิด อีชีนอนไขว่ห้างอยู่บนเตียง ตะโกนอย่างลำพองใจว่า “พวกเจ้าขังข้าไปเถิด ประเดี๋ยวว่าที่ภรรยาของข้าจะขี่เมฆสีรุ้งมาช่วยข้าแล้ว…”
…
‘ว่าที่ภรรยา’ กำลังนอนอยู่ในผ้าห่มปักลายเมฆสีรุ้ง เสพสุขไอร้อนจากกระถางไฟ กินของว่างไปพลางคุยเล่นกับสหายสนิทที่เพิ่งรู้จักกันไปพลาง
ด้วยความเจ้าเล่ห์และคารมของนาง การกลายเป็นสหายสนิทกับเด็กหญิงน้อยจึงเป็นเรื่องเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียว แค่จิ่งเหิงปัวช่วยนางตัดเล็มทรงคิ้วใหม่เพียงครั้ง เด็กหญิงน้อยก็คิดว่านางได้ผูกสัมพันธ์ความเป็นความตายกันแล้ว
เหอหว่านสวมชุดนอนสีขาวราวหิมะทั้งร่าง มุดอยู่ในผ้าห่ม แขนขาวราวหิมะข้างหนึ่งโผล่ออกมา คุยเล่นกับจิ่งเหิงปัวโดยไร้ซึ่งอาการง่วงนอน
เดิมทีจิ่งเหิงปัวไม่เคยชินกับการนอนเตียงเดียวกันกับคนอื่น แต่เด็กหญิงคนนี้ก็ลากไว้ไม่ยอมปล่อย จิ่งเหิงปัวกังวลด้วยว่าตนเองอยู่ในพระราชวังแคว้นเซียงคนเดียวจะไม่ปลอดภัยจึงได้แต่ตอบรับ นางเคยยิ้มแย้มพลางถามเหอหว่านว่า “เหตุใดเพียงพบหน้าก็เชื่อถือข้าขนาดนี้ ไม่กลัวว่าข้าจะลุกขึ้นมาสังหารเจ้ายามราตรีหรือ” แต่เด็กหญิงคนนั้นตอบอย่างลำพองใจว่า “ยามเด็กข้าเคยพบเจอผู้วิเศษท่านหนึ่ง เขาเอ่ยว่าก่อนอายุสิบหกปี ดวงชะตาข้าจะมีคนต่ำทรามสร้างความหายนะ จึงมอบไข่มุกป้องกันตัวให้ข้าเส้นหนึ่ง ไข่มุกนั้นมีสิ่งมหัศจรรย์ หากพบเจอผู้อื่นที่มีเจตนาร้ายความคิดสังหารจะปรากฏสีแปลกประหลาด หากพบเจอผู้มีฐานะสูงส่งในดวงชะตาจะเปล่งแสงรุ่งโรจน์โชติช่วง ก่อนหน้านี้ยามข้าพบเจอเจ้า ไข่มุกไม่ได้ปรากฏสีแปลกประหลาด” นางเอ่ยพลางคว้าไข่มุกร้อยเชือกไหมบนลำคอออกมาให้จิ่งเหิงปัวดู พลันร้อง “เอ๊ะ” ออกมา แล้วเอ่ยอย่างตื่นตะลึงว่า “เหตุใดจึงเปลี่ยนสีแล้ว?”
จิ่งเหิงปัวชะงักเช่นกัน ในใจคิดว่าตนเองไม่ได้มีความคิดสังหาร แล้วทำไมถึงเกิดเปลี่ยนสีขึ้นมา? หรือว่าแผนการเพียงเล็กน้อยก็จะนับเป็นเจตนาร้ายด้วย?
พอมองอีกครั้งดวงตาก็เกือบถูกเสียดแทงจนมืดบอด…ไข่มุกนั้นเปล่งประกายระยิบระยับ แสงรุ่งโรจน์แพรวพราว ประหนึ่งไข่มุกราตรี
จิ่งเหิงปัวรีบร้อนปิดตาไว้ ร้องว่า “นี่ๆ ข้ารู้ว่าไข่มุกนี้ของเจ้ายอดเยี่ยม แต่อย่าทำให้ข้าตาบอดได้หรือไม่?”
