เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 46.3
จิ่งเหิงปัวนอนแผ่อยู่บนรถ ดวงตาสองข้างว่างเปล่ามองตรงไปยังเพดานรถ
จิ้งอวิ๋นชุ่ยเจี่ยและยงเสวี่ยที่อยู่อีกฝั่งล้วนมิกล้าเอ่ยวาจา จ้องมองนางด้วยความกังวลตลอดเวลา กลัวว่านางจะกระทำการคิดสั้นขึ้นมาด้วยเพราะเรื่องราวเมื่อครู่
ความจริงเลวร้ายยิ่งกว่าจินตนาการเสมอ เปรียบเทียบกันแล้ว วันเวลาที่ถูกกงอิ้นควบคุมคล้ายจะกลายเป็นสวรรค์ขึ้นมา
สายตาของจิ่งเหิงปัวว่างเปล่า สมองกลับไม่ว่างเปล่า สายตาทะลุผ่านเพดานรถไปเนิ่นนานแล้ว ทะลุผ่านท้องฟ้าดาราพราวกว้างใหญ่กลับไปสู่วันเวลายุคปัจจุบันช่วงนั้น
คล้ายดั่งยังคงเป็นห้องชุดสี่คนห้องนั้น เหวินเจินมักจะทำอาหารเลิศรสหลากหลายรูปแบบอยู่ในห้องครัว ไท่สื่อหลันมักจะโยนเยาจีที่วางแผนจะปีนขึ้นบนเตียงของนางออกไป จวินเคอมักจะมุงดูทุกสิ่งบนอินเตอร์เน็ต ตนเองมักจะแอบกินขนมของเหวินเจิน ทาน้ำยาทาเล็บไปพลางดูซีรี่ย์เกาหลีไปพลาง
วันเวลาหยุมหยิมไร้สาระเหล่านั้นเมื่อสมัยนั้น พอนึกถึงในขณะนี้ ทำไมรู้สึกทันทีว่าดวงใจเจ็บปวดเล็กน้อย อ่อนไหวเล็กน้อย?
นางยกมือขึ้นอย่างเบื่อหน่ายแตะไปที่เบ้าตา นิ้วมือเปียกชื้นอยู่บ้าง นางแบะปากยกแขนเสื้อเช็ดความเปียกชื้นผืนน้อยออกไป จากนั้นสีหน้าอัปลักษณ์ขึ้นมาเล็กน้อย…ความรู้สึกนึกคิดของนางผันกลับไปเป็นฉากหนึ่งเมื่อครู่อีกครั้งทันที รองเท้าข้อสูงสีขาวหิมะของกงอิ้นและชายกระโปรงสีแดงเลือดหมูของเฟยหลัวขนานกัน ต่างคนต่างมีความเงียบสงบสุขุม ท่าทางยึดกุมทุกสรรพสิ่ง มองอย่างไรไม่พอใจอย่างนั้น พอนึกถึงยิ่งไม่พอใจมากขึ้น
นางหันหน้าฟังเสียงความเคลื่อนไหวภายนอก ท้องฟ้ายามค่ำคืนค่อยๆ มืดลง รอบด้านมีเสียงคนโหวกเหวกโวยวาย วันนี้ผู้ติดตามมากมาย เหล่าองครักษ์ตั้งกระโจมขึ้นมาบนที่ราบตระเตรียมตั้งค่ายพักแรม กระโจมตรงกลางที่หรูหราที่สุดใหญ่ที่สุดคือกระโจมของจิ่งเหิงปัวยังตั้งไม่เสร็จ กระโจมของกงอิ้นและเฟยหลัวสองฝั่งตั้ังเสร็จแล้ว รักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด
รถม้าไร้ผู้คนใส่ใจไปชั่วขณะ เมื่อชุ่ยเจี่ยและสองคนที่เหลือคิดว่าจิ่งเหิงปัวหลับไปแล้ว นางยกมือขึ้นมาอย่างเกียจคร้านทันที
“ข้าจะกินอะไรสักหน่อย”
อาหารปริมาณมากถูกส่งขึ้นมา จิ่งเหิงปัวมีความอยากอาหารดียิ่งนัก นำพาสัตว์เลี้ยงใหม่เฟยเฟยของนางกินอย่างเอร็ดอร่อยเต็มที่ กินไปพลางดูดน้ำซุปที่เปรอะเปื้อนบนเล็บไปพลาง หันหน้ามองดูกระโจมของเฟยหลัวด้วยสายตาแวววาวเป็นประกาย
ชุ่ยเจี่ยมองเห็นสายตาเช่นนั้นของนาง รู้สึกประหลาดใจจนสั่นสะท้าน
“เอาปลาเค็มมาหน่อย ยิ่งเหม็นยิ่งดี” จิ่งเหิงปัวสั่งอาหาร
คำขอนี้แปลกประหลาดอยู่บ้าง ดีว่ายามนี้มีองครักษ์ทุกชนเผ่า ปลาเค็มเป็นของรักของชนเผ่าหนึ่งพอดี ปลาเค็มเหม็นหึ่งถูกส่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮิๆๆ ขึ้นมา เสียงฟังแล้วพาให้คนหวาดกลัวยิ่งนัก
นางกินเกลี้ยงจานชามกองใหญ่ พวกชุ่ยเจี่ยจิ้งอวิ๋นถือลงไปล้าง ภายในรถม้าว่างเปล่า
จิ่งเหิงปัวเริ่มแผนการโดยละเอียด
นางผ่าปลาเค็มออก จมูกดมไปดมมา เลือกส่วนท้องที่เหม็นที่สุด ใช้ผ้าไหมผืนหนึ่งห่อไว้อย่างระมัดระวัง
จากนั้นนางลอกก้างแข็งท้องนอกในของปลาเค็มออกมา เฟยเฟยพุ่งเข้ามาฉี่ใส่ก้างปลาครั้งหนึ่ง
ก้างปลาที่ถูกเฟยเฟยฉี่รดสะท้อนสีแดงเจือจางออกมา แลดูแปลกประหลาดเล็กน้อย
เฟยเฟยส่งเสียงหัวเราะฮิฮิ คว้าก้างอันหนึ่งขึ้นมาจ่อที่ก้นแทงเข้าไปอย่างแผ่วเบา ศีรษะใหญ่เอียงไปเอนมา โซซัดโซเซปานดื่มสุราเมามาย ล้มลงบนหางของตนเอง
จิ่งเหิงปัวตลกการแสดงที่สมจริงมีชีวิตชีวาของเจ้าตัวนี้จนหัวเราะฮ่าออกมาเสียงหนึ่ง กล่าวว่า “เจ้าน้องรัก ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะต้องช่วยข้า!”
หลังจากนั้นชั่วครู่ พวกชุ่ยเจี่ยเช็ดไม้เช็ดมือกลับมาบนรถม้ามองรอบรถม้าที่ว่างเปล่า งงงันไม่เข้าใจ
“ต้าปัวไปไหนเสียแล้ว?”
