เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 59.1
ในห้องหนังสือของจิ้งถิง กงอิ้นกระแอมไอเสียงหนึ่ง ขยับเขยื้อนเรือนร่าง
เหมิงหู่ชำเลืองมองนอกหน้าต่างอย่างไม่หยุดหย่อน สายตาร้อนรนขึ้นมาบ้างแล้ว
กงอิ้นวางสมุดพับลง เขี่ยน้ำมันตะเกียง
เหมิงหู่มองดูนอกหน้าต่างที่ไม่มีความเคลื่อนไหว เหงื่อซึมฝ่ามือ
กงอิ้นเปิดสมุดพับจนดังพึ่บพั่บ อ่านอย่างรวดเร็วยิ่งทว่าต่างมิได้สั่งการ
เหมิงหู่มองดูค่ำคืนมืดมิด อดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป
เหตุใดน้ำแกงไก่นี้ถึงได้ใช้เวลาส่งยาวนานยาวไกลนัก? หากยังไม่มาส่งอีก เจ้านายคงจะอึดอัดจนสิ้นชีพแล้ว…
ฉวยโอกาสยามกงอิ้นขยับเรือนร่างอีกครั้งหนึ่ง เขาแอบย่องออกไปอย่างเงียบเชียบ
…
เหมิงหู่ยืนอยู่เบื้องหน้าประตูเล็กด้วยท่าทางงงเป็นไก่ตาแตก มองดูเหยียลี่ว์ฉีใช้มือค้ำกำแพง กำลังยิ้มตาหยีสนทนากับราชินี
“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงมาส่งน้ำแกงด้วยพระองค์เอง” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มอย่างนุ่มนวลให้จิ่งเหิงปัวที่อ้าปากค้าง ฉวยมือหิ้วโถกระเบื้องไปอย่างแผ่วเบา
จิ่งเหิงปัวที่ถูกทำให้ตกใจจนงงงวยไม่ได้สนใจน้ำแกง ทันได้แต่ถามว่า “มืดค่ำขนาดนี้แล้วเหตุใดเจ้ายังอยู่ที่นี่อีก? เจ้าไม่ได้อาศัยอยู่ในวังเสียหน่อย”
“ยามนี้กระหม่อมถูกไต่สวนจึงพักอยู่ที่สำนักเจาหมิง” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มชี้ไปยังสิ่งปลูกสร้างสีดำแห่งหนึ่งซึ่งกั้นด้วยทางหลักหนึ่งเส้น เอ่ยว่า “ภายในระยะเวลาอันสั้นนี้ กระหม่อมกับฝ่าบาทเป็นเพื่อนบ้านกันแล้ว อืม ฝ่าบาทพลันจะประทับอยู่ที่แห่งนี้ คิดแล้วคงด้วยเพราะกระหม่อมเข้ามาอาศัยอยู่ที่แห่งนี้เป็นแน่? ไอ้หยายังพระราชทานน้ำแกงไก่ปลอบใจกระหม่อมโดยเฉพาะ…กระหม่อมไม่เป็นไร ขอบพระทัยสำหรับน้ำแกงไก่ของพระองค์ อย่าลืมเสด็จประพาสมาบ่อยๆ ล่ะ”
“เฮ้ข้าไม่ได้…”จิ่งเหิงปัวยื่นมือจะแย่งน้ำแกง
เหยียลี่ว์ฉีหดกายอย่างรวดเร็วแล้ว ปิดประตูข้างดัง “พลั่ก” เสียงหนึ่ง หลงเหลือเพียงเสียงหัวเราะเสียงหนึ่งแว่วผ่านกำแพงเลือนราง
“ไม่ไหวแล้วแม่งเอ้ย! รู้งี้ใส่ยาพิษลงไปด้วยดีกว่า ซดให้ตายไปเลย!” จิ่งเหิงปัวดึงประตูข้างไม่ขยับเขยื้อน ได้แต่พึมพำไปพลางเดินกลับมาอย่างพยาบาทไปพลาง
…
เหมิงหู่ที่ยืนนิ่งงันอยู่อีกฝั่งกำแพง เขากำลังกลัดกลุ้มว่าควรกลับไปรายงานเจ้านายอย่างไรดี?
ฝ่าบาทตรัสว่าจะมาส่งน้ำแกงไก่ ทว่าถึงครึ่งทางส่งให้ราชครูเหยียลี่ว์แล้ว นี่มันเรื่องอะไรกันเล่า?
เหมิงหู่หันกายอย่างกลุ้มใจ กำลังครุ่นคิดประดิษฐ์วาจาทว่าตกอกตกใจฉับพลัน
“นายท่าน!” เสียงเขาสั่นเครือว้าวุ่นเล็กน้อย
กงอิ้นเอามือไพล่หลังยืนอยู่ใต้แสงจันทร์อย่างเงียบเชียบ มองดูประตูบานนั้นด้วยสายตาเยือกเย็นเสียยิ่งกว่าแสงเดือน
“นายท่าน…” เสียงของเหมิงหู่แผ่วลงไป ในใจรู้ว่าเจ้านายมองเห็นฉากหนึ่งนั้นแล้ว แอบเกิดความเสียใจว่าก่อนหน้านี้ไม่ควรไปวนเวียนเบื้องหน้าองค์ราชินีเลย
รู้อยู่แล้วว่านางพึ่งพาไม่ได้
“ข้าน้อยสั่งอาหารให้ท่าน…” เขาหวังกู้สถานการณ์
กงอิ้นหันกายไปอย่างเงียบเชียบ เดินไปทางห้องหนังสือ
“ย้ายสมุดพับที่หกกองตรวจแทนข้ายามข้าไม่อยู่ทุกเล่มเข้ามาให้หมด” เขาเอ่ยว่า “ข้าจะตรวจสอบใหม่อีกรอบหนึ่ง”
“เรื่องนี้…” เหมิงหู่ยืนเซ่อซ่า เช่นนั้นต้องมีสมุดพับนับพันเล่มแน่! คืนนี้จะไม่นอนแล้วหรือไร?
“อืม?”
“ขอรับ!”
หลังจากผ่านไปครึ่งเค่อ เหมิงหู่หอบสมุดพับกองโตเท่าภูเขาเดินหอบหายใจฮืดฮาดกลับห้องหนังสือไปพลาง กำชับองครักษ์ในวังอย่างโหดเ**้ยมไปด้วยว่า “เฝ้าสำนักเจาหมิงให้ดี! นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ไม่อนุญาตให้มีผู้ใดเดินเพ่นพ่านตามใจชอบอีก!”
…
จิ่งเหิงปัวถูกแย่งน้ำแกงไก่ ด่าไปไม่กี่ประโยคก็นอนหลับปุ๋ยแล้ว
นางคิดมาตลอดว่าลูกผู้ชายสิบปีค่อยล้างแค้นยังไม่สาย น้ำแกงไก่ของนางไม่ได้แย่งชิงกันได้ง่ายดายขนาดนั้น
หลับไปถึงเที่ยงคืนลุกตื่นขึ้นมากลางดึก เงยหน้ามองดูโดยไม่ตั้งใจเห็นหน้าต่างด้านหลังยังสะท้อนแสงตะเกียงรำไร จิ่งเหิงปัวคิดว่าตนเองทางนี้ดับตะเกียงตั้งนานแล้ว มีแสงตะเกียงมาจากไหนอีก เดินสะลึมสะลือไปมองริมหน้าต่าง เหมือนจะเป็นแสงที่สะท้อนออกมาจากข้างห้อง
เขายังไม่นอนอีกเหรอ?
เป็นราชครูเนี่ยลำบากลำบนจริงๆ
จิ่งเหิงปัวคิดอย่างเกียจคร้านว่าด้วยเหตุนี้ราชินีเป็นหุ่นเชิดหรือเปล่าไม่สำคัญแล้ว อยู่อย่างเป็นสุขสำคัญที่สุด ขอแค่ไม่ออกกฎเกณฑ์มากมายขนาดนั้นมายับยั้งนางจัดการนาง นางยอมให้มหาอำนาจทั้งหมดอยู่กับกงอิ้นทางนั้นก็ได้…จิ๊จ๊ะเป็นจักรพรรดิมีอะไรดี? ดูสิลำบากแค่ไหน เฮ้อ เสียดายวันนี้เขาไม่ได้ซดน้ำแกงไก่…
ดื่มน้ำแกงไก่สักหน่อย ภายหลังจะได้มีแรงกายแรงใจทำตามสัญญาเดิมพันไง เฮ้อ นางชนะสัญญาเดิมพันแล้วยังไม่ทันได้ทวงรางวัลกับเขาเลย หมู่นี้ยุ่งอยู่กับการย้ายข้าวของเข้าวังอะไรเนี่ย ยังคิดไม่ออกเลยว่าควรจะให้เขาทำอะไรดี? ร่ายระบำงดงาม? วิ่งเปลือยกาย? ร้องเพลงรัก? เล่นพูดความจริงหรือเลือกรับคำท้า? หรือว่าโอกาสล้ำค่าขนาดนี้อย่าได้เล่นพิเรนทร์สิ้นเปลือง เก็บไว้ให้เขาทำตามสัญญาสักครั้ง? ท้ายที่สุดแล้วจะเล่นพิเรนทร์ดีล่ะหรือว่าใช้ประโยชน์จริงดีล่ะให้เขาทำทั้งสองอย่างทีละครั้งได้หรือเปล่านะ…
นางคิดอย่างสับสนวุ่นวายแล้วล้วงของสิ่งหนึ่งออกมาจากใต้หมอน ทรงสี่เหลี่ยมแต่สี่มุมโค้งมน ผิววัตถุเกลี้ยงเกลา ผิวภายนอกขาวนวลแสงมันวาวอ่อนโยน แกะสลักหญ้ารุ่ยเฉ่า[1]ลายฉลุ แสงเรืองสีเขียวคล้ำเปล่งออกมาจากในร่องของลายฉลุรำไร มองไปแวบหนึ่งคล้ายกล่องสบู่ขนาดเล็กที่ทำจากหยก งดงามประณีตอย่างยิ่ง กุมไว้ในฝ่ามือแล้วรู้สึกอบอุ่น แต่นางจำได้ว่าภายใต้แสงอาทิตย์ร้อนแรงในวันนั้นของสิ่งนี้กลับเยือกเย็นขึ้นมา
นางพิจารณาอยู่สักพักยังดูไม่ออกว่าของสิ่งนี้มีประโยชน์อะไร ยิ่งคิดไม่เข้าใจว่าของที่ดูคล้ายไร้ประโยชน์สิ้นดีสิ่งนี้ ทำไมพอหยิบออกมาถึงทำให้นางผ่านพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จอย่างราบรื่นได้ เพียงแต่มีครั้งหนึ่งนางพลั้งมือทำเจ้าของสิ่งนี้ร่วงลงบนพื้นอย่างไม่ตั้งใจ ยังนึกว่าจะแตกละเอียด ผลคือไม่มีร่องรอยเลยแม้แต่น้อย มีครั้งหนึ่งตอนดื่มน้ำแกงมือลื่นทำของสิ่งนี้ร่วงลงไปในน้ำแกง ผลคือตอนที่ช้อนขึ้นมาของสิ่งนี้กลับไม่ได้เปื้อนน้ำมันเลยแม้แต่น้อย มันเหมือนจะไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่ตอนที่ไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็เป็นความมหัศจรรย์แบบหนึ่ง จิ่งเหิงปัวคิดว่าของสิ่งนี้ต้องมีช่วงสำคัญให้ใช้งานแน่นอน เพียงแต่ช่วงสำคัญยังไม่มาถึงเท่านั้นเอง สิ่งของที่ทำให้มหาเทพพกติดตัวเป็นของล้ำค่าได้ อีกทั้งยังมอบให้นางในตอนสำคัญ หรือว่าจะเป็นเพียงกล่องสบู่ของมหาเทพเหรอ?
ที่จริงแล้วถ้านี่เป็นกล่องสบู่จริงนางก็ไม่ถือสาหรอก นางยังอยากรู้อยู่เลยว่ามหาเทพใช้กลิ่นหอมของอะไรถึงได้หอมขนาดนั้น…
นางคิดอย่างสับสนวุ่นวาย พอศีรษะถึงหมอนก็หลับไปอีก ตอนที่ตื่นมาอีกครั้งพระอาทิตย์สูงพ้นสามไม้ไผ่ กลิ่นหอมเข้มข้นของอาหารเช้าโชยเข้ามาแล้ว
พอได้กลิ่นหอมกลิ่นนี้นางก็นึกถึงน้ำแกงไก่เมื่อคืนวาน นั่งไตร่ตรองตรงขอบเตียง ครุ่นคิดวิธีรับมือ
จากนั้นนางเยี่ยมชมที่อยู่อาศัยของตนเองสักหน่อย เมื่อคืนวานเหนื่อยเกินไปไม่ทันได้ชม คราวนี้พอมองถึงรู้สึกตัวว่าห้องนี้แม้ว่าเริ่มตกแต่งเมื่อวานตอนบ่าย แต่ไม่ได้ดูฉุกละหุกเร่งรีบ นอกจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่นางขอให้เพิ่มเข้าไปแล้ว ห้องที่เหลือตกแต่งได้งดงามประณีตหรูหราข้าวของครบครัน ที่สะดุดตาที่สุดก็คือบนกำแพงฝังกระจกทองเหลืองเต็มตัวบานหนึ่ง ขัดเงาจนเกลี้ยงเกลาเรียบเนียน จิ่งเหิงปัวยังไม่เคยเห็นกระจกบานใหญ่ขนาดนี้เลยตั้งแต่มาถึงต่างโลก
นางเคยบ่นเรื่องนี้ สมัยโบราณที่ไม่มีกระจกเต็มตัว ไม่มีทางสนองความรู้สึกในการเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างโดยตรงที่สุดให้นางได้
นางนึกได้รำไรว่าเมื่อวานตอนบ่ายที่ย้ายข้าวของอยู่ คล้ายมีองครักษ์หามกล่องใบหนึ่งเข้ามา ของสิ่งนี้เหยียลี่ว์ฉีส่งมาให้หรือว่ากงอิ้นส่งมาให้กันแน่นะ?
รู้สึกเหมือนจะเป็นเหยียลี่ว์ฉี เจ้าคนนั้นเจ้าชู้รักอิสระ เหมือนเป็นคนที่อ่านความคิดผู้หญิงได้ กงอิ้นเยือกเย็นเป็นภูเขาน้ำแข็ง จะนึกถึงเรื่องนี้ได้เหรอ?
นางหัวเราะฮิฮิ ตบกระจกอย่างพอใจ เล่นโยคะไปรอบหนึ่ง เรียกหาขุนนางหญิงมาสืบระดับความอิสระของราชินีก่อนขึ้นครองราชย์อีกครั้ง
พอขุนนางหญิงมาถึงก็มองเห็นฝ่าบาทนั่งไขว่ห้างอยู่บนเตียง สวมอาภรณ์แนบเนื้อแปลกประหลาดสีแดงลูกท้อทั้งร่าง เหงื่อหอมกรุ่นหยดย้อย ลมหายใจถี่กระชั้น ทรวดทรงน่าประทับใจที่แสดงออกมาอย่างไม่ขวางกั้นเลยแม้แต่น้อยทำให้นางที่หัวโบราณจนเคยชินแล้วหน้าแดงไปถึงหู เบนสายตาออกมาอย่างไม่เป็นธรรมชาติ เอ่ยเสียงแผ่วว่า “ฝ่าบาท พระองค์ควรทรงเรียนรู้กฎเกณฑ์พิธีการก่อนขึ้นครองราชย์ กองตรวจการวังได้ส่งกูกู[2]พิธีการมาให้พระองค์แล้ว ประเดี๋ยวจะมาถวายบังคมพระองค์ ฉลองพระองค์ชุดนี้พระองค์ทรง…”
นางมีสีหน้าท่าทางเคร่งขรึม น้ำเสียงแข็งทื่อราวแผ่นไม้ ไร้ซึ่งรอยยิ้มแม้เพียงเล็กน้อย
พฤติกรรมที่จิ่งเหิงปัวฟันเกี้ยวเมื่อวานสร้างความตื่นตกใจให้นางโดยแท้ หลังเกิดเรื่องขุนนางหญิงท่านนี้นอนพลิกไปพลิกมาครุ่นคิดทั้งคืน คิดว่าตนเองนับว่าเป็นขุนนางพิธีการหญิงที่กองพิธีการคัดเลือกส่งมาอยู่ข้างกายฝ่าบาทเป็นกรณีพิเศษ ต้องปรนนิบัติอยู่ข้างกายฝ่าบาทในระยะยาว คือขุนนางหญิงอันดับหนึ่งที่แบกภารกิจสำคัญ เช่น สั่งสอนฝ่าบาทควบคุมดูแลฝ่าบาท ไม่อาจทำลายความเชื่อถือของกองพิธีการและกองตรวจการวังเด็ดขาด เมื่อวานถูกพฤติกรรมฟันเกี้ยวของราชินีทำให้ตกตะลึง ไม่ได้ปฏิบัติภาระหน้าที่ของตนเองให้ดี วันนี้ต้องควบคุมตนเองไว้ให้ได้ ไม่อาจให้ราชินีทำตามนิสัยอีกแล้วเด็ดขาด มิฉะนั้นพอท้ายที่สุดแล้ว ทุกคนจะซวยกันหมด
แต่สีหน้าแบบไหนก็คล้ายว่าไม่มีความหมายกับจิ่งเหิงปัวทั้งนั้น
[1] หญ้ารุ่ยเฉ่า เป็นคำเรียกหญ้ามงคลในสมัยโบราณ เช่น เห็ดหลินจือ หมิงจย๋า เป็นต้น เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า หญ้าเซียน
[2] สรรพนามที่ใช้เรียกนางกำนัลรับใช้ผู้มีอาวุโส