เหอหว่านเอ่ยอย่างมึนงงว่า “อา ไข่มุกเปล่งแสงสีขาว ผู้มีฐานะสูงส่งอยู่ใกล้เคียง…ผ่านมาหลายปี ข้ามองเห็นไข่มุกเปล่งแสงเช่นนี้ออกมาเป็นครั้งแรก…” นางหันหน้ามองจิ่งเหิงปัวอย่างไม่เชื่อสายตา เอ่ยว่า “ผู้มีฐานะสูงส่งของข้า…เป็นเจ้าหรือ?”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน!” จิ่งเหิงปัวหลุดหัวเราะ กล่าวออกมาว่า “ข้าเป็นเพียงสาวชาวบ้านธรรมดา ทว่าเจ้าเป็นถึงองค์หญิง แล้วข้าจะเป็นผู้มีฐานะสูงส่งของเจ้าได้อย่างไร? ฐานะเช่นเจ้านี้ยังมีผู้ใดเรียกว่าเป็นผู้มีฐานะสูงส่งของเจ้าได้อีก?”
“จริงด้วยสินะ” เหอหว่านเก็บไข่มุกแล้วมุดกลับเข้าไปในผ้าห่ม เงียบกริบนิ่งงันอยู่สักพักพลันเอ่ยว่า “แท้จริงแล้ว บนโลกนี้มีผู้ทรงเกียรติมากกว่าข้าเยอะแยะไป ทว่าข้าเห็นพวกผู้ทรงเกียรติเหล่านั้น ส่วนใหญ่อ้วนท้วนสมบูรณ์ ไม่ยอมทำการทำงาน ครอบครองตำแหน่งใหญ่โตเพียงเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง สูงส่งเพียงแต่ฐานะ ทว่าไม่มีคุณธรรม”
จิ่งเหิงปัวประหลาดใจเป็นอย่างมากที่เด็กหญิงคนนี้เอ่ยวาจาดังกล่าวออกมาได้ด้วย จึงยิ้มแย้มเอื้อมมือลูบผมของนาง
“ทว่าท่ามกลางผู้ทรงเกียรติภูมิยังมีคนที่ข้าเคารพนับถือ…” เหอหว่านเริ่มง่วงแล้ว เสียงค่อยๆ แผ่วเบาเอ่ยขึ้นว่า “เช่น องค์ราชินีที่ข้านับถือยิ่งนัก…”
มือของจิ่งเหิงปัวที่ลูบคลำผมนางอยู่หยุดชะงัก
ครู่ต่อมานางได้ยินตนเองหัวเราะ กล่าวว่า “ราชินีหมิงเฉิงหรือ?”
พอพูดชื่อนี้ออกมา จิตใจก็คล้ายสงบเงียบอย่างมากเช่นกัน
“ย่อมไม่ใช่อยู่แล้ว นางนับเป็นผู้ใดกัน?” เหอหว่านตาสว่างขึ้นมาโดยพลัน เอ่ยอย่างรุนแรงว่า “เอ่ยกันตามตรงหากมิใช่ด้วยเพราะยามแรกนางก่อเรื่องราวครั้งนั้น อีกทั้งช่วงนี้ยังก่อเรื่องราวขึ้นมาอีกครั้ง ข้าก็จำรัชศกของนางไม่ได้ด้วยซ้ำ” นางเบะปาก เอ่ยสืบต่อว่า “เรื่องอื่นทำไม่ได้ ทว่าเล่นเล่ห์เพทุบายลับหลังอะไรเช่นนั้น นางเชี่ยวชาญนัก”
“เช่นนั้นองค์ราชินีที่เจ้าเคารพนับถือ…” จิ่งเหิงปัวกล่าวอย่างไร้กังวลว่า “คงไม่ใช่ราชินีดวงซวยนางนั้นที่ถูกเนรเทศเมื่อไม่นานมานี้กระมัง”
“อย่าเอ่ยว่านางดวงซวย!” ท่าทีโต้ตอบของเหอหว่านรุนแรงยิ่งกว่าเมื่อครู่ นางลุกขึ้นมานั่งในฉับพลัน ถลึงตามองนางแล้วเอ่ยว่า “นางเพียงแต่ขาดแคลนโอกาส! นางจะต้องกลับมามีอำนาจอีกครั้ง!”
จิ่งเหิงปัวกระหวัดมุมปาก มองใบหน้าฮึกเหิมแดงซ่านของสาวน้อยอายุสิบหกปีนางนี้อย่างเงียบเชียบ นางเหมือนติ่งดาราที่โลกนั้นเหลือเกิน ปกป้องเกียรติศักดิ์ศรีไอดอลของตนเองอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ แต่ว่านางเองเป็นไอดอลนี้ไหวหรือ?