…
จิ่งเหิงปัวพินิจกระโจมของเฟยหลัวรอบด้านแล้วแบะปาก
กระโจมของอัครเสนาบดีหญิงแห่งแคว้นเซียงแม้ว่าดูแล้วไม่ใหญ่เท่ากระโจมของนาง แต่วัสดุที่ใช้ทำกระโจมและของตกแต่งภายในหรูหราล้ำค่าอย่างยิ่ง เป็นการปรนนิบัติที่แตกต่างกันโดยแท้
จิ่งเหิงปัวนำก้างปลาห่อนั้นออกมา เลิกพรมหน้าประตูกระโจมออก คำนวณระยะก้าวแล้วค่อยๆ ฝังก้างปลาลงบนพื้น
ก้างปลานี้เดิมทีนางอยากฝังลงบนเตียง ในเมื่อเฟยเฟยเพิ่มส่วนผสมแล้ว งั้นให้ใต้เท้าเสนาหญิงเหยียบสักหน่อยก็พอแล้ว
จิ่งเหิงปัวถนอมรักรูปโฉม ฉะนั้นหากไม่จำเป็นจริงๆ จะไม่ยอมทำลายรูปโฉมผู้อื่น
ในกระโจมเงียบเชียบ ม่านกั้นข้างหลังจิ่งเหิงปัวคล้ายถูกสายลมพัดตรงเป็นเส้นหนึ่ง คล้ายมีแสงสลัวดำขลับกะพริบวูบรำไร ทว่าเพียงกะพริบตาก็หายไป
ก้นของจิ่งเหิงปัวหันให้ม่านกั้น นางย่อมไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย ตั้งใจฝังก้างปลาจนเสร็จเงยหน้ามองครั้งหนึ่ง กระโจมใช้โครงไม้ประกอบขึ้นมา เหนือศีรษะมีท่อนไม้กลมท่อนหนึ่งค้ำยัน นางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เปล่งเสียงเป่าปากแผ่วเบาเสียงหนึ่ง
เงาขาวกะพริบวูบ เฟยเฟยมุดเข้ามาอย่างเงียบเชียบ
จิ่งเหิงปัวชี้ไปยังท่อนไม้กลมท่อนนั้น ทำสัญญาณมือเชือดลำคอครั้งหนึ่ง เฟยเฟยเข้าใจโดยพลัน พุ่งขึ้นไปกรงเล็บฝนมั่วซั่วดังสวบสวบระลอกหนึ่ง แกรกแกรกหลายเสียง ท่อนไม้กลมปรากฏรอยแตกลึก
จิ่งเหิงปัวดีดนิ้ว ยิ้มแย้มเบิกบาน หันหน้าเหลียวมองรอบด้าน ตามหาวัตถุอะไรสักอย่างที่ค่อนข้างเหมาะมือสามารถใช้ทุบคนได้
ต้าปัวแก้แค้นไม่ต้องรอให้ข้ามคืน ใครชนนางล้มทิ่มลงพื้น นางจะเชิญคนนั้นกลิ้งไปมาบนโคลนหลายๆ รอบ กลิ้งไปมาหลายรอบยังไม่พอ จะให้ดีต้องพุ่งเข้าไปผัวะเผียะผัวะเผียะสักรอบ แน่นอนว่าวรยุทธ์ของเฟยหลัวดูน่าทางสูงไม่เบา นางต้องหาทางหนีทีไล่ให้ดี ถ้าเกิดหนีไม่ทันขึ้นมาก็ใช้ของแข็งเขวี้ยงใส่ให้ไม้หัก ทุบให้นางหมอบราบไปบนพื้น
บนโต๊ะมีแจกันสองหูลายครามใบหนึ่ง นางพยักหน้าอย่างพอใจ พิจารณาห่อปลาเค็มในมือ กลิ่นอายหอบนั้นยิ่งรุนแรง
นางลังเลเล็กน้อย ห่อปลาเค็มนี้เดิมทีคิดจะโยนเข้าไปในผ้าห่มของกงอิ้น แต่ขณะนี้ออกจากกระโจมของเฟยหลัวคล้ายไม่ค่อยสะดวกต่อการพัฒนาแผนการแก้แค้น นางกำลังครุ่นคิด ได้ยินภายนอกเสียงฝีเท้าเสียงสนทนาแว่วมารำไร
“…ยามค่ำคืนท้องฟ้ามืดมิด เหตุใดเราสองจะต้องยืนปรึกษาหารืออยู่เบื้องนอก มิสู้เข้าไปในกระโจมของข้า พวกเราร่ำสุรากลางแสงเทียน สนทนาตลอดคืน ย่อมมิได้เสียหายอะไร?”
คือเสียงของเฟยหลัว กงอิ้นคล้ายร้อง “อ้อ” เสียงหนึ่งแผ่วเบา
จิ่งเหิงปัวเกือบจะขยี้ห่อปลาเค็มในมือจนแหลกละเอียดดังแกร๊บเสียงหนึ่ง…สนทนาตลอดคืน? สนทนากับน้องสาวแกสิ?
