เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 9.3
จิ่งเหิงปัวทันได้แค่คว้าดินเหลืองกำมือหนึ่งมาทาลงบนใบหน้า มือข้างหนึ่งทำสัญญาณมือโบกไปมาว่าอย่าเอะอะให้ข้างหลังมั่วซั่ว จากนั้นก็เกิดเสียงดังพลั่ก นางข้ามผ่านรอยแยกของฝูงชนอย่างไม่ทราบสาเหตุแล้วชนเข้ากับรถม้าของกงอิ้น
ขณะที่พุ่งออกไปนางก็อยู่ในท่าทางเหยียดไปข้างหน้า หนามลับของแหวนบนมือเด้งออกมาแล้ว หนามลับแหลมคมอย่างยิ่ง ม่านหน้าต่างไหมทองของรถม้ากงอิ้นถูกกรีดขาดดังแคว่ก! แขนบ้าบอข้างหนึ่งของนางทะลุเข้าไปตรงแน่วแบบนั้น
จิ่งเหิงปัวรู้สึกได้กระทั่งว่าหลังมือของตนเองเกือบจะชนเข้ากับลำคอของกงอิ้นแล้ว
นางรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง
ยามนี้รอบด้านพลันเงียบสงบ ทุกคนต่างแข็งทื่ออยู่ที่เดิม
มองดูนางชนเข้ากับรถม้า ทะลวงม่านหน้าต่างแข็งแกร่งอย่างอธิบายสาเหตุไม่ได้ จากนั้นก๋ติดอยู่กลางช่องโหว่นั้น
ส่วนคนในรถม้ายังคงไม่มีการเคลื่อนไหว
…
กงอิ้นนั่งตัวตรงไม่ขยับเขยื้อน
จ้องมองแขนที่อยู่เบื้องหน้า
แขนเรียวบางตรงแน่ว กระดูกข้อมือทรวดทรงงดงาม แม้ว่าบนมือจะเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ทว่านิ้วมือนั้นก็ดูเรียวยาวงดงามประณีต
แววตาเขาเฉียดผ่านบนนิ้วมือนั้น เล็บสะอาดยิ่งยวด ไม่ได้ไว้เล็บยาว ตัดเล็มอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยยวดยิ่ง
สิ่งที่สะดุดตาเพียงหนึ่งเดียวบนมือน่าจะเป็นแหวนพลอยตาแมวสีทองแดงวงนั้น หนามลับหดกลับไปโดยอัตโนมัติแล้ว พลอยไพฑูรย์ส่องแสงรุ่งโรจน์วูบไหวคล้ายตาแมวเจ้าเล่ห์ของจริงดวงหนึ่ง
แววตาเขาทอดลงบนแหวนวงนั้นอย่างเนิ่นนาน คล้ายสูดหายใจดังเฮือก
ลำแสงมัวสลัวภายในรถม้าไม่อาจสาดส่องนัยน์ตาดั่งน้ำนิ่งไหลลึกของเขาให้สว่างไสวได้
แขนนั้นพลันขยับเขยื้อนคล้ายหวังจะชักกลับไป
เขาก็พลันขยับเขยื้อนในที่สุด ยกมือขึ้นหนีบปลายนิ้วของนางไว้
…
หลังจากแข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่ง จิ่งเหิงปัวจะชักแขนกลับมาโดยสำนึก…ถ้ากงอิ้นเกิดบ้าขึ้นมาแล้วตัดมือข้างนี้ของนางทิ้งจะทำอย่างไรเล่า?
แต่พอจะขยับก็รู้สึกตัวว่าขยับไม่ได้ มือถูกกงอิ้นคว้าเอาไว้แล้ว
พริบตาเดียวนั้น ในใจของนางมีความคิดเลือนรางเฉียดผ่าน…กงอิ้นรังเกียจการแตะต้องแขนขากับคนแปลกหน้าเป็นที่สุดไม่ใช่หรือ? แล้วเหตุใดพอมีมือข้างหนึ่งยื่นเข้ามาอย่างมั่วซั่วยังคิดจะลูบคลำอีกเล่า?