“เหตุใดเจ้าถึงนับถือนาง? นางเป็นเพียงผู้พ่ายแพ้” นางเกาใบหน้า อ้าปากหาว แล้วกล่าวต่อไปว่า “เหตุใดเจ้าจึงรู้สึกว่านางจะกลับมามีอำนาจอีกครั้งได้? นางตกอับระเหเร่ร่อน สิ้นไร้ทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ชาตินี้แม้แต่ตี้เกอยังกลับไปไม่ได้เลย”
“ข้านับถือนางมาเนิ่นนานแล้ว ตั้งแต่ได้ยินการแสดงความสามารถของนางในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จ” เหอหว่านเอ่ยอย่างใฝ่หาว่า “แคว้นเซียงอยู่ใกล้ตี้เกอที่สุด รายละเอียดในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จแว่วมาถึงที่นี่อย่างรวดเร็วยิ่งนัก ยามนั้นคนทั้งพระราชวังต่างเลื่อมใสศรัทธานาง สตรีนางหนึ่งซึ่งถูกต้อนรับกลับมาจากต้าเยียน สตรีที่ไร้เส้นสาย ไร้ผู้สนับสนุน นางทำลายประวัติศาสตร์ผ่านพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จด้วยตนเองเพียงผู้เดียวได้ ซ้ำยังทำให้ตาแก่ปัญญาชนคร่ำครึฝูงนั้นโกรธแค้นจนสลบไสลได้ ปลุกเร้าใจคนให้ฮึกเหิมได้โดยแท้!” นางยิ้มแย้มหน้าบานพลางเอ่ยว่า “เจ้ารู้หรือไม่ ขุนนางกองพิธีการแห่งตี้เกอฝูงนั้น หกแคว้นแปดชนเผ่าต่างเกลียดพวกเขาทั้งนั้น ยามนั้นข้าไปเข้าเยี่ยมคำนับราชินีที่ตี้เกอเป็นครั้งแรก เพียงเพื่อท่วงท่าพิธีโค้งคำนับครั้งเดียว ข้าก็ถูกพวกเขาแก้ไขอยู่สามวันเต็ม! แทบจะทรมานจนข้าเป็นโรคปวดหลัง! ส่วนเดิมทีพิธีนั้นละเว้นได้ ทว่าแน่นอน…” นางหัวเราะเยาะเสียงหนึ่ง เอ่ยสืบต่อว่า “ราชินีหมิงเฉิงไม่ยอมละเว้น เกียรติยศชั่วชีวิตนี้ของนางขึ้นอยู่กับพิธีการเหล่านี้ นางจะยอมปล่อยโอกาสโอ้อวดแสนยานุภาพเบื้องหน้าพวกเราไปได้อย่างไร?”
“เพียงแค่นั้นเองหรือ?” จิ่งเหิงปัวพลิกตัวอย่างเกียจคร้าน มองพระจันทร์ข้างนอกที่สว่างไสวยิ่งนัก
“แน่นอนว่าไม่เพียงแค่นั้น เรื่องนี้เพียงแต่ทำให้พวกเราต้องมองนางใหม่อีกครั้ง” เหอหว่านเอ่ยด้วยท่าทีสนใจไม่เบาว่า “ภายหลังหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้พังทลายภายในคืนเดียว ราชินีสะบัดมือทำลายอาวุธวิเศษ ตระกูลใหญ่โตร้อยปีล่มสลายเพียงดีดนิ้ว รวบรวมอสนีบาตหยอกล้อขุนนางผู้มีอำนาจ เรื่องราวเหล่านี้พอจะเรียบเรียงเป็นบทละครพื้นเมืองน่าสนุกสนานเลยล่ะ เรื่องสำคัญที่สุดคือเบื้องหลังเรื่องราวแลคล้ายลึกลับยิ่งนักเหล่านี้คือความพยายามที่ราชินีกระทำเพื่อจะได้รับเกียรติศักดิ์และตำแหน่ง หลายยุคหลายสมัย ราชินีที่ผ่านพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จได้ด้วยตนเองแทบจะไม่มีเลย ซ้ำยังกล้าท้าทายกฎเกณฑ์หลายร้อยหลายพันปี ช่วงชิงอำนาจในการอภิปรายสถานการณ์ในราชสำนักตั้งแต่ไม่ได้ขึ้นครองราชย์ นางกระทำเป็นคนแรก!”