เงาคนนอกกระโจมสั่นไหวกำลังจะก้าวเข้ามา จะหนีต้องฉวยโอกาสนี้ แต่จิ่งเหิงปัวไม่อยากไปแล้ว
นางอยากดูว่าชายโฉดหญิงชั่วคู่นี้คิดจะสนทนาตลอดคืนเรื่องอะไร!
หันหลังครั้งหนึ่งดังสวบ สายตากวาดรอบสี่ด้าน นางพบว่าด้านในกระโจมมีม่านกั้นห้อยอยู่ รีบเร่งเลิกออกมุดเข้าไป พอเข้าไปก็สะดุดล้มวัตถุพุ่งไปข้างหน้า ใต้ร่างนุ่มนิ่ม ที่แท้คือเตียง
เฟยหลัวพิถีพิถันไม่เบา กระโจมที่อาศัยยังแบ่งเป็นห้องภายในภายนอก
จิ่งเหิงปัวก้มหน้ามองดูผ้าปูเตียงพรมขนสัตว์สีขาวหิมะประณีต มองออกว่าคนนี้มีโรครักสะอาดเช่นกัน บนเตียงแม้แต่รอยยับสักเส้นยังไม่มี นางหัวเราะคิกคิกโดยไร้เสียงครั้งหนึ่ง สวมรองเท้าขึ้นบนเตียง เท้าเหยียบย่ำบนหมอนสีขาวบริสุทธิ์ ไขว่ห้างขึ้นมา ชั้นเหยียบ ชั้นย่ำ ชั้นย่ำย่ำย่ำ…
ดินใต้รองเท้าร่วงกราวลงมาดังซู่ซู่ในร่องบนพรมขนสัตว์ บ้างร่วงไปในร่องข้างเตียง ท่ามกลางความมืดมิดใต้เตียงคล้ายมีเสียงแผ่วเบาเล็กน้อยดังอยู่รำไร แต่จิ่งเหิงปัวไม่ได้สนใจ
ใต้เตียง เงาคนผู้หนึ่งป้องศีรษะไว้มองไปด้านบนอย่างโกรธเคือง ไม่เข้าใจว่าเตียงดีๆ เหตุใดจึงมีฝุ่นดินร่วงลงมาได้?
จิ่งเหิงปัวยุ่งจนมือเป็นระวิง ยัดปลาเค็มเข้าไปใต้ที่นอนสามชั้น ถอนหายใจเสียงหนึ่งด้วยเสียดายเล็กน้อย ของสิ่งนี้เดิมทีนางคิดจะยัดเข้าใต้ที่นอนของกงอิ้น แบบนี้ พอเขาขึ้นเตียงจะได้กลิ่นเหม็น แต่หาที่มาของกลิ่นเหม็นไม่เจอ เนื้อปลาเค็มชุ่มน้ำโดนกดทับจะค่อยๆ ซึมแทรกเข้าไปในที่นอน กลิ่นอายหอบนั้นจะได้เหม็นหึ่งลอยล่องเนิ่นนานไม่สูญสลาย ราชครูสูงศักดิ์ผู้รักสะอาดคงต้องทนทุกข์เปลี่ยนเครื่องนอนนอนหลบไม่สนิททั้งคืนเป็นแน่
ตอนนี้ของขวัญดีงามชิ้นนี้ ได้เพียงให้เฟยหลัวได้เสพสุข
ปลาเค็มวางเรียบร้อยแล้ว นางคุกเข่าบนเตียงตบอย่างพึงพอใจ กลิ่นเหม็นจางลงไปมากเมื่อกั้นด้วยที่นอน ผลลัพธ์เช่นนี้ดีที่สุด รับรองว่าสามารถจัดการจนเฟยหลัวนอนหลับไม่สนิททั้งคืน