นางก้มหน้าลง รถม้าขาวราวหิมะพอจะสะท้อนเงาของตนเองตอนนี้ได้ แต่งหน้าอยู่แล้ว ซ้ำยังเปรอะเปื้อนดินเหลืองทั่วใบหน้า กงอิ้นมองผ่านม่านหน้าต่างมา ถ้าเขาจำนางได้สิถึงจะประหลาด
พริบตาหนึ่งนี้สมาธิทั้งหมดอยู่ตรงปลายนิ้ว นางรู้สึกได้กระทั่งลมหายใจเย็นใสบริสุทธิ์ของเขาที่กำลังพัดผ่านบนนิ้วมือของตนเองอย่างแผ่วเบา
ภายในรถม้ามีเสียงแว่วออกมาจนได้ ทั้งเย็นยะเยือกทั้งเฉยชา เจือด้วยความหนาวสะท้านแผ่วเบา
“องครักษ์ พานาง…”
ในใจของจิ่งเหิงปัวเกร็งแน่น…เป็นเสียงของกงอิ้นจริงด้วย!
ไม่ทันได้คิดให้มากมาย กำปั้นที่ถูกคว้าเอาไว้ของนางก็พลันคลายออก แมลงปอหยกสีแดงในฝ่ามือร่วงหล่น
นางตะโกนลั่นด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ข้าถูกใส่ร้าย!”
…
ถนนยาวสับสนวุ่นวายพลันเงียบสงัด
เหล่าองครักษ์ที่กำลังจะลงมือหยุดมือโดยพลัน
เหยียลี่ว์ฉีกับเทียนชี่ที่กำลังขวางอีชีไว้ ไม่ให้เขาตะโกนกลางฝูงชนต่างปากอ้าตาค้าง
เหอหว่านที่พยายามปีนออกมาจากข้างล่างรถม้าที่พลิกคว่ำเงยหน้าขึ้นอย่างดีใจ
ราษฎรทั่วทั้งฉงอานพากันงงงัน
นี่มันเรื่องใดกัน?
ขวางเกี้ยวร้องขอความเป็นธรรมหรือ? ทว่าราชครูไม่ยุ่งเกี่ยวการเมืองภายในหกแคว้น ขวางเกี้ยวของราชครูในสถานการณ์เช่นนี้ก็ผิดเป้าหมายไปหรือไม่?
จิ่งเหิงปัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้นเช่นกัน
นางโพล่งปากตะโกนออกมาทั้งนั้น บทสนทนานี้หลุดออกมาน่าจะเพราะดูละครย้อนยุคน้ำเน่าในโลกปัจจุบันมากไปหน่อย
ทว่าพอตะโกนออกมาแล้ว ความรู้สึกกลัดกลุ้มในใจของนางคล้ายพุ่งพรวดพรั่งพรูออกมากะทันหันด้วยเช่นกัน
ข้าถูกใส่ร้าย!
บนโลกนี้ยังมีใครเหมาะสมที่จะตะโกนประโยคนี้มากยิ่งกว่านาง?
โลหิตร้อนหลั่งรินหิมะเย็น เพลิงธารเร้นสูญสิ้นชั่วนิรันดร์ น้ำใจไมตรีที่ทุ่มเทมอบให้สุดกำลังเหล่านั้น หัวจิตหัวใจที่ทุ่มเทหลั่งรินทั่วทั้งโลกสุดกำลังเหล่านั้น ร่วงหล่นลงกลางน้ำแข็ง กลางหิมะ กลางแม่น้ำ กลางสายลมที่โหดเ**้ยมและรุนแรงเป็นที่สุด
สะบั้นแหลกเหลวในพริบตา ยากจะฟื้นคืนสู่สภาพเดิมตลอดกาล
ข้าถูกใส่ร้าย!
บนโลกใบนี้นางไม่ควรตะโกนประโยคนี้ขึ้นในตอนนี้เป็นที่สุด!
นางตะโกนต่อหน้าทุกคนได้ แต่แค่ไม่ควรตะโกนต่อหน้าคนคนนี้!
