เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 62.2
เหล่าขุนนางสำคัญเดินเป็นแถวยาวเหยียดเข้าสู่ห้องหนังสือกว้างขวางของกงอิ้น ต่างระงับความเหนื่อยล้าไว้ไม่ได้ งัวเงียง่วงงุน เซวียนหยวนจิ้งขยี้ตา เอ่ยกับเหมิงหู่ว่า “แต่ก่อนราชครูออกมาตรงเวลาเสมอ เหตุใดวันนี้ถึงมาสายไม่พบเห็น? หากราชครูมีกิจธุระ บอกกล่าวกันสักเสียงหนึ่ง อย่างไรเสียวันนี้ก็ไม่มีเรื่องราวสำคัญใด ไม่สู้แยกย้ายกันไป…”
เสียงวาจาของเขายังไม่ทันสิ้น ประตูเปิดดังแอ๊ดเสียงหนึ่งอีกครั้ง ผู้ยิ้มแย้มเอ่ยด้วยเสียงเกียจคร้านแลแหบแห้งเสียงหนึ่งว่า “ราชครูมีเรื่องสำคัญอื่นต้องจัดการ ส่วนเจิ้นวันนี้ก็มีเรื่องราวเร่งด่วนจะปรึกษาหารือกับขุนนางที่รักทุกท่าน การประชุมในวันนี้ให้เจิ้นมาจัดการเถิด”
ทุกคนหันหน้ากลับมาอย่างตกตะลึงยิ่งนัก
พลันมองเห็นจิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มยืนงดงามอยู่ปากประตู
นางสวมใส่ชุดคลุมสีเหลืองสว่างปักหงส์สีรุ้งที่ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ชุดหนึ่ง หรูหราลานตา ชุดนี้คือฉลองพระองค์ทั่วไปของราชินี ทุกคนต่างเคยเห็นจนชินแล้ว ทว่ายามนี้นางสวมใส่ ทุกคนกลับรู้สึกว่าพอดีร่างอย่างผิดปกติ ทรวดทรงราบเรียบ แววตาอดจะทอดลงบนช่วงเอวผอมเพรียวเรียวบางของนางไม่ได้ คราวนี้ถึงพบว่าไม่รู้ตั้งแต่ยามใด ชุดนี้เดิมทีเป็นฉลองพระองค์ทรงกระบอกได้เพิ่มเข็มขัดแพรต่วนสีน้ำตาลเส้นหนึ่งให้ราชินีองค์ใหม่ เพียงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย พลันรวบรัดความทะลักล้นและงามวิจิตรของทรวดทรงออกมา โดดเด่นกว่าราชินีทุกพระองค์ในอดีตที่เคยสวมใส่ฉลองพระองค์ชนิดนี้ทั้งสิ้น
นางมีเสน่ห์มหัศจรรย์ชนิดหนึ่ง ทุกครั้งที่ขึ้นเวที ล้วนมีความแปลกใหม่เล็กน้อยทำให้เบื้องหน้าผู้คนสว่างวูบ
จิ่งเหิงปัวเสพสุขแววตาของทุกคนอย่างสงบนิ่ง อมยิ้มจัดแต่งจอนผม ส่งสายตาที่ทั้งเคร่งขรึมทั้งกระชากวิญญาณให้ทุกคน
ผู้คนครึ่งหนึ่งยังคงเหม่อลอยเคลิบเคลิ้มท่ามกลางความสวยงามของนาง ผู้คนอีกครึ่งหนึ่งรู้สึกตัวขึ้นมาแล้ว ได้ยืนขึ้นอย่างตกตะลึงนัก
“ถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาทสงบสุขหมื่นปี” นี่คือผู้มีเจตนาดี
“ฝ่าบาท! ที่แห่งนี้กำลังปรึกษาหารือเรื่องแคว้น พระองค์ทรงหลบหลีกไปชั่วครู่ได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” นี่คือผู้ที่ทั้งปฏิเสธทั้งไว้หน้าเล็กน้อย
“ฝ่าบาท! พระองค์ทรงกระทำเกินหน้าที่แล้ว! เรื่องแคว้นต้าฮวง พระองค์ไม่อาจทรงเข้าร่วมอภิปราย!” นี่คือผู้ที่ให้นางไสหัวไปอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
สองแบบหลังครองจำนวนทั้งสิ้นมากกว่าสามในสี่ส่วน