กลิ่นเหม็นของปลาเค็มมิอาจทะลุผ่านที่นอนสามชั้นมาถึงจมูกของจิ่งเหิงปัว ทว่ากับใต้เตียงกั้นเพียงไม้กระดานแผ่นหนึ่ง กลิ่นฉุนแสบจมูกระลอกนั้นมีพลังทะลุผ่านยวดยิ่ง
เงาดำใต้เตียงที่ไม่ขยับเขยื้อนผู้นั้นปิดจมูกเอาไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย ด้วยเพราะกลิ่นนั้นรุนแรงเหลือเกิน ทนแล้วทนอีก ทนแล้วทนไม่ไหว…
“ชิ้ว” เสียงหนึ่งดังแผ่วเบา
“ใครจามน่ะ?” จิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงหนึ่งนี้แล้ว เรือนร่างตรงดิ่งเหลียวมองรอบด้านอย่างหวาดระแวง หัวเตียงมีหางขนาดใหญ่ของเฟยเฟยห้อยลงมาโดยพลัน ดวงตากลมโตสีม่วงคล้ำมองลงมากะพริบตาให้นางเชื่องช้า จิ่งเหิงปัวโล่งอกไป กล่าวว่า “ที่แท้เป็นเจ้านี่เอง”
ในความมืดมิดใต้เตียง มีผู้ปิดจมูกเอาไว้ด้วยเจ็บปวดเสียจนไม่อยากมีชีวิต…
จิ่งเหิงปัวเอนกายลงไปอย่างสบายอกสบายใจอีกครั้ง ม่านด้านนอกเลิกขึ้นมาเพียงครั้ง มีคนเข้ามาแล้ว จิ่งเหิงปัวนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาทันที แอบร้องว่า แย่แล้ว!
นางฝังก้างปลาที่เพิ่มส่วนผสมพิเศษไว้หน้าประตู นี่ถ้าถูกกงอิ้นเหยียบขึ้นมา…
จิ่งเหิงปัวกอดผ้าห่มกลิ้งไปมา ในใจครุ่นคิดเล็กน้อยไปชั่วครู่…จะแอบบอกเขาดีไหมนะ…พอชะโงกหน้ามองเห็นเงาสองของคู่รักคู่นั้นสะท้อนบนม่านกั้น รู้สึกทันทีว่าโกรธแค้นจนควันพวยพุ่ง
เหยียบโดนก็โดนไป เหยียบตายสมน้ำหน้า!
หน้าประตูแว่วเสียงหัวเราะแผ่วเบาระลอกหนึ่ง เสียงยามนี้ของเฟยหลัวนุ่มนวลกว่าเมื่อกลางวันหลายเท่าตัวยิ่งนักเอ่่ยว่า “เหตุใดจึงยืนอยู่หน้าประตูมิเข้ามา? ที่แห่งนี้ของข้ามิได้มีเสือคอยเขมือบเจ้า”
แม่เสือแซ่จิ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง หนีบหมอนสีขาวหิมะของเฟยหลัว จ้องมองปากกระโจมอย่างลับๆ ล่อๆ
กงอิ้นยังคงยืนอยู่ไม่ขยับเขยื้อน เสียงเย็นชาราวไข่มุกหยกแก้วเอ่ยว่า “เสนาหญิง เมื่อครู่เจ้าเอ่ยว่ามีสถานการณ์ทหารลับๆ จะเอ่ยกับข้าเป็นการส่วนตัว ยามนี้คงเอ่ยได้แล้วกระมัง?”