“แล้วอย่างไรเล่า?” จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮ่าๆ กล่าวต่อไปว่า “เปิดเผยความทะเยอทะยานเร็วเกินไปหน่อย ฉะนั้นจึงได้พ่ายแพ้”
“เอ่ยเช่นนั้นไม่ได้หรอก ผู้ที่เข้าใจเรื่องราวหลายคนในแคว้นเห็นว่าราชินีปกป้องตนเองไม่ให้สิ้นชีพภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ได้อาจจะไม่นับว่าพ่ายแพ้ หัวใจของราษฎรทั่วโลกหล้าอยู่กับนาง” เหอหว่านไม่คิดเช่นนั้น เอ่ยสืบต่อว่า “รู้หรือไม่ว่าข้านับถือนางเรื่องใดมากที่สุด? ล้มล้างตระกูลซังเอย ฟังการเมืองได้เอย เอ่ยจนสิ้นแล้วต่างเป็นเรื่องของนางเอง ทว่าเรื่องรถม้าเพลิงที่ตรอกหลิวหลีนั้น นางอุทิศชีวิตช่วยเหลือราษฎร กล้าเลือกให้รถม้าชนเฉิงเย่าจู่ปกป้องราษฎรท่ามกลางความอันตรายทุกข์ยาก จิตใจที่ไม่เกรงกลัวอำนาจและอิทธิพลเพียงให้ความสำคัญกับราษฎรส่วนนี้ ทั่วทั้งโลกใบนี้จะมีสักกี่คนที่ทำได้?”
จิ่งเหิงปัวหัวเราะ…ตอนนั้นนางไม่ได้คิดให้มากมายขนาดนั้น ในฐานะที่เป็นคนสมัยใหม่คนหนึ่ง ย่อมปฏิบัติต่อทุกชีวิตอย่างเท่าเทียมกัน การเลือกหนทางที่อันตรายน้อยที่สุดเพื่อป้องกันอันตรายยามเร่งด่วนคือการเลือกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ของคนสมัยใหม่ ถ้าตอนนั้นรู้ว่าต่อมาจะช่วยเฉิงเย่าจู่เอาไว้ไม่ได้ และต่อมาจะเกิดผลลัพธ์ที่ร้ายแรงขนาดนั้น นางจะยังคงช่วยคนต่อไปหรือไม่? ถามใจตัวเองดูแล้ว นางก็ไม่รู้เหมือนกัน
“เกลียดนักพวกเสด็จพ่อข้า พวกเขายังคิดว่าการที่ราชินีช่วยราษฎรที่ตรอกหลิวหลีเช่นนั้นเป็นการกระทำที่โง่เขลา ราษฎรสิ้นชีพไปเพียงไม่กี่คนเอง ซ้ำยังไม่ใช่ความรับผิดชอบของนาง ล่วงเกินทหารคั่งหลงด้วยเพราะเหตุนี้ ทำให้ไร้หนทางยืนหยัดในตี้เกอ ไม่คุ้มค่ายิ่งนักโดยแท้” เหอหว่านยิ่งเอ่ยยิ่งโมโห ร้องว่า “นักการเมืองทั้งฝูง! ทรราช! ล้าหลังคร่ำครึ!”
จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮ่าๆ ลูบนางเหมือนลูบหมาน้อย กล่าวว่า “นอนเถิด”
เหอหว่านนอนลงอย่างโมโหเหลือเกิน พลิกไปพลิกมาในผ้าห่ม พึมพำว่า “ไม่ว่าอย่างไร นางเป็นคนอย่างไร ข้ารู้ ตัวนางเองรู้ ราษฎรทั่วทั้งโลกหล้ารู้ ภายภาคหน้า…” นางพลิกร่างลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง กำหมัดแน่น เอ่ยว่า “ข้าต้องเป็นคนเช่นนางให้ได้”
“ระวังจะสิ้นชีพที่ใดก็ไม่รู้” จิ่งเหิงปัวอ้าปากหาว ลากนางกลับสู่ผ้าห่มในครั้งเดียว กล่าวว่า “พอแล้ว อย่าได้วางแผนการปณิธานอันยิ่งใหญ่เลย ปณิธานอันยิ่งใหญ่เปรียบเสมือนริดสีดวงทวาร ใช้เรี่ยวแรงแย่งชิงมากเกินไปจะเลือดออกได้…อืม เจ้ายังนับถือผู้ใดอีก”
นางแค่อยากเปลี่ยนหัวข้อสนทนา แต่ได้ยินเด็กหญิงคนนั้นพลันเอ่ยด้วยเสียงเพ้อฝันว่า “ราชครู”