ส่วนซังต้งได้ยิ้มแย้มเอ่ยกับเหมิงหู่ว่า “องครักษ์ทอดทิ้งหน้าที่นานเกินไป สถานที่เช่นนี้จะให้ฝ่าบาทเสด็จเข้ามาได้อย่างไรเล่า? อย่าเอ่ยว่านางยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ต่อให้ขึ้นครองราชย์ การกระทำนี้ก็นับได้ว่าเป็นการท้าทายอำนาจบารมีของราชครูแล้ว”
“เรียนกองเซ่นไหว้” เหมิงหู่ไม่เปลี่ยนสีหน้า เอ่ยว่า “เหมิงหู่เพียงกระทำการตามบัญชา”
หลายคนได้ยินวาจาประโยคนี้ สีหน้าเปลี่ยนไปในฉับพลัน มองตามมาอย่างตกตะลึงว้าวุ่นในชั่วขณะ
ทุกคนไม่เข้าใจความนัยของกงอิ้น เช่นนี้คือจะให้ราชินีรูู้ตื้นลึกหนาบางหรือหวังโจมตีนางสักหน่อย ให้ภายหลังนางอยู่ในโอวาสกันเล่า? อย่างไรเสียยามนั้นราชินีองค์ก่อนก็เคยผุดเผยความประสงค์ไม่เรียบร้อยออกมาเล็กน้อย ภายหลังได้ก่อให้เกิดเหตุการณ์อวี้จ้าว บัดนี้กงอิ้นจะยินยอมให้ภัยพิบัติเกิดขึ้นอีกครั้งไปได้อย่างไร?
เพียงความนัยของเหมิงหู่ก็คลุมเครือ ไม่ได้ผุดเผยความนัยแท้จริงของกงอิ้นออกมาด้วยซ้ำ
หลังจากทุกคนชะงักไปครู่หนึ่ง ที่สุดแล้วยังคงได้เปรียบด้วยแนวคิดระบอบการปกครองที่มีรากฐานมั่นคง ผู้ชราท่านหนึ่งก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าว ขัดขวางเส้นทางของจิ่งเหิงปัวไว้
“ฝ่าบาท” เขาทำสีหน้าวาจาขึงขัง เอ่ยว่า “ราชครูอนุญาตให้พระองค์เสด็จเข้าสู่จิ้งถิงยามอภิปรายงานราชการคือคำสั่งเลอะเลือนของราชครู หลังเรื่องราวฝ่ายกระหม่อมย่อมจะเสนอการคัดค้านแด่ราชครู ทว่าในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ผู้เลื่องชื่อแห่งต้าฮวง ควรปกป้องกฎเกณฑ์ที่มีอยู่ในยามนี้ของต้าฮวงเป็นหน้าที่ลำดับแรก จะทำลายกฎเกณฑ์ด้วยพระองค์เอง ถือวิสาสะวิพากษ์วิจารณ์การเมืองในราชสำนักได้อย่างไร! ขอพระองค์ทรงรีบเร่งเสด็จถอยไป มิฉะนั้นกระหม่อมจะร่วมกับหกกอง พิจารณาคุณสมบัติในการสืบราชสันตติวงศ์ของพระองค์ใหม่อีกครั้ง! ขอฝ่าบาทเสด็จกลับตำหนักโดยพลัน!”
หลังกายเขา ฝูงชนกลุ่มใหญ่ทยอยลุกออกมา
“ขอฝ่าบาทเสด็จกลับตำหนักโดยพลัน!”
“ขอฝ่าบาทเสด็จกลับตำหนักโดยพลัน!”
คลื่นเสียงดุจกระแสน้ำขึ้น กำแพงมนุษย์ดั่งเหล็ก นางในที่รอคอยอยู่เบื้องนอกมีสีหน้าซีดเผือด ฉังฟังรีบตามขึ้นมาเบื้องหน้า ตักเตือนจิ่งเหิงปัวแผ่วเบาว่า “ฝ่าบาท อย่าได้ทรงท้าทายกฎเกณฑ์ตามตามพระทัย พระองค์ทรงหวังเสด็จมาจิ้งถิง ย่อมไม่อาจเข้ามาโดยตรงขนาดนี้ อย่างไรเสียเสด็จกลับไปก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ…”
ฝ่ายเซวียนหยวนจิ้งกลับกำลังกำชับด้วยเสียงเย็นชาว่า “รีบเร่งปิดกั้นประตูข้างเสีย! วันพรุ่งเชิญฝ่าบาททรงย้ายออกจากข้างห้อง เสด็จกลับสู่วังบรรทมของพระองค์เอง!”