เฟยหลัวหัวเราะแผ่วเบาเสียงหนึ่ง เอ่ยว่า “ราชครูใจร้อนเสียจริง”
กงอิ้นมิเอ่ยวาจา
ทั้งสองคนยืนอยู่ปากกระโจมไม่ก้าวเข้ามาไม่ถอยออกไป จิ่งเหิงปัวมองจนใจเต้นยากจะทานทน
“ที่จริงข้ามิเอ่ยวาจา ราชครูย่อมรู้อยู่แล้ว” เสียงหัวเราะของเฟยหลัวอ่อนหวาน สนทนาขึ้นมาตรงปากกระโจมว่า “ก่อนหน้านี้ไม่นาน เผ่าจั๋นอวี่แตกคอกับใต้เท้าเหยียลี่ว์โดยพลัน ว่ากันว่าสองฝ่ายเคยมีสงครามรุนแรงครั้งหนึ่งที่แม่น้ำเทียนวั่ง ต่างฝ่ายต่างบาดเจ็บ หลังจากนั้นเผ่าจั๋นอวี่ลอบสังหารใต้เท้าเหยียลี่ว์ ใต้เท้าเหยียลี่ว์โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จากนั้นโต้ตอบกลับด้วยการลงโทษข้าราชบริพารเผ่าจั๋นอวี่ในราชสำนัก ภายในระยะเวลาหนึ่งวันเนรเทศข้าราชบริพารสิบหกคน ความขัดแย้งระหว่างสองฝ่ายรุนแรงขึ้น จากนั้น นอกจากแคว้นเซียงของข้าและแคว้นซังที่อ่อนแอที่สุด สี่แคว้นเจ็ดชนเผ่าที่เหลือ ไม่มากก็น้อยล้วนเข้าผสมโรงศึกระหว่างจั๋นอวี่และเหยียลี่ว์ เหยียลี่ว์ควบคุมพระบรมมหาราชวังฝ่ายซ้าย ทว่าเผ่าจั๋นอวี่และผู้เฝ้ารอคอยควบคุมดินแดนรอบนครหลวงสิบสามแห่ง ทหารอวี้จ้าวในบัญชาของท่านกลับอยู่ระหว่างสองผู้นี้ยืนหยัดเป็นกลางดูแลพระราชวัง ทว่าทหารคั่งหลงที่ล้อมพิทักษ์นครหลวงตระเตรียมพลทั้งสิ้น ปิดตายนครหลวง รอการกลับมาของท่าน…คลื่นใต้น้ำรุนแรงในพระบรมมหาราชวัง ไม่ระวังแม้เพียงน้อยย่อมมีภยันตรายใหญ่หลวง ยามนี้คือสงครามหรือความสงบ คือแรงถาโถมแข็งแกร่งหรือแรงนำทางเบาบาง ราชครูของข้า ทั้งพระบรมมหาราชวังจวบจนต้าฮวง กำลังรอคอยโองการของท่าน”
ในที่สุดตอนนี้จิ่งเหิงปัวจึงได้ยินข่าวคราวของเหยียลี่ว์ฉี ดูท่าทางคืนนั้นเขาไม่เป็นไรดังคาด ไม่เพียงแต่ไม่เป็นไร ซ้ำยังกลับไปต้าฮวงนานแล้วกระทำก่อกวนต่อไป คือแมลงสาบที่ฆ่าไม่ตาย ไอ้โง่เง่าเต่าตุ่นพันปีอายุยืนยาวจริงๆ
“ฉะนั้นพวกเจ้าจัดพิธีน้อมรับเสด็จราชินีไกลร้อยลี้มั่วซั่วครั้งนี้ แท้จริงแล้วก็เพื่อสืบทราบความปรารถนาของข้าให้เร็วกว่าก้าวหนึ่ง จากนั้นจึงตัดสินใจลงมือขั้นต่อไปหรือ?” กงอิ้นคล้ายรู้ความเคลื่อนไหวของเหยียลี่ว์ฉีอยู่ก่อนแล้ว น้ำเสียงฟังคล้ายไม่มีความแปลกใจแม้แต่น้อย
“เกรงว่าจะยังไม่เพียงนั้น” เฟยหลัวหัวเราะแผ่วเบา หันกายเพียงครั้งคว้าแขนเสื้อของกงอิ้นไว้อย่างแผ่วเบา เอ่ยว่า “เจ้าเข้ามาสิ เจ้าเข้ามาสิ เจ้าเข้ามาสิ ข้าจะกระซิบกระซาบบอกเจ้า…”
หลายประโยคหลังเอ่ยอย่างแผ่วเบางดงามเปี่ยมด้วยการเชื้อเชิญ ทว่ามิได้ผุดเผยความสนิทชิดเชื้อ เพียงทำให้คนรู้สึกว่าน่ารักใคร่เอ็นดู อดจะสั่นสะท้านในแววตาทั้งงดงามทั้งอ่อนหวานของนางไม่ได้
จิ่งเหิงปัวขยี้พรมขนแพะจนอัปลักษณ์ผิดรูปผิดร่างดั่งใบหน้าของนาง แต่อดจะมองดูสีหน้าท่าทางของเฟยหลัวโดยละเอียดมิได้ นางรู้สึกว่าท่าทางนี้ดีอย่างยิ่ง ยั่วยวนแบบไร้ร่องรอย ต้องเรียนรู้สักหน่อย
“อัครเสนาบดีหญิงอยากเอ่ยย่อมเอ่ย มิอยากเอ่ยย่อมเอ่ยไม่ต้องเอ่ย” กงอิ้นเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “กระโจมนี้คล้ายมีกลิ่นประหลาด ไม่เข้าไปจะดีกว่า”
จิ่งเหิงปัวเบิกตากว้าง…จมูกสุนัขหรือไง? ไกลขนาดนี้ยังได้กลิ่น?
เฟยหลัวกลับไม่ได้กลิ่น นางได้กลิ่นเพียงกลิ่นหอมอำพันทะเลเข้มข้นหน้าปากกระโจม ยังนึกว่าราชครูผู้สูงส่งเย็นชามาตลอดจงใจจุกจิก จึงไม่โกรธเคือง ยิ้มเพียงครั้งเลิกคิ้วขึ้น นิ้วมือแฉลบผ่านจอนผมแผ่วเบา เอ่ยว่า “กลิ่นประหลาด? กลิ่นอายบนเรือนร่างของข้าหรือ? เจ้าดมอีกครั้งสิ หอมหรือไม่?”
นางยกสาบเสื้อแขนเสื้อขึ้นมาเพียงครั้ง ระหว่างแขนเสื้อโชยกลิ่นหอมสะระแหน่และพิมเสนซึ่งหอมหวนชื่นเย็นออกมา เฟยหลัวยิ้มอย่างมั่นใจยิ่งนัก นางรู้ว่ากงอิ้นชอบกลิ่นอายเช่นนี้
นิ้วมือวาดรัศมีโค้งอรชรสายหนึ่งกลางอากาศคล้ายตั้งใจ ทอดลงบนแขนเสื้อของกงอิ้นคล้ายมิได้ตั้งใจ
ดวงตาคู่หนึ่งของเงาดำใต้เตียงเปล่งประกายอึมครึมคล้ายมีความหนาวเหน็บ
จิ่งเหิงปัวบนเตียงยกแขนขึ้นมาดมกลิ่นใต้รักแร้ เงยหน้าขึ้นมาอย่างโกรธเคืองอยู่บ้าง ใช้ริมฝีปากด่าว่า ปีศาจจิ้งจอก!
“ดึกดื่นแล้ว ” น้ำเสียงของกงอิ้นสงบราบเรียบและเด็ดเดี่ยวยิ่งนักเอ่ยสืบต่อว่า “เสนาหญิงท่านเองควรพักผ่อนเช่นกัน เปิ่นจั้ว[1]ขอลา”
เขาไม่รอคอยคำตอบของเฟยหลัว หันกายเดินจากไป
เฟยหลัวยังคงมีท่าทางสบายใจเช่นนั้น มองกงอิ้นหันกายอย่างไม่รีบร้อนแล้วยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “พิธีการน้อมรับเสด็จราชินีไกลร้อยลี้มิเคยปรากฏนับสิบปี จนทำให้ราชครูยังหลงลืมกฎเกณฑ์เสียแล้ว”
กงอิ้นหยุดฝีก้าวเพียงครั้ง คล้ายครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา
“น้อมรับเสด็จไกลร้อยลี้เพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ องค์ราชินียังจะต้องเผยความปรีชาสามารถที่สยบสรรพสิ่งให้หกแคว้นแปดชนเผ่าเห็นในพิธีเฉลิมฉลองต้อนรับก่อนเข้าสู่นครหลวง!” เฟยหลัวหุบรอยยิ้ม เอ่ยทีละคำละคำว่า “มิฉะนั้น จุดจบของนางคือ ขับไล่ เนรเทศ สิ้นชีพ ไร้ตระกูล!”
[1] เปิ่นจั้ว คำแทนตนของขุนนาง