รู้สึกได้ว่าพอตะโกนประโยคนั้นออกมาแล้ว บนมือพลันผ่อนคลาย นางชักมือกลับเตรียมที่จะหายตัวทันที
แต่อาการเหน็บชาลุกลามมาจากแขนอย่างกะทันหัน เรือนร่างของนางอ่อนยวบ พิงอยู่บนตัวรถม้า
ท่วงท่านั้นดูท่าทางคล้ายนางพลันตื่นตะลึงในความงดงามของราชครู หวังหมอบบนหน้าต่างรถเชยชมอีกสักหน่อย…
“ช้าก่อน” เสียงของกงอิ้นแว่วมาอีกครั้ง
แขนของเหล่าองครักษ์ที่กำลังจะคว้านางไว้หดกลับไปโดยพลัน
หลังจากความเงียบสงบเล็กน้อย รถม้าวางแท่นเหยียบลง เหล่าราษฎรฮือฮาออกมาเสียงหนึ่ง ทุกคนรู้ว่าราชครูจะออกมาแล้ว
สตรีนางนี้ถูกใส่ร้ายใหญ่โตอะไรจริงหรือ? ร้องเสียงหนึ่งราชครูก็ตอบรับแล้ว?
นี่คือจะสอบสวนคดีความข้างถนนหรือ?
สาวน้อยนับมิถ้วนตื่นเต้นดีใจ ซ้ำยังเสียใจว่าเหตุใดเมื่อครู่ตนเองถึงนึกวิธีการสัมผัสราชครูอย่างใกล้ชิดวิธีนี้ไม่ออก? ดูนางสารเลวนั่นสิ ยามนี้ยังหมอบอยู่บนรถม้าของราชครูไม่ยอมลงมาเลย!
ประตูรถค่อยๆ เปิดออก ยามกงอิ้นก้าวออกมา ทุกคนพลันหายใจลำบาก รู้สึกเพียงว่าเงาหิมะตรงหน้าผ่องอำไพ ผืนดินผืนฟ้าเยือกเย็น
แสงอาทิตย์เที่ยงตรงร้อนแรงอยู่แล้ว ทว่ายามนี้ผู้คนคล้ายรู้สึกว่าท้องฟ้ามืดสลัวลงไปสามส่วน
ทุกผู้คนกลั้นหายใจโดยสำนึก กลัวว่าลมหายใจของตนเองจะรบกวนผู้เป็นดั่งเทวดาตกสวรรค์ผู้นั้น ซ้ำยังกลัวว่าพระอาทิตย์ร้อนแรงดวงนั้นจะละลายมนุษย์เคลือบหิมะน้ำแข็งผู้นี้จนสูญสลาย
เขาคือหิมะหอบหนึ่ง แพรวพราวเพียงที่ซึ่งสงบเงียบอ้างว้าง
พอเงาร่างของเขาปรากฏขึ้น จิ่งเหิงปัวก็ออกแรงหันหน้าไปทันที
กลัวว่าครู่หนึ่งนี้จะผุดเผยความรู้สึกกลางแววตาออกมามากเกินไป
หวังให้ใจดุจน้ำนิ่ง หวังให้เย็นชาแข็งแกร่ง หวังให้มั่นคงดั่งภูผา สร้างเกราะป้องกันในใจมากมายเพียงนี้ ทุกครั้งพอมองเห็นเงาร่างอาภรณ์ขาวเงานั้นยังคงคล้ายถูกต่อยด้วยกำปั้นอย่างเงียบเชียบ บนศีรษะปกคลุมด้วยความเย็นเยือกคล้ายหิมะหนาวเหน็บสะท้านกระดูกคืนนั้นยังโปรยปราย
แต่เดิมนึกว่าจะไม่ได้พบกันอีกแล้ว เมื่อพบกันอีกครั้งในอีกหลายปีต่อมาคงต้องเป็นศัตรูกันบนสนามรบ ไม่เคยคิดว่าจะได้เผชิญหน้ากันข้างถนนรวดเร็วขนาดนี้ นางไม่รู้ว่าจะจัดการตนเองอย่างไรไปชั่วขณะ
เส้นทางที่เต็มไปด้วยผู้คนเงียบงันไร้สรรพเสียง
ในแววตาของกงอิ้นไม่มีฝูงชนเฉกเช่นปกติ เพียงหันกลับมาอย่างเงียบเชียบหน้ารถม้า ทว่าไม่ได้มองจิ่งเหิงปัวที่พิงรถม้าอยู่
“ถูกใส่ร้ายเรื่องใด”
เขาคล้ายกำลังเอ่ยถามท้องฟ้า
เหล่าขุนนางแคว้นเซียงรีบเร่งมาชุมนุมกัน มองดูฉากนี้อย่างไม่รู้จะจัดการอย่างไรดี กษัตริย์แคว้นเซียงยังรอคอยต้อนรับราชครูอยู่หน้าประตูวัง ไม่คิดว่าที่นี่จะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
ตอนนี้จิ่งเหิงปัวยังสังเกตอยู่ว่าภายในกองทัพเหล่าขุนนางแคว้นเซียงนั้นเหมือนจะไม่มีจี้อีฝาน
ในใจนางคล้ายเข้าใจขึ้นมา
ดูท่าทางเจ้าคนนี้ไม่ยอมโผล่หน้าแต่โหดเ**้ยมพอตัวเลย คนที่ผลักนางคงเป็นเขาอีกแล้วล่ะมั้ง?
