เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 50.1
“ทหารก่อกบฏหรือ” จิ่งเหิงปัวกระซิบกระซาบ จากนั้นตะลึงลานรีบเร่งร้องว่า “กงอิ้น! กงอิ้นล่ะ!”
“ทางนั้นมีกองทัพ!” ชุ่ยเจี่ยเอ่ยเสียงดัง
จิ่งเหิงปัวมองเห็นอวี้จ้าวหลงฉีที่งดงามนั้นกำลังควบอาชาห้อตะบึงกวาดต้อนผู้คนที่กระจัดกระจายทั้งสี่ทิศไว้ด้วยกัน พลทหารคั่งหลงค่ายหย่งเลี่ยนิ่งเงียบโอบล้อมรอบนอกไว้
จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าผิดปกติเล็กน้อย สองทหารขาวดำคือกองทัพเกรียงไกรในบังคับบัญชาของกงอิ้น ดูแล้วไม่ได้มีท่าทีจะก่อกบฏ ขอเพียงสองทหารขาวดำจงรักภักดีต่อกงอิ้น องครักษ์หนึ่งพันสองพันกระจ้อยร่อยของหกแคว้นแปดชนเผ่านี้จะไปทำอะไรกงอิ้นได้
งั้นทำไมถึงวุ่นวายกลายเป็นแบบนี้
เสียงร้องน่าเวทนาดังขึ้นอีกเสียง ผู้หนึ่งเลือดกระเซ็นล้มลงบนพื้น จิ่งเหิงปัวเบิกตากว้าง จำได้ว่าผู้ฟาดฟันคือเหมิงหู่ ผู้ล้มลงคือหัวหน้าองครักษ์ชนเผ่าหนึ่งซึ่งเดินทางมาต้อนรับนาง คล้ายจะเป็นคนของเผ่าหวงจิน เขาเป็นมิตรกับนางอย่างมากมาตลอดทาง ซ้ำยังเคยส่งยามาให้นางด้วย
การค้นพบครั้งนี้ทำให้นางเหน็บหนาวสั่นสะท้าน…เกิดอะไรขึ้น หรือว่า…
นางมองเห็นใบหน้าตกตะลึงของเฟยหลัวกะพริบวูบผ่านไป หลังจากความขายหน้าครั้งก่อน อัครเสนาบดีหญิงแห่งแคว้นเซียงเก็บเนื้อเก็บตัวมาโดยตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่นางมองเห็นเฟยหลัวหลังจากคราวนั้น สีหน้าบนใบหน้าของเฟยหลัวทำให้ในใจของนางจมดิ่งเช่นกัน…แคว้นเซียงคือพละกำลังที่เกรียงไกรที่สุดในกองทัพรับเสด็จ ถ้าเฟยหลัวไม่ใช่ผู้บงการ งั้นคงเป็นกงอิ้นแล้วล่ะ…
“พวกเจ้าทำอะไร!” เฟยหลัวกำลังกรีดร้อง ผลักองครักษ์ผู้หนึ่งซึ่งคิดที่จะลากนางหลบหนีออกแล้วควบอาชาตะบึงสู่กลางฝูงชนวุ่นวายเพียงผู้เดียว แขนสองข้างกางกั้นขวางฝูงชนวุ่นวายไว้เสียอย่างนั้น ตะโกนว่า “อย่าหุนหันพลันแล่น! อย่าให้ผู้อื่นฉวยโอกาส! มาหลังกายข้าให้หมด! ท่านราชครูฝ่ายขวา! เหตุใดจึงเคลื่อนพลค่ายหลงฉีและค่ายหย่งเลี่ยโอบล้อมทัพองครักษ์ฉับพลัน ซ้ำยังบัญชาให้สังหารฝ่ายข้า! ขอคำอธิบายให้พวกเราด้วย!”
เสียงนางก้องกังวาน สัญญาณมือเด็ดเดี่ยว ยับยั้งความวุ่นวายบนลานกว้างทั้งอย่างนั้น ฝูงชนค่อยๆ สงบเรียบร้อยลงจากความหวาดผวาที่ถูกโอบล้อมสังหารโดยพลัน เริ่มร่นถอยไปหลังกายนางอย่างเป็นระเบียบ คุมเชิงห่างจากทัพองครักษ์ของกงอิ้นที่มีเหมิงหู่เป็นผู้นำหนึ่งจั้ง
จิ่งเหิงปัวอดจะแอบนับถือไม่ได้ ไม่ว่าเฟยหลัวจะน่าเกลียดน่าชังแค่ไหน ความเยือกเย็นและความกล้าหาญเบื้องหน้าความโกลาหลครั้งใหญ่ รวมทั้งการคาดการณ์อย่างแม่นยำและการรับมือของนางมีค่าพอให้นางเรียนรู้ทั้งนั้น
ฝูงองครักษ์ของกงอิ้นแยกแถวโดยพลัน กงอิ้นผู้อยู่ตรงกลางสวมชุดขาวดุจหิมะ ไร้ฝุ่นธุลีแปดเปื้อน สีหน้ายังคงเย็นชา ดวงตามองทิวเขาห่างไกลอย่างเฉื่อยเนือย ไม่ได้เอ่ยตอบการซักถามของเฟยหลัว
เหมิงหู่เอ่ยตอบแทนเขาด้วยเสียงหนักแน่นว่า “จับกุมจารชนผู้สมคบกับมือสังหารตามบัญชาของราชครูฝ่ายขวา! ไม่ว่าสถานะสูงต่ำหรือมาจากเผ่าใด ต้องสังหารให้สิ้นซาก!”
“มือสังหารหรือ ผู้ใดกัน” เฟยหลัวชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นจึงนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในกระโจมครั้งหลายวันก่อน สีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน
เหยียลี่ว์ฉีลอบเข้ากระโจมรอคอยดักซุ่มสังหาร หลังเกิดเรื่องราวได้หลบหนีไปอย่างลอยนวล เอ่ยกันว่ายังเกือบจะจับตัวราชินีไปด้วย เรื่องนี้เห็นได้ชัดเจนว่ามีผู้คนไม่น้อยในทัพองครักษ์ของหกแคว้นแปดชนเผ่าสมคบร่วมมือกับเขา เพียงแต่กงอิ้นไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวตลอดมา ทุกคนต่างนึกว่าเขากริ่งเกรงอิทธิพลของเหยียลี่ว์ฉีและไม่อยากเปิดเผยการต่อสู้สู่ภายนอก จึงยุติเพียงนี้ ผู้ใดจะรู้ว่าเขาจะลอบโยกย้ายทหารทัพใหญ่ ลงมือ ณ สถานที่สำคัญแห่งนี้ที่หนึ่งทหารเฝ้าด่าน หมื่นทหารมิอาจกล้ำกรายโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง ควบคุมทัพองครักษ์ของหกแคว้นแปดชนเผ่าในพริบตาโดยไม่มีแม้แต่คำทักทายสักคำ สังหารผู้คนมากมายเช่นนั้นฉับพลันโดยไม่ฟังคำอธิบายแม้แต่ประโยคเดียว!
ในใจของทุกคนเคร่งเครียด ร่างกายเหน็บหนาว ต่างคิดว่าราชครูฝ่ายขวาอำนาจล้นฟ้า กระทำการเ**้ยมโหดโดยแท้ และมีบางคนสงสัยอยู่บ้างด้วยรู้สึกว่าการกระทำครั้งนี้ของกงอิ้นคล้ายแตกต่างจากนิสัยแต่ก่อนของเขา แต่ก่อนเขาไม่ได้เจ้าอารมณ์เพียงนี้
ในรถม้า ชุ่ยเจี่ยมีสีหน้าซีดเผือด จิ้งอวิ๋นแทบอยากจะย่อส่วนตนเองเข้าไปในรถม้า ยงเสวี่ยกลับค่อยๆ ผ่อนคลาย ตีมือของจิ่งเหิงปัวอย่างแผ่วเบาโดยพลัน เอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่เป็นไร…”
จิ่งเหิงปัวยิ้มออกมานึกว่านางปลอบโยน ตีมือคู่น้อยของนางอย่างแผ่วเบา นางขมวดหัวคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยด้วยรู้สึกว่าแปลกประหลาด นางไม่เข้าใจการเมืองแต่เข้าใจหลักอารมณ์พื้นฐานของมนุษย์ ต่อให้ในหมู่คนพวกนี้มีผู้สมคบคิดกับเหยียลี่ว์ฉีร่วมมือกันจะฆ่ากงอิ้นก็เถอะ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เหยียลี่ว์ฉีไม่ใช่โจรกบฏแต่เป็นราชครูผู้มีศักดิ์แห่งราชสำนักที่มีสถานะเทียบเท่ากับกงอิ้น ซ้ำยังเป็นขุนนางร่วมท้องพระโรงเดียวกัน กงอิ้นไม่ได้มีเหตุผลเพียงพอขนาดสังหารผู้ที่ติดต่อกับเหยียลี่ว์ฉีได้ ยิ่งไปกว่านั้นคนพวกนั้นไม่ใช่ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาแต่เป็นคนของหกแคว้นแปดชนเผ่า กงอิ้นไม่ไว้หน้าหกแคว้นแปดชนเผ่าขนาดนี้ หรือไม่กลัวหกแคว้นแปดชนเผ่าจะไม่พอใจด้วยเหตุนี้เหรอ กระทำการตัดขาดไร้เยื่อใยไมตรีแบบนี้ไม่เหมือนทางเลือกของบุคคลผู้เจนจัดในการเมืองคนหนึ่งมั้ง
หรือว่าเพื่อแสดงแสนยานุภาพเหรอ
ไม่ว่าจะคาดเดาอย่างไร ความจริงปรากฏอยู่ตรงหน้า สีหน้าของเฟยหลัวอบอุ่นขึ้นเชื่องช้า เอ่ยอย่างไม่เห็นด้วยอยู่บ้างว่า “กวาดล้างจารชนเป็นเรื่องสมควร เพียงแต่ใช้วิธีร้ายแรงเช่นนี้ ซ้ำยังกระทำการรุนแรงเช่นนี้ ท่านราชครูฝ่ายขวาคงจะไม่เห็นพวกเราหกแคว้นแปดชนเผ่าอยู่ในสายตาเกินไปแล้ว!”
“อืม” กงอิ้นขานรับเสียงหนึ่ง จากนั้นเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ทว่าข้าเพียงแต่ไม่ได้เห็นศักดิ์ศรีของพวกเจ้าอยู่ในสายตา หากว่ามีผู้ไม่ได้เห็นชีวิตของพวกเจ้าอยู่ในสายตาเล่า”
“อะไรนะ” เฟยหลัวชะงักงัน
เพียงการชะงักงันครั้งหนึ่งนี้ เสียงตะคอกเสียงหนึ่งดังขึ้นโดยพลัน ข้างหลังเฟยหลัวมีเงาคนหลายสายพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เงาคนสายหนึ่งในนั้นพุ่งตรงสู่ข้างหลังเฟยหลัว ร่างร่วงลงบนม้าของนางแล้วบีบคอหอยของนางไว้ในครั้งเดียว
เรื่องราวคราวนี้เกิดโดยฉับพลัน อีกทั้งเฟยหลัวมีท่วงท่าเชื่อมั่นปกป้องคนข้างหลังโดยสนิทใจ จะคิดไปได้อย่างไรว่าข้างหลังมีภัยร้าย นางร่วงสู่กำมือศัตรูโดยไม่ทันได้ประมือสักกระบวนท่าเดียว
ทุกคนตะลึงลาน จากนั้นทยอยตวาดว่า
“ปล่อยเสนาหญิง!”
“โอหัง! บังอาจ!”
ท่ามกลางเสียงตวาดนั้น กงอิ้นมีสีหน้าเย็นชา เหมิงหู่และผู้อื่นไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย สีหน้าเปี่ยมด้วยคำว่า “ดูสิ แท้จริงแล้วพวกเราปกป้องเจ้า แต่ตัวเจ้าเองไม่รู้ชั่วดี ยามนี้ซวยแล้วสิ สมน้ำหน้า!”
“ปล่อยพวกเราไป!” ผู้ที่พุ่งออกมาทั้งสิ้นมีมากกว่าสิบกว่าคน ไม่เพียงแต่จับตัวเฟยหลัวไว้ ยังจับตัวเหล่าผู้นำชนเผ่าที่เหลือด้วย เปล่งเสียงดุดันยื่นข้อเสนอ
บนรถม้า จิ่งเหิงปัวร้องเอ๊ะเสียงหนึ่ง
นางรู้สึกว่าผิดปกติเล็กน้อย
ลองนับจำนวนซากศพบนพื้น ทั้งหมดสิบกว่าศพ แล้วลองนับจำนวนผู้ที่พุ่งออกมาครั้งนี้ ทั้งหมดสิบกว่าคน บวกกันทั้งหมดแล้วได้จารชนสามสิบสี่สิบคน
ต่อให้หกแคว้นแปดชนเผ่าค่อนข้างวุ่นวาย กองทัพค่อนข้างยุ่งเหยิง แต่ว่าจารชนสามสิบสี่สิบคน
เหยียลี่ว์ฉีมีความสามารถยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเชียว อีกอย่างจารชนคนสมคบคิดยิ่งมากยิ่งเสียเรื่องไม่ใช่เหรอ
เหล่าจารชนจำนวนมาก จับตัวเหล่าผู้นำไว้ถอยร่นไปด้านหลัง ผู้นำหน้าคนหนึ่งตะโกนก้องว่า “เตรียมรถม้าให้พวกเรา! เตรียมรถม้า!”
กงอิ้นคล้ายไม่ทุกข์ร้อนเลยแม้แต่น้อย โบกมืออย่างเฉื่อยเนือยสงบเงียบ เหมิงหู่และผู้อื่นไปเตรียมรถม้าจริงแล้ว
จิ่งเหิงปัวยิ่งรู้สึกว่าแปลกประหลาดมากขึ้น
การตอบสนองของกงอิ้นผิดปกติ
ไปมาหาสู่กันนานขนาดนี้ นางเข้าใจธาตุแท้ที่ภายนอกเย็นชาภายในแข็งแกร่งถึงกระดูกทั้งร้ายลึกเก็บความรู้สึกซ้ำยังเผด็จการของเขาอย่างมาก ถูกยั่วยุขนาดนี้ เขาเป็นฝ่ายได้เปรียบอีกต่างหาก ทำไมถึงอ่อนแอขนาดนี้ได้
ม้าถูกจูงมาแล้ว รถม้าถูกส่งมาแล้ว รถม้าคันใหญ่โตกว้างขวาง เพียงพอจะบรรทุกผู้นำทั้งหมดที่ถูกจับตัวไว้ได้ คล้ายตระเตรียมพร้อมสรรพเนิ่นนานแล้ว
จิ่งเหิงปัวกะพริบตา ความรู้สึกแปลกประหลาดแบบนั้นในใจยิ่งรุนแรงขึ้น
ทุกสิ่งเกิดขึ้นจริงเบื้องหน้า ทว่าดั่งคลุมด้วยเมฆหมอกปริศนาเบาบางชั้นหนึ่งซึ่งเลือนรางพร่ามัวซุกซ่อนความจริง นางพยายามใช้สายตาสอดส่องเข้าไป แต่ไร้หนทางมองเห็นมือที่ควบเมฆคลุมฝนอยู่เบื้องหลังอย่างแท้จริงได้ชัดเจน
เหล่าจารชนจับตัวเหล่าผู้นำเข้าใกล้รถ ตะโกนก้องว่า “ห้ามตามมา! อวี้จ้าวหลงฉีสองค่ายห้ามขยับ!”
กงอิ้นโบกมือจริงจัง ส่งสัญญาณให้สองทหารไม่ขยับเขยื้อน
เหล่าจารชนเริ่มขึ้นรถม้า มีผู้เอ่ยโดยพลันว่า “รถม้านี้จะซ่อนแฝงเล่ห์กลอันใดไว้หรือไม่”
ผู้คนขยับศีรษะเบียดกัน ทุกคนคุมเชิงกันขยับเขยื้อนเชื่องช้า วาจานี้มาจากฝูงชนจึงจำแนกไม่ออกว่าผู้ใดเอื้อนเอ่ย ทว่าเหล่าจารชนที่จับตัวผู้นำไว้ ฟังแล้วย่อมรู้สึกว่ามีเหตุผลโดยแท้ แววตาสำรวจทั่วสี่ทิศโดยสำนึก
จิ่งเหิงปัวตื่นตะลึงในใจ แอบร้องว่าแย่แน่
แขนเสื้อของกงอิ้นที่อยู่ฝั่งตรงข้ามสยายเพียงน้อย ท่าทางเย็นชาสงบนิ่ง
ดังเช่นนางคาดการณ์ มีผู้กวาดสายตาไปมารอบหนึ่งแล้วชี้ไปยังราชรถของราชินี เอ่ยว่า “ราชรถของราชินี ต้องไร้ปัญหาแน่นอน! ให้นางถอยให้พวกเรา!”
เสียงวาจายังไม่ทันสิ้น มีผู้พุ่งเข้ามาโดยพลัน คนขับรถตกใจจนร้องเสียงดังเสียงหนึ่ง ทั้งกลิ้งทั้งคลานกระโดดหลบหนีจากแอกรถ
“เฮ้ยๆ ไอ้สารเลวนี่!” จิ่งเหิงปัวตะโกนด่าเสียงหนึ่ง เงยหน้าขึ้นมอง ตอนนี้คนของกงอิ้นยังถูกกั้นขวางอยู่ฝั่งตรงข้าม อวี้จ้าวหย่งเลี่ยสองค่ายอยู่รอบนอกห่างไกล พวกหกแคว้นแปดชนเผ่าที่เหลือหลบไปรวมเป็นกลุ่มก้อนเพื่อหลีกเลี่ยงภัยอันตราย ขวางกั้นเส้นทางที่องครักษ์ของกงอิ้นจะเข้ามาช่วยเหลือ เบื้องหน้าราชรถของราชินีมีแต่ศัตรูทั้งนั้น!
“รีบทิ้งรถ! หนีไปทางหลงฉี!” จิ่งเหิงปัวทำการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ทางหลงฉีแม้ว่าไกลไปหน่อย แต่ว่าทหารเหล่านั้นคือทหารม้า ขอเพียงตนเองไม่กี่คนรีบพุ่งไปไม่กี่ก้าว เป็นไปได้ว่าทหารม้าจะช่วยไว้ได้ทันก่อนหน้าศัตรู
ผู้หญิงสามคนตกใจจนแข้งขาอ่อนแรง มีเพียงชุ่ยเจี่ยเร่งเร้าประคองยงเสวี่ยขึ้นมา กระโปรงของเด็กคนนั้นถูกคานหน้ารถดึงไว้ จิ่งเหิงปัวพุ่งเข้าไปผลักนางลงจากรถม้าในครั้งเดียว
ตอนผลักยงเสวี่ยลงจากรถคล้ายว่าผีสางเทวดาดลใจ ช่วงเวลาตึงเครียดขนาดนี้ นางยังเหลียวมองกงอิ้นที่อยู่ฝั่งตรงข้ามบริเวณใกล้แวบหนึ่ง
เพริศพรายแม้ปราดเดียวคือดวงหน้าเย็นชาเช่นเดิมของเขา เขายังมิได้ขยับเขยื้อน
ในใจของจิ่งเหิงปัวเย็นวาบขึ้นมา ความรู้สึกเปรี้ยวฝาดหอบหนึ่งจุกตรงคอหอยในพริบตา นางสะบัดศีรษะหนึ่งครั้งอย่างรุนแรงหวังสะบัดอารมณ์ส่วนเกินนี้ทิ้งไป มือหนึ่งลากจิ้งอวิ๋นอีกมือหนึ่งลากชุ่ยเจี่ยจะกระโดดลงจากรถ
“ฝ่าบาทอย่าทรงกลัว! กระหม่อมมาช่วยพระองค์แล้วพ่ะย่ะค่ะ!” เสียงตะโกนเสียงหนึ่งดังขึ้นโดยพลัน เงาร่างอ่อนวัยสายหนึ่งพุ่งออกมาจากฝูงองครักษ์ของหกแคว้นแปดชนเผ่าที่หลบอยู่ทางหนึ่ง
ประหนึ่งถูกความกล้าหาญของเขาบันดาลใจ ข้างหลังเขามีผู้ทยอยพุ่งออกมาอีกสองสามคน
จิ่งเหิงปัวมองจนละเอียดครั้งหนึ่ง เขาคือองครักษ์น้อยหน้ากลมเผ่าหลิวหลีคนนั้น คนนั้นที่นางถือว่าเป็นน้องชาย ในหมู่คนของหกแคว้นแปดชนเผ่าที่มาแสดงความเป็นห่วงเหล่านั้น ผู้อ่อนวัยคนนี้บังเอิญพบนางมากที่สุด รอยยิ้มอบอุ่นใสซื่อทุกครั้งของเขาตราตรึงลึกซึ้งในความทรงจำของนาง
ความอบอุ่นหวนคืนท่ามกลางวิกฤตกาล ดวงใจของนางสั่นสะท้าน น้ำตาแทบระรื้นคลอเบ้า
แต่วคล้ายดั่งผีสางเทวดาดลใจอีกครั้ง ในช่วงเวลาทั้งอบอุ่นทั้งซึ้งใจนี้ นางชำเลืองมองกงอิ้นอีกแวบหนึ่ง
ครั้งนี้กงอิ้นมีสีหน้าท่าทางแล้ว
สีหน้าแปลกประหลาด
เขากลับ…กำลังยิ้ม