“โอ้ ไม่ให้ข้าเข้าไปหรือ?” จิ่งเหิงปัวกะพริบตา กล่าวว่า “ไม่ให้ข้าเข้าก็ไม่ให้ข้าเข้าสิ ไยต้องโมโหโกรธากันขนาดนี้ ข้าล่ะกลั๊วกลัว”
นางตบหน้าอกไปพลาง ยิ้มตาหยีหันกายไปพลาง เดิมทีขุนนางบางส่วนนึกว่านางจะต่อต้าน ไม่คิดว่านางไม่เอาไหนเช่นนี้ ต่างผุดเผยสีหน้าทั้งประหลาดใจทั้งเหยียดหยามออกมา
“หาเรื่องให้ตนอับอาย!” เฟยหลัวที่มองดูอยู่เงียบเชียบโดยตลอดยิ้มเยาะเสียงหนึ่ง
จิ่งเหิงปัวคล้ายจะไม่ได้ยิน ยิ้มแย้มปรีดาหันกาย เดินไปพลางกล่าวไปพลางว่า “พวกเจ้าเป็นผู้ไล่ข้าไปเองนะ? เช่นนั้น คำพยากรณ์เทพว่าหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้กำลังจะถูกฟ้าผ่าล้ม หากข้าไม่ได้ถ่ายทอดให้สำเร็จ คงไม่โทษข้านะ…”
ยามนี้เสียงผู้คนสับสนวุ่นวาย เสียงของนางไม่นับว่าชัดเจนเกินไป ทว่ายังคงมีคนส่วนหนึ่งที่ยืนอยู่เบื้องหน้า คัดค้านอย่างดุเดือดที่สุดได้ยินเข้าแล้ว
“หยุดนะ!” เสียงของซังต้งดังขึ้น สูญเสียความสุขุมเล็กน้อย
จิ่งเหิงปัวทำคล้ายไม่ได้ได้ยิน เดินไปข้างนอกไปพลาง หัวเราะฮ่าๆ ไปพลาง
“ความมหัศจรรย์สวรรค์ประทานใด? ผู้แทนวิญญาณเทพใด? ไม่ถูกสายอสนีใด ตลอดชีวีมีมงคลใด?” นางกางแขนสองข้าง หัวเราะฮิๆ เผชิญหน้าท้องนภามืดครึ้มข้างนอก กล่าวว่า “เทพยดาจะรักใคร่เอ็นดูตระกูลหนึ่งไปตลอดได้อย่างไร? พวกเจ้ามีคุณธรรมใดมีความสามารถใดถึงได้สืบทอดตำแหน่งกองเซ่นไหว้นับร้อยปี? จักรพรรดิยังต้องสวรรคตรุ่นสู่รุ่นเลย กองเซ่นไหว้ตำแหน่งหนึ่งอาศัยสิ่งใดรุ่นสู่รุ่นต้องเจ้าควรได้เป็น?”
“หยุดนะ!”
จิ่งเหิงปัวหันกายมา เอียงศีรษะยิ้มแย้มมองดูซังต้ง ชี้ไปยังตนเอง กล่าวว่า “ไม่มีมารยาทเกินไปแล้ว กองเซ่นไหว้ เจ้าควรเอ่ยว่า ฝ่าบาททรงช้าก่อนเพคะ”
“สำหรับคนที่ไม่เคารพกฎเกณฑ์ ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ยังกล้าบุกจิ้งถิงมั่วซั่ว วาจาพิกลพิการเหยียดหยามตระกูลกองเซ่นไหว้ผู้หนึ่ง ข้าไม่จำเป็นต้องมีความเคารพ” บนใบหน้าที่ดูแลอย่างดีของซังต้ง ปลายคิ้วเชิดขึ้นเพียงน้อย พลันเห็นความดุเดือดรุนแรง
“เช่นนั้นย่อมได้” จิ่งเหิงปัวพยักหน้าตามอำเภอใจ กล่าวว่า “ประเดี๋ยวเจ้าคงจะเป็นกองเซ่นไหว้ไม่ได้แล้ว ก่อนดวงซวยต่างต้องดิ้นรนหาที่สิ้นชีพ ให้เจ้าได้ดิ้นรนสักหน่อย”
“ฝ่าบาทเสด็จมาลับคมฝีพระโอษฐ์หรือ?” เซวียนหยวนจิ้งเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ต้องขอให้ฝ่าบาทตรัสให้ชัดเจนว่า สิ่งใดเรียกว่าตระกูลกองเซ่นไหว้จะถูกทอดทิ้ง? หากฝ่าบาทตรัสวิธีการออกมาไม่ได้ เกรงว่าฝ่ายกระหม่อมไม่เพียงต้องสืบสาวความผิดที่ฝ่าบาททรงบุกจิ้งถิง ซ้ำยังสืบสาวโทษที่ฝ่าบาทตรัสวาจาเพ้อเจ้อใส่ร้ายป้ายสีขุนนางสำคัญ”
“เกียรติยศของตระกูลกองเซ่นไหว้ ไม่อาจให้มนุษย์กำจัดตามอำเภอใจ!” ซังต้งขานรับอย่างเย็นชา
“นั่นสิ ฉะนั้นเทพมากำจัดแล้ว” จิ่งเหิงปัวสะบัดเส้นผมยาวอย่างเป็นธรรมชาติ
“เทพองค์ใดจะมากำจัด? เทพสวรรค์ที่ต้าฮวงได้เซ่นไหว้บูชา มีเพียงกองเซ่นไหว้ตระกูลซังสามารถได้รับคำพยากรณ์เทพในการเสี่ยงทาย!”
“คลื่นแยงซีโหมซัดเคลื่อนคล้อยไป คนรุ่นใหม่แทนที่คนรุ่นเก่า” จิ่งเหิงปัวเดินไปเบื้องหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ นั่งลงบนตำแหน่งของกงอิ้นตรงกลางห้องอย่างเป็นธรรมชาติ ยกเท้าไขว่ห้าง มือเคาะบนพนักแขนเก้าอี้ กล่าวว่า “ผู้เปิดเผยของเทพยดาบนโลกมนุษย์ได้เปลี่ยนคนแล้ว!”
“ผู้ใด?”
ผู้ที่กังวลปัญหานี้มีมากเกินไป ถึงขนาดที่ไร้คนสังเกตว่านางได้นั่งลงอย่างสุขุมแล้ว
“แน่นอนว่าเป็นเจิ้นผู้ถ่อมตัวถ่อมตนไม่โอ้อวดความสามารถ” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มชี้ไปยังจมูกตนเอง กล่าวว่า “เรื่องเรียกหาหงส์สีรุ้งขึ้นปะรำพิธีในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จ พวกเจ้าหลงลืมกันสิ้นแล้วหรือ?”
ทุกคนต่างชะงักงัน
เรื่องราวยามนั้นที่จิ่งเหิงปัวพลันปรากฏกายบนปะรำพิธี ตนเองเอ่ยว่ามีหงส์สีรุ้งส่งเสด็จ ทุกตนก็เคยศึกษาพิจารณาด้วยความสงสัย ทว่าไม่มีผลลัพธ์ ผ่านไปไม่กี่วันก็หลงลืมไปแล้ว
“สิ่งที่เจ้าทำนั้นเป็นเพียงวิชาตัวเบาเคลื่อนย้ายกาย!” ซังต้งโต้แย้ง
“โอ้? มีวิชาตัวเบาที่ล้ำเลิศขนาดนี้ด้วยหรือ?” จิ่งเหิงปัวฉวยมือชี้ไปยังองครักษ์ข้างนอก กล่าวว่า “เช่นนั้น พวกเจ้าที่พาองครักษ์เข้าวังมา เรียกผู้มีฝีมือสูงผู้ใดก็ได้มาสักคน ผู้ใดสามารถใช้เวลาในพริบตาเดียวเหินจากที่จิ้งถิงนี้ไปถึงห้องครัวในลานบ้านข้า ข้าจะจากไปโดยพลัน ยังจะโขกศีรษะขออภัยซังต้งอีกด้วย!”
ทุกคนต่างเงียบงัน ซังต้งสำลักไปชั่วครู่ สีหน้าแดงซ่าน
วิชาตัวเบาเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ต้าฮวงไม่มี ทอดสายตาไปทั่วทุกแคว้นคงหาไม่เจอเช่นกันกระมัง?
“มาๆๆ” จิ่งเหิงปัวเคาะโต๊ะ กล่าวว่า “นำเรื่องราวที่จะอภิปรายในวันนี้ออกมาเสียเถิด ข้ารับปากว่าจะช่วยราชครูฝ่ายขวาจัดการเรื่องราววันนี้ให้แทน”
“วาจาเมื่อครู่ยังไม่ได้ทรงอธิบาย เหตุใดยามนี้ฝ่าบาทต้องตรัสถึงเรื่องนี้?”เซวียนหยวนจิ้งขมวดคิ้ว
“โนๆ ไม่ใช่อธิบาย” จิ่งเหิงปัวส่ายนิ้วมือ กล่าวต่อไปว่า “คือถ่ายทอด”
“ทรงถ่ายทอดเรื่องใด?”
“ราชินีมีอำนาจในการอภิปรายงานราชการเร่งด่วน ด้วยเพราะข้าได้รับลางบอกเหตุของเทพสองเรื่อง เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน ฉะนั้นข้าเรียกพวกเจ้ามาถ่ายทอดอภิปรายงานราชการ” จิ่งเหิงปัวยกขาขึ้นมาไขว่ห้าง นิ้วเรียวยาวเคาะคางตามอำเภอใจ ทำเป็นมองไม่เห็นการขมวดคิ้วของขุนนางชราหลายคน
“ขอฝ่าบาทตรัสให้จบในครั้งเดียว เสแสร้งแกล้งกระทำไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย!” ซังต้งสูญเสียความอดทนในที่สุด
“เทพของกองเซ่นไหว้ซัง เอ่ยกันว่ายามนั้นปกป้องหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ไว้ไม่ให้อสนีบาตลงโทษ ถึงได้กลายเป็นตำแหน่งตระกูลกองเซ่นไหว้” จิ่งเหิงปัวลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “ส่วนคำพยากรณ์เทพที่ข้าได้รับเอ่ยว่าตระกูลซังไม่เคารพกฎหมาย ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ว่าด้วยตระกูลกองเซ่นไหว้ไม่อาจร่วมการเมือง สอดมือยุ่งเกี่ยวการเมืองระดับแคว้นต้าฮวงมานานหลายปี ความทะเยอทะยานมากล้นพฤติกรรมไม่ดีงาม ได้ทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลด่างพร้อย จึงได้เพิกถอนศาสตร์เทพประทานของตระกูลซังแล้ว” นางชี้ไปยังหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ กล่าวว่า “ภายในสามวัน หอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ต้องถูกฟ้าผ่า!”
ทุกคนตื่นตะลึง ซังต้งร้องเสียงแหลมว่า “วาจาเหลวไหล! เป็นวาจาเหลวไหลทั้งนั้น!”
“เอ่ยวาจาเหลวไหลหรือคำพยากรณ์เทพ มากที่สุดสามวันคงรู้แล้วไม่ใช่หรือ?”
ทุกคนเงยหน้ามองท้องนภามืดครึ้มคล้ายฝนจะตก เมฆหมอกสีเทาคล้ำกลุ่มใหญ่แผ่คลุมขอบฟ้า เกรงว่าคืนนี้คงมีพายุฝน
“วาจาพิกลพิการ! เลวทรามใส่ร้ายป้ายสี!” ซังต้งพุ่งไปหาจิ่งเหิงปัวอย่างรวดเร็ว ร้องว่า “เกียรติภูมิแห่งตระกูลซังของข้าไม่อาจให้เจ้า…”
เหมิงหู่หันกายเพียงครั้ง นำพาองครักษ์กลุ่มหนึ่งกั้นขวางเบื้องหน้านางอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง
“สถานที่สำคัญเช่นจิ้งถิง” เหมิงหู่หลุบตาต่ำ ชักมีดออกมาครึ่งฝัก เอ่ยสืบต่อว่า “ห้ามใช้อาวุธ”