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วคงต้องคอยดูสถานการณ์แล้วค่อยวางแผน รวมเรื่องเหอหว่านเข้ามาด้วย น่าจะมั่วต่อไปได้อยู่หรอก
นางเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งต่อพื้นดินว่า “ยากจะอธิบายเพียงชั่วครู่ชั่วคราว ราชครูโปรดหยุดขบวน ฟังข้าน้อยเอ่ยทุกสิ่งโดยละเอียด”
“บังอาจ!” ขุนนางแคว้นเซียงผู้หนึ่งพลันตวาดว่า “ราชครูเข้านคร กษัตริย์ทรงรอคอยต้อนรับ พิธีกรรมทุกสิ่งจัดการตามเวลา สตรีชาวบ้านโง่เขลานางหนึ่งเฉกเช่นเจ้าจะมาก่อกวนตามใจชอบได้อย่างไร! ถอยไป…”
“ทางแคว้นโปรดจัดหาบ้านเรือนบริเวณนี้ เปิ่นจั้วอยากหยุดพักเหนื่อยสักหน่อย” วาจาประโยคเดียวของกงอิ้นทำให้ทุกผู้คนเงียบงันไร้สรรพเสียงอีกครั้ง
จิ่งเหิงปัวมองไม่ออกว่าเหอหว่านสนิทสนมกับกงอิ้นไม่น้อยเลย
พอกงอิ้นหยุดขบวน อวี้จ้าวจึงปิดล้อมถนนทั้งสาย กระจายฝูงชนที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหมด รถม้าที่พลิกคว่ำของเหอหว่านย่อมเป็นจุดสนใจ สารถีรถม้าหวังจะประคองเหอหว่านไป เหอหว่านกำลังดิ้นรน สายตาของกงอิ้นมองผ่านมา จากนั้นองครักษ์อวี้จ้าวหลายนายเดินเข้ามาขวางกั้นคนที่อยากจะพาตัวเหอหว่านไป เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “องค์หญิง เชิญเสด็จตามพวกกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
เหอหว่านที่สวมหมวกม่านพยักหน้าอย่างซาบซึ้งใจ ซ้ำยังมองดูจิ่งเหิงปัวด้วยความขอบคุณไม่มีที่สิ้นสุด จิ่งเหิงปัวกลั้นโลหิตอึกหนึ่งไว้ บอกใบ้พวกเหยียลี่ว์ฉีที่ถูกแยกห่างไกลกลางฝูงชนว่าอย่าประมาทเลินเล่อ ก้มหน้าใคร่ครวญว่าควรใช้วิธีอะไรปลีกตัวออกไป
หลังจากสะบั้นธงหน้าประตูเมืองในวันนั้น นางไม่เคยมีความคิดจะลอบสังหารกงอิ้นอีก นางรู้แน่ชัดว่าตนเองฆ่าเขาไม่ได้
มนุษย์เฉลียวฉลาดยามรู้จักประเมินตนเอง ความกล้าหาญของคนไร้สติปัญญานั้นไร้ค่า ความอดทนคือคุณธรรมอันดีงามหนึ่งเดียวในโลกหล้า
น่าเสียดาย เขาเป็นคนสอนประโยคเหล่านี้เอง
จิ่งเหิงปัวก้มหน้าลง ค่อยๆ กำนิ้วมือในแขนเสื้